อนาคตอยากเป็นอะไร อาจตอบไม่ได้ในรั้วโรงเรียน : ชวนดู 3 หนังที่อยากแนะนำ ว่าด้วยการตามหาเป้าหมายของชีวิต
อนาคตอยากเป็นอะไร อาจตอบไม่ได้ในรั้วโรงเรียน : ชวนดู 3 หนังที่อยากแนะนำ ว่าด้วยการตามหาเป้าหมายของชีวิต
‘ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย’ บทกวีแสนคุ้นเคยจาก เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ที่ใครได้ฟังคงนึกท่อนต่อไปได้ว่า ‘ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว’
เราไม่รู้แน่ชัดว่า ‘อะไรมากมาย’ ที่ผู้เขียนหมายถึงคืออะไรบ้าง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวและการสอบถามเด็กรุ่นเดียวกันอีกหลายคน มีหลายคำถามที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเจอคำตอบในรั้วโรงเรียน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มันมา
พวกเขาคือใคร จริงๆ แล้วมีความสุขกับการทำอะไร สุดท้ายแล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่ คือตัวอย่างของคำถามเหล่านั้น
แต่จะโทษระบบการศึกษาอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะบางครั้ง คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจมาจากโลกความจริงนอกรั้วโรงเรียน และประสบการณ์ชีวิตหลังจบการศึกษา ดังเช่นตัวละครในหนังที่ ‘คิด-ดู’ ยกขึ้นมาแนะนำในวันนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังว่าด้วยคนที่พยายามตามหาเป้าหมายของชีวิต ในวิถีทางอันแตกต่าง
บางคนเจอสิ่งที่อยากทำอะไรตอนลาออก บางคนเจอเป้าหมายในวันที่สายไป และบางคนก็เจอตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองในรั้วโรงเรียนนั่นแหละ
Steve Jobs (2015)
ให้นึกชื่อคนสำคัญที่ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ประสบความสำเร็จในชีวิต นอกจาก บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) นักธุรกิจชางอเมริกันและหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) แล้ว สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) แห่งแอปเปิลนี่แหละ น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง
แท้จริงแล้ว สตีฟ จ็อบส์ เคยสมัครเข้าเรียนที่ Reed College ในสาขาวิชาภาษาอังกฤษเมื่อปี 1972 แต่เรียนไปได้เพียงเทอมเดียว เขาก็ลาออกมาทำโปรเจกต์กับสตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) เพื่อนที่จบจากไฮสคูลเดียวกันและมีแพสชันเรื่องเทคโนโลยีเหมือนกัน หลายปีหลังจากนั้น คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของแบรนด์แอปเปิล (Apple) ก็ถูกต่อยอดจากโปรเจกต์นั้น
แต่ Steve Jobs (2015) ของแดนนี บอยล์ (Danny Boyle) ผู้กำกับชาวอังกฤษ ไม่ใช่หนังที่เล่าเรื่องราวในเวลานั้นเสียทีเดียว อันที่จริง ท่ามกลางหนังอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ หนังที่นำแสดงโดย มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์ (Michael Fassbender) และส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่องนี้เน้นเล่าช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่สตีฟ จ็อบส์ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ตัวนั่นคือคอมพิวเตอร์ Macintosh 128K, คอมพิวเตอร์ NeXT และเครื่อง iMac G3 ดัดแปลงจากหนังสือชีวประวัติ สตีฟ จ็อบส์ของวอลเตอร์ ไอแซคสัน (Walter Isaacson) โดยนักเขียนบทมือทองอย่างแอรอน ซอร์กิน (Aaron Sorkin)
ใครเคยดู The Social Network (2010) คงรู้อยู่แล้วว่าบทของแอรอนนั้นเต็มไปด้วยบทพูดที่รัว เร็ว และแซ่บจนซีนลุกเป็นไฟ บทใน Steve Jobs ก็ไม่ต่างกัน หนังเล่าชีวิตและตัวตนของสตีฟ จ็อบส์ ผ่าน 3 งานคอนเฟอเรนซ์สำคัญของเขาได้อย่างล้ำลึก ทำให้เราเห็นว่าภายใต้คราบนักธุรกิจที่ยึดกิจการเป็นที่ตั้ง ไม่แคร์ใคร จริงๆ เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจเหมือนกับคนอื่น
มากกว่านั้นคือถึงแม้เขาจะเรียนไม่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยก็จริง แต่การสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต้องผ่านการทำงานอย่างหนัก ต้องผ่านความล้มเหลวและการลุกขึ้นสู้ใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
Soul (2020)
อัศจรรย์วิญญาณอลเวง หรือ Soul (2020) เป็นอนิเมชันเรื่องยาวจากค่าย Pixar ที่ว่ากันตามจริง แล้ว มันถูกสร้างมาเพื่อผู้ใหญ่มากกว่าเด็กๆ
หนังเล่าเรื่องของ โจ การ์ดเนอร์ (Joe Gardner) ครูสอนดนตรีพาร์ทไทม์ที่ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะเป็นนักดนตรีแจ๊ซชื่อดังให้ได้ แต่พอวันที่โอกาสมาถึง เขากลับเดินตกท่อตายแล้วไปโผล่ในโลกวิญญาณ
ในดินแดนหลังความตายนั้น เขาเจอกับ ‘22’ เมนเทอร์ที่จะมาช่วยเขาหาแพสชันของชีวิตก่อนที่จะไปเกิดใหม่อีกครั้ง เรื่องกลับผกผันเมื่อตอนพยายามหนีจากโลกหลังความตาย แต่เขาดันดึง 22 ให้ลงมาโลกมนุษย์ได้ ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เมื่อ 22 เป็นวิญญาณที่พุ่งเข้าร่างโจ แต่วิญญาณของโจกลับไปเข้าร่างแมวตัวหนึ่ง
ถึงจะเล่าเรื่องการตามหาแพสชั่นและเป้าหมายในชีวิต แต่ Soul ก็ไม่ได้เป็นหนังที่พูดถึงการเดินทางพยายามตามหาเป้าหมายขนาดนั้น อันที่จริง มันทำให้เราตั้งคำถามกับเป้าหมายที่เรามีอยู่ว่า หากไม่ได้ทำตามเป้าหมายที่ฝันมานาน ชีวิตจะเรียกว่าชีวิตที่สมบูรณ์แบบได้ไหม และหากเป้าหมายของเราไม่ใช่การฝันใหญ่ แต่เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ได้กินอาหารที่ดี ได้นอนหลับสบาย ได้ทำงานอดิเรกที่รัก เท่านี้จะถือว่าเป็นเป้าหมายได้ไหม
เมื่อดูจบแล้ว แน่ล่ะว่าคำตอบของหลายคนนั้นแตกต่างกัน แต่มันก็ดีใช่ไหมที่อย่างน้อยเราก็ได้ตั้งคำถามกับชีวิตของเรา นั่นล่ะคือสิ่งที่ Soul มอบให้คนดู
Legally Blonde (2001)
ดูจากหน้าหนังแล้ว Legally Blonde คล้ายจะเป็นหนังโรแมนติก Chick-Flick ที่สาวๆ ชอบดู ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว มันก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ สาวบลอนด์หัวใจดี๊ด๊าเล่าเรื่องราวของ แอลล์ วู้ดส์ (Elle Woods) หญิงสาวที่หมกมุ่นกับแฟชันและการแต่งตัว ผู้มุ่งมั่นเข้าเรียนในสถาบันสอนกฎหมายชื่อดัง เพียงเพราะอยากพิสูจน์ตัวเองกับแฟนหนุ่มว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงสวยแต่ไร้สมองอย่างที่เขามอง
แต่ภายใต้ฉากหน้าของการเป็นหนังแนวคอมเมดี้ดูเพลิน Legally Blonde คือหนังที่ทำให้เราเห็นความสำคัญของการศึกษา (ช่างคอนทราสต์กับอีกสองเรื่องที่เราชวนดูข้างบนเสียเหลือเกิน) มากกว่านั้น ชีวิตของแอลล์ วู้ดส์ ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่ว่าเราจะเป็นใคร มาจากไหน หากเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ลงแรงและเวลากับมันมากพอ มันก็สามารถสำเร็จได้ทั้งนั้น
ฉากหนึ่งที่เราชอบมากของ Legally Blonde คือฉากว่าความตอนท้ายเรื่องที่แอลล์ต้องสู้คดีให้ภรรยาม่ายที่ถูกกล่าวหาว่ายิงสามี โดยต้องซักถามรายละเอียดจากลูกสาวของเขาซึ่งเป็นพยานคนสำคัญในเหตุการณ์ แอลล์ซักถามคำถามทั่วไปจนไม่มีอะไรจะถามแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็เอะใจประโยคหนึ่งของลูกสาวที่บอกว่าไปดัดผมมา พอถึงบ้านก็สระผมทันที ตามประสาหญิงสาวที่รักการเสริมสวย แอลล์เอะใจทันทีเพราะปกติแล้วคนที่ดัดผมต้องไม่สระผมอย่างน้อยหนึ่งวัน ตอนนั้นเธอจึงรู้ว่าลูกสาวผู้ตายโกหก และปิดคดีได้สำเร็จ
เห็นไหมว่า หากเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างจริงๆ มันก็สำเร็จได้ แม้บางครั้ง วิธีจะเดินทางไปสู่ความสำเร็จของเราจะแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม
Writer
พัฒนา ค้าขาย
นักเขียนจากเชียงใหม่ผู้รักทะเลและฤดูหนาวพอๆ กับหนังสุขซึ้ง สนใจประเด็นเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ และเรื่องป๊อปทุกแขนง
illustrator
สิริกร พรอนงค์
ดีไซน์เนอร์, นักวาด และอาร์ตไดมือใหม่ที่ชอบไปทะเล