Next is Next, Now is Now คุยกับป๊อด ธนชัย อุชชิน ในวันที่การร้องเพลงคือการทำให้คนฟังมีความสุขชั่วขณะนั้น    

Next is Next, Now is Now คุยกับป๊อด ธนชัย อุชชิน ในวันที่การร้องเพลงคือการทำให้คนฟังมีความสุขชั่วขณะนั้น    

พี่ป๊อด – ธนชัย อุชชิน เดินลงมาจากเวที นั่งลงท่ามกลางแฟนๆ ที่รายล้อมอยู่รอบลานสนามหญ้าก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเสื่อใกล้ๆ พร้อมกับร้องเพลง ‘ใคร’ ไปด้วย

            คอนเสิร์ตในวันนั้นจัดที่งาน Relearn Festival เทศกาลเพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัวโดย Mappa ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ในมิวเสียมสยาม แม้จำนวนผู้ชมจะจัดว่าไม่มากหากเทียบกับคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ในคอนเสิร์ตฮอล์หรือตามเทศกาลดนตรีต่างๆ แต่เราก็รับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างที่พี่ป๊อดส่งมาให้ และอิ่มอกอิ่มใจไม่แพ้ความรู้สึกที่ได้รับในคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เลย

เราคิดว่านั้นคือช่วงเวลาพิเศษ เป็นชั่วโมงต้องมนตร์ แต่นั่นก็เป็นชั่วโมงต้องมนตร์ชั่วโมงหนึ่งจากหลายร้อยหลายพันชั่วโมงที่พี่ป๊อดได้ฝากไว้ในใจคนดูหลายร้อยหลายพันคอนเสิร์ตตลอดการเป็นศิลปิน

            “เราร้องเพลงด้วยความรู้สึกอยากให้ เพราะฉะนั้นมันก็ไปตรงไหนก็ได้แล้วเพราะไปเพื่อให้” คือส่วนหนึ่งจากบทสนทนาระหว่างเรากับพี่ป๊อด

            ป๊อด ธนชัย อุชชินโตมาเป็นพี่ป๊อดได้ยังไง มีความหลงใหลอะไรในวัยเด็ก ทัศนคติต่อการเป็นศิลปินเป็นแบบไหน และอะไรทำให้พี่ป๊อดมาถึงจุดที่ร้องเพลงด้วยความรู้สึกที่ “อยากจะให้” ได้ นั่นคือประเด็นที่เราคุยกับพี่ป๊อดในบทสัมภาษณ์นี้ บทสัมภาษณ์สบายๆ ที่จบลงด้วยคำตอบง่ายๆ แต่กลับสะท้อนความหมายของการมีชีวิตอยู่

-1-

เด็กที่ได้รับอิสระและเรียนรู้จะอยู่กับความเหงาผู้มีแววตาอย่างเอาตั้งแต่ ม.3

Q: อยากรู้ว่าอะไรในวัยเด็กที่มีส่วนที่ทำให้พี่ป๊อดเป็นพี่ป๊อด

คิดว่าเป็นความเป็นอิสระที่ทางบ้านให้ซึ่งอาจจะเกิดจากความไว้วางใจ เพราะเท่าที่จำความได้ พอเข้า ป.1 ผลการเรียนเราดีมาก ที่บ้านเลยไม่แตะในเรื่องทิศทางชีวิต เลยทำให้เราค่อนข้างมีอิสระในการคิด การเลือก เขาไม่เคยมานั่งดูเรื่องการบ้าน เรื่องผลสอบเลย ก็เลยเป็นเด็กที่เลือกเอง อยากเอนทรานซ์อะไรก็ไม่เคยมาถาม มีเรื่องเดียวที่นั่งคุยกันในโต๊ะอาหาร แล้วแม่อารมณ์ขึ้น คือไปพูดกับเขาตอน ม.ปลายว่าถ้าเรียนจบแล้วอยากไว้ผมยาว เขาขึ้นเลย แค่นั้นเอง แต่สุดท้ายก็ไว้นะ (หัวเราะ)

ส่วนความสนใจในด้านศิลปะกับดนตรี น่าจะมาจากโรงเรียน ตอนนั้นเซนต์คาเบรียลจะค่อนข้างมีสิ่งแวดล้อมที่มันเอื้อ อย่างงานคริสต์มาสโรงเรียนจะมีศิลปินที่โดดเด่นของยุคนั้น เช่น รอยัลสไปรท์ส แกรนด์เอ็กซ์ คีรีบูน วงดนตรีดีๆ ที่โดดเด่นของยุคก็จะมาแสดง แล้วเราเป็นเด็กป.1 ที่เข้าไปนั่งดูการแสดงของคนเหล่านั้น จำได้ว่าตอนนั้น สาว สาว สาว ยังไม่เป็นวงเลย ตั้งแต่พี่แอม (เสาวลักษณ์ ลีละบุตร) เอากีต้าร์โปร่งมาเล่นคนเดียว มันเลยเหมือนเราได้เสพได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วเกิดเป็นความประทับใจ

Q: เห็นว่าวัยเด็กพี่ป๊อดต้องห่างบ้าน ประสบการณ์นี้เปลี่ยนอะไรในตัวพี่ป๊อดไหม

นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีส่วนสร้างตัวตนของเรา พ่อแม่เราอยู่จังหวัดระนอง แต่พ่อส่งลูกทุกคนมาเรียนกรุงเทพฯ มาอยู่บ้านมาสเซอร์ แล้วการที่เราอยู่ห่างพ่อห่างแม่ตั้งแต่ป.1 ถึงเราจะได้อยู่กับพี่ชาย แต่มันมีความว้าเหว่ลึกๆ แหละ แต่ไอ้เด็กคนนั้นมันไม่รู้ตัวหรอกว่ามันกำลังว้าเหว่ เพราะมันอยู่กับความเป็นจริง แต่พี่ว่าพอเรามองย้อนกลับไปที่เด็กคนนั้น เราก็พบว่าเขาเป็นเด็กที่ต้องฝึกเรื่องการอยู่กับตัวเองให้ได้ อยู่กับความโดดเดี่ยวเป็น

Q: พี่ป๊อดเคยพูดว่าเด็กคนหนึ่งจะต้องมีใครสักคนที่ทำให้เราอยากเป็นคนคนนั้น แล้วคนคนนั้นในวัยเด็กของพี่ป๊อดคือใคร

เราเป็นเด็กที่ชอบฟังเพลงมาตลอด พอเราเริ่มเป็นวัยรุ่น ตอนอยู่ม.1 เราไปดูหนังเรื่อง Purple Rain ของ Prince แล้วเราก็เห็นความมหัศจรรย์ของเขา แล้วมันสร้างแรงกระเพื่อมให้เรา รู้สึกว่าเขาเท่จังเลย น่าจะเพราะเขาเป็นคนตัวเล็ก เลยทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจ พี่ว่าสิ่งนี้น่าจะเกิดกับหลายๆ คนที่เห็นคนที่เป็นเหมือนไอดอลแล้วคิดว่าเราก็เป็นแบบนี้ได้

Q: เรามีไอดอลแล้ว แต่การที่เราจะเป็นตัวเราโดยไม่ได้เป็นแบบเขาเป๊ะๆ พี่ป๊อดเอาสิ่งนี้มาจากไหนหรือมีกระบวนการในการค้นหาตัวตนไหม

พี่คิดว่ากลับไปที่คำตอบแรก เพราะเรามีอิสระทางความคิด มันเลยทำให้เราค่อนข้างมีเอกลักษณ์ โดยที่เราไม่ได้ฝืนมัน เราไม่ได้ไปหาเอกลักษณ์ แต่ความที่เรามีอิสระ คาแรกเตอร์มันก็เลยออกมา

Q: เด็กแทบทุกคนมีความฝันอยากจะทำสิ่งต่างๆ แต่พอโตขึ้นมาหลายคนรักษาความฝันไว้ไม่ได้ อะไรที่ทำให้พี่ป๊อดยังทำตามความฝันได้  หรือที่จริงการเป็นนักร้องมันไม่ใช่ความฝันแต่แรก

เออ ถ้าพูดถึงความฝัน จริงๆ พี่อยากเป็นจิตรกร ก็เลยเรียนครุศาสตร์ อาร์ต (ศิลปศึกษา) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่เลือก แต่ถ้าความฝันสูงสุดคือพี่อยากเรียนจิตรกรรมที่สายตรงที่สุด แต่เราไปติดคณะนั้นซึ่งก็ได้เรียนศิลปะเหมือนกัน แต่พี่ว่าแต่ละคนมันจะมีสองส่วน คือสิ่งที่ฝันกับสิ่งที่ถนัด มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ถนัด แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ฝันหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ สิ่งที่ถนัดคือสิ่งที่คนชอบขอให้เราทำหรือคนเห็นว่าเราทำได้ดีแต่เราอาจจะอยากไปเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ฝัน

Q: ซึ่งสิ่งที่พี่ป๊อดถนัดคือร้องเพลง

เพราะอยู่ม.3 พี่ก็ตั้งวงแล้ว แล้วพี่ก็ทำได้โดยเป็นธรรมชาติเลย

Q: แล้วการแสดงออกบนเวทีเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนม.3 เลยหรือเปล่า

มันมานะ พี่กลับไปดูรูปที่เพื่อนถ่ายเอาไว้รูปหนึ่ง… ว้าว พี่เห็นตัวเองแล้วแบบ… ว้าว ถ้าถอนตัวเองออกมาว่าเราไม่ได้กำลังดูตัวเราเองแต่เป็นคนคนหนึ่งที่ดูเด็กนักเรียนม.3 คนนี้ที่ขึ้นเวทีครั้งแรกของชีวิต ถือกีต้าร์ โอ้โห ทำไมแววตามันเอาจัง อินเนอร์มันมา

-2-

จากวงดนตรี “แหกขนบ” สู่ผลงานที่ไม่มีเส้นแบ่งมากั้น
ในวันที่เพลงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของมหาสมุทรคอนเทนต์

            หากใครติดตามผลงานของพี่ป๊อดมาตลอด อาจพบว่าผลงานส่วนตัวในช่วงปีหลังๆ นั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากโมเดิร์นด็อกในช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่ผลงานของโมเดิร์นด็อกเองก็เปลี่ยนไปตามช่วงวัย อัลบั้มแรกของพวกเขาอย่าง โมเดิร์นด็อก(หรือหลายๆ คนเรียกติดปากว่า ‘เสริมสุขภาพ’ เพราะหน้าปกมีคำว่าเสริมสุขภาพอยู่บนนั้น) มาพร้อมดนตรีหนักหน่วง แปลกแปร่ง และองค์ประกอบที่แหกขนบเพลงไทยแทบทุกส่วน ขณะที่อัลบั้มล่าสุด (ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2559) ของพวกเขาอย่าง ‘Pod/Pong/May-T’ กลับมีซาวด์ดนตรีที่ฟังง่ายรวมถึงเนื้อหาที่ดูจะ ‘ปล่อยวาง’ กับชีวิตจนแทบไม่เหลือภาพของความเป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อกนอกขนบอยู่เลย

            เช่นเดียวกันกับผลงานส่วนตัวของพี่ป๊อด ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ Balloon Boy ซึ่งพี่ป๊อดใช้อีกตัวตน (alter ego) ทำผลงานเพลงที่พูดถึงชีวิตในวัยเรียนผ่านเนื้อหาและซาวด์สุดป๊อปฟังสบาย หรือโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง ชายมี วงดนตรีน้องใหม่ที่ทำร่วมกับบรรณ สุวรรณโณชิน จากค่ายใบชา Song ซึ่งเพิ่งปล่อยผลงานเพลงน่ารักผสมผสานกลิ่นอายของวงชาตรีออกมาได้ไม่นาน

            “เป็นร็อกแล้วไม่กล้าหวาน” คือสิ่งที่พี่ป๊อดยอมรับกับเราว่าเคยรู้สึกแบบนั้น ผลงานที่เปลี่ยนไป จากวันที่เป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อกแหกขนบ จนมาถึงวันที่ทำวงดนตรีลุคสดใสที่มีทั้งเนื้อหาและซาวด์ละมุนละไม จึงเป็นภาพสะท้อนของการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างในชีวิต การพยายามทลายกรอบที่เคยกำหนดไว้ลง และการสำรวจสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตมากขึ้น   

Q: หลังจากเลือกเรียนครุศาสตร์แล้ว อะไรทำให้กลับไปร้องเพลงอีกครั้ง

ตอนที่เข้าไปเรียนอาร์ต บอกตัวเองว่าดนตรีไม่ใช่อนาคต เรามองไม่เห็นว่ามันคืออนาคต มองไม่เห็นว่ามันจะมาเป็นเส้นทางอาชีพได้ เพราะคิดว่าเราจะต้องมุ่งมาทางศิลปิน อาจจะเป็นดีไซเนอร์ ออกแบบกราฟิก แต่ความคันมันหนีไม่พ้น (หัวเราะ) พอไปเห็นเขาประกวดกันแล้วเราก็เกิดความรู้สึกว่ากูทำได้ แล้วกูทำให้แตกต่างจากที่เขาทำกันได้ ก็เลยอยากแสดงออก แล้วมันก็ขยายตัวจนกลายเป็นทุกวันนี้

Q: ตอนประกวดได้คิดไหมว่ามันจะไปถึงจุดนั้น

ไม่เลย แค่อยากแสดงออกทางด้านมุมมองตัวเอง ณ จุดนั้นของการประกวดเท่านั้นเอง แต่มันกลับต่อยอดไปเอง เพราะพอเราประกวดชนะแล้วเราก็เกิดเสียดายวง การจะทำวงให้ชนะในระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้มันฝ่าฟันหลายด่านนะ รอบมหาวิทยาลัย รอบข้างนอก รอบที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม เราเลยรู้สึกว่าวงนี้มันแข็งแกร่งแล้ว เลยมีความคิดว่าน่าจะทำอัลบั้มกันดีกว่า อย่าเพิ่งแยกย้ายเลย

Q: ไม่รู้ว่าพี่ป๊อดมองตัวเองแบบนั้นหรือเปล่า แต่ในสายตาคนทั่วๆ ไปเมื่อพูดถึงโมเดิร์นด็อก คนจะนึกถึงความแหกขนบ ความขบถ สิ่งเหล่านี้พี่ป๊อดได้มาจากไหน

มันมาจากความเป็นอิสระ และเราเริ่มเห็นขนบแล้วรู้สึกว่า ไม่ได้สิ โลกมันกว้างกว่านั้น มันมีตัวเลือกอื่นด้วยนะ ค่ายเพลงไม่ได้มีแค่นี้ ณ วันนั้น ดนตรีไม่ได้มีแค่รูปแบบนี้ หรือการประกวดดนตรีให้ชนะไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบนี้แล้วจะชนะ เราก็แค่เป็นนักเรียนศิลปะที่อยากแสดงออกถึงทางเลือก

Q: พี่ป๊อดไปเห็นทางเลือกนั้นมาจากไหนในวันที่หลายๆ คนยังไม่เห็น

อย่างที่บอกว่าพี่ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด่นเรื่องศิลปะและดนตรี สิ่งแวดล้อมมีส่วนมากๆ เราได้เห็น (ทางเลือก) เร็ว อยู่ม.ปลายเราก็มา British Council ที่สยาม มันเป็นห้องสมุดที่มีหนังสือศิลปะแบบปกแข็ง ของศิลปินระดับโลกตัวท็อปของอังกฤษพวก David Hockney, Gilbert and George หรือ Francis Bacon แล้วเราไปเห็นงานระดับโลกแบบนั้น หรือคอนเสิร์ตอย่าง Live Aid ที่เขาถ่ายทอดสดสองซีกโลก ฝั่งอเมริกากับยุโรป แล้วเราอัดเทปเก็บไว้ดู เราก็เห็นตัวท็อปของโลกอย่าง David Bowie หรือตอนที่ Queen เล่น Bohemian Rhapsody คือพี่อยู่ในช่วงเวลานั้น มันก็เลยเหมือนเราเห็นว่าโลกมันกว้างนะ

ถ้าจะสรุปก็คือการศึกษามันสำคัญนะ หมายถึงการศึกษาที่ไม่ได้อยู่แค่ในระบบโรงเรียน แต่ยุคนี้พี่ว่าโลกมันกว้างแล้ว Youtube มีทุกสิ่ง ChatGPT มันตอบทุกคำถามแล้ว แต่ยุคนั้นทุกอย่างมันยังหายาก เราเลยต้องใฝ่

Q: กระบวนการในการแต่งเพลงมีส่วนช่วยในการเติบโตหรือเรียนรู้ของพี่ป๊อดไหม

ที่สุด เพราะพี่น่าจะเป็นประเภทของคนเขียนเพลงที่ทำความเข้าใจเรื่องของตัวเอง พี่อาจจะแตกต่างจากนักแต่งเพลงคนอื่นที่แต่งแทนตัวผู้ร้องตามคาแรกเตอร์หรือตามเรื่องราวของเขา กับโมเดิร์นด็อก 6 ชุด 60 เพลง รวมๆ แล้ว เป็นเพลงที่ขุดคุ้ยความรู้สึกนึกคิดตัวเอง ความเข้าใจที่เกิดขึ้น ความสงสัยที่มี แล้วก็หาทางออก เพราะฉะนั้นแต่ละชุดมันเลยเป็นการทำความเข้าใจชีวิตผ่านมาเป็นขั้นตอน มันก็ทำให้เราค่อยๆ เบาขึ้น เวลาที่ได้เขียนออกมามันก็ได้คลี่คลายขึ้น ไม่ใช่วันนี้เราเบาเลยหรือเป็นแบบนี้แต่แรก เราก็โคตรหนักมาก่อน

Q: จุดไหนที่ทำให้พี่ป๊อดเปลี่ยน

มันเปลี่ยนมาตลอดทาง จะบอกว่าเป็นจุดนี้ หรือเจอ trauma ตัวนี้… มันก็มีด้วย แต่ว่าจริงๆ แล้วมันเปลี่ยนมาตลอดเส้นทางอยู่แล้วกับการใช้ชีวิตแต่ละวัน สิ่งที่เราไปเจอมันค่อยๆ ขัดเกลาตัวเราเอง

Q: ในเมื่ออัลบั้มล่าสุดของโมเดิร์นด็อกมันมีความคลี่คลายแล้ว เส้นทางต่อไปของพี่ป๊อดมันคืออะไร

ต่อไปมันคือการที่พี่บอย (โกสิยพงษ์) แต่งอะไรมาเหรอเดี๋ยวจะช่วยถ่ายทอดให้นะ (หัวเราะ)

Q: ขอยกตัวอย่างโปรเจกต์ใหม่ของพี่ป๊อดอย่างชายมีที่แตกต่างจากงานอื่นๆ ของพี่ป๊อด พี่ป๊อดทำโปรเจกต์นี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน

มันก็คือโปรเจกต์ที่เราได้สนุกกับความรักในเพลงแบบที่เราชอบมากตอนเราอยู่อนุบาล วงชาตรีคือวงยุคอนุบาลเลยนะ วงเขาตั้งขึ้นตอนปีพี่เกิด มันเป็นรสชาติที่เราคุ้นชินแล้วเราหลงรักตอนเราเป็นเด็ก แล้วเราได้กลับไปย้อนชีวิตเราในตอนนั้น และมันก็เป็นการกลับไปหา inner child การพาตัวเองไปเริ่มเล่นกับผู้คน ซึ่งหมายถึงการร่วมงานกับผู้คนที่เรานับถือ อย่างพี่บรรณ เจ้าของค่ายใบชา พี่เพิ่งรู้ว่าชายมีคือโปรเจกต์ที่ 53 ใน 20 ปีของเขา ลองคิดดูสิว่าคนคนนึงตั้งค่ายมา 20 ปีแล้วทำมา 53 ชุด มันมหัศจรรย์มากเลย

แต่สำหรับพี่นะ อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ทำในการทำเพลงคือการออกนอก comfort zone ด้วย คือเราพร้อมที่จะไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ๆ ที่ไม่ได้ซ้ำกับพื้นที่ที่ตัวเองอยู่ พี่ชอบไปอยู่ใน uncomfort เพื่อทลายเส้นแบ่งที่ถ้าเราคิดว่าเราเป็นแบบนี้ เราจะไม่เอาอย่างอื่น มันจะยังมีข้างในข้างนอกอยู่ พี่เลยเอาเส้นนั้นออกไปซะ อย่างเมื่อก่อนพี่มีสิ่งที่ไม่กล้าทำ เช่น เป็นร็อกแล้วไม่กล้าหวาน

Q: เหมือนเรากำหนดตัวเองไว้ว่าเป็นสิ่งนี้เหรอ

ใช่ หรือเราเคยสังเกตไหม บางทีเราดูหนังอาร์ต เราฟังเพลงลึกๆ แต่เวลาเราไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แล้วเขาเปิดเพลงแมส แล้วเขาเต้นกันทั้งคณะ พี่เลยคิดว่าเราทุกคนมันมีพาร์ตของความน่ารักอยู่ แต่บางทีเราอาจจะไม่กล้าที่จะเอาสิ่งนี้ออกมาโชว์ในงาน

Q: ก่อนหน้านี้เราพูดเรื่องความแตกต่างของยุคสมัยแล้ว เลยอยากรู้ว่าพี่ป๊อดมีมุมมองต่อวงการเพลงในยุคนี้ยังไง

พี่มองว่ามันเปิดกว้างมากแล้ว แล้วมันมีความชื่นชอบที่ละเอียดแยกย่อยอย่างมาก ซึ่งก็เป็นอิสระ แล้วก็เป็นสิ่งที่ให้อิสระกับผู้ฟังได้กว้างมาก ต่างจากสมัยก่อนที่ค่ายเพลงมีอยู่ไม่กี่ค่าย ณ วันนี้คือตรงข้ามเลย
Q: ในฐานะที่เราเป็นศิลปินรุ่นเก่า เรานอยด์ไหมที่เพลงเราอาจจะไม่ได้ดังเท่ากับยุคนั้น

ไม่ อาจจะเคยผ่านจุดที่รู้สึกว่า โว้ว ถ้าเรามาออกเพลงวันนี้มันอาจจะไม่มีเราก็ได้ เพราะมันฝ่ามหาสมุทรแห่งคอนเทนต์ที่กว้างใหญ่มาก ณ วันนี้ เพลงไม่ใช่คอนเทนต์หลักๆ เหมือนในอดีตแล้ว เพลงก็เป็นส่วนหนึ่งใน TikTok

แต่มันทำให้เราทำความเข้าใจว่าหน้าที่ของเราคือสร้างสรรค์ในส่วนของเรา ที่เราอิ่มอกอิ่มใจกับตัวงานของเรา และเมื่องานนั้นมันไปอยู่ในมหาสมุทร มันอาจจะไม่ได้แมสเหมือนยุคก่อน แต่มันจะเจอคนที่พึงพอใจกับสิ่งเดียวกันนี้เอง

-3-

Next is next, Now is Now.

Q: สำหรับพี่ป๊อดความสำเร็จคืออะไร

ความอิ่มอกอิ่มใจในชิ้นงาน

Q: แต่ก่อนคิดแบบนี้ไหม

แต่ก่อนก็คิดแบบนี้แหละ แต่มันก็จะมีเรื่องผลลัพธ์บ้าง

Q: พี่ป๊อดเคยบอกว่ากลัวการไม่ได้ที่หนึ่ง

อันนั้นย้อนไปไกลมาก แต่ก่อนพี่จะมีเรื่องผลลัพธ์ที่มุ่งเป้าเข้ามามีผลด้วย เพราะตั้งแต่รู้ตัวว่าสอบได้ที่หนึ่งตั้งแต่ป.1 มันกดดันนะ มันไม่พร้อมจะเป็นที่สองหรอก เพราะเป็นเด็กป.1 แล้วเป็นเด็กป.1 ที่ไม่มีเมนเทอร์ ไม่มีผู้ปกครองมาบอกว่าไม่ต้องไปคิดอะไรเรื่องพวกนี้ เรียนให้สนุก เราไม่มี เราต้องคิดเองให้เป็น แต่มันก็เลยเหมือนเราโดนโจทย์ที่ทำให้เราคิดว่าแล้วความสำเร็จคืออะไรมาตั้งแต่เด็ก ซึ่ง ณ วันนี้ของพี่คือความอิ่มอกอิ่มใจในกระบวนการการทำงาน

Q: เห็นพี่ป๊อดเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ามันมีวันที่รู้ว่าเราร้องเพลงเพื่อให้คนฟัง คือร้องเพลงที่แฟนเพลงคาดหวังว่าจะได้ฟังจากเรา สิ่งที่อยากรู้ต่อจากนั้นคือพี่ป๊อดสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ตัวเองอยากทำกับสิ่งที่คนคาดหวังให้เราทำยังไง

กลับมาที่เรื่องการตั้งทัศนคติแล้วว่าการร้องเพลงเราหวังอะไร ซึ่งถ้าพี่มุ่งหวังว่าพี่อยากจะสร้างเสียงเพลงที่ไพเราะให้กับคนที่อยู่ในห้องนี้หรือในโชว์นี้ ให้มันทำงานกับพวกเขาที่สุดแค่นั้น ไม่ว่าวันนี้คนจะเข้ามาดูห้าคนหรือห้าพันคนหรือห้าหมื่นคน มันก็ไม่สำคัญแล้ว แต่มันอยู่ที่ impression ที่เรามี แค่นี้เราก็จะสบายใจ

Q: แสดงว่าในวันนี้มันไม่ได้ต้องสร้างสมดุลมาก เพราะความพอใจของเขาก็คือความสุขของเราแล้ว

ใช่ แล้วเราร้องเพลงด้วยความรู้สึกอยากให้ เพราะฉะนั้นมันก็ไปตรงไหนก็ได้แล้วเพราะไปเพื่อให้

Q: หลังๆ จะมีคอนเทนต์ที่โปรดิวเซอร์หรือศิลปินออกมาพูดถึงคนในวงการ แล้วชื่อพี่ป๊อดถูกพูดถึงเยอะมากในเรื่องของการมีพลังงานที่ดี นั่นคือสิ่งที่ป๊อดตั้งใจว่าเวลาไปเจอคน ฉันจะต้องมีพลังงานบวกหรือเปล่า และพี่ป๊อดเอาพลังงานนั้นมาจากไหน

มันไม่ใช่ความตั้งใจที่จะสร้างเพื่อเอาไปสัมผัสกับคนหรอก แต่พี่เชื่อในพลังงานที่ดีเพราะพี่เชื่อว่าถ้าเรามีพลังงานแบบไหนเราจะดึงดูดสิ่งนั้น ก็เหมือนที่พวกเราเรียนเรื่องกฎแรงดึงดูดแหละ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไปเจออะไรที่พลังงานมันไม่ได้ หน้าที่ของเราไม่ใช่การไปแก้คนอื่น เราอยากแก้ตัวเองก่อน เราอยากปรับพลังงานเรา เพราะเราไม่อยากไปกระทบหรือดูดเรื่องไม่ดี มันเลยทำให้เรากลายเป็นคนที่กลับเข้ามาหาตัวเองและบริหารพลังงานตัวเองอยู่ตลอด คนที่เจอกับเราเลยจะได้สัมผัสกับสิ่งนี้ เราไม่ได้พยายามทำเพื่อให้ใครประทับใจ เราแค่รักษาพลังงานของตัวเอง

Q: แล้วคิดว่าตอนนี้ชีวิตพี่ป๊อดอยู่ในขั้นไหน

ชีวิตตอนนี้… เมื่อกี๊นั่งรถผ่านเส้นราชดำเนินมา อยู่ๆ ความคิดมันก็แวบมาว่า… ตึกมันสวยมากเลย เรารู้สึกว่ามันคือกำไรชีวิตนี่หว่า เลยรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้มันคือกำไรแล้ว

“มีความ Perfect Days มาก” คำตอบของพี่ป๊อดทำให้เราหลุดปากพูดถึงภาพยนตร์เรื่องโปรดว่าด้วยชีวิตธรรมดากับกิจวัตรประจำวันซ้ำๆ ของพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำในโตเกียว มันแทบจะเป็นการพึมพำกับตัวเอง…

“เนอะ เป็นหนังที่โปรดมาก” แต่พี่ป๊อดกลับตอบมาทันควัน “มันไม่ต้องพูดอะไรเยอะ มันไม่ได้มีความสุขแบบว้าวเปี่ยมหรอก มันก็มีความอึนๆ เหงาๆ เคว้งๆ นิดๆ แต่มันก็หาความสุขในนั้นให้เจอ แบบเงยหน้าไปมองแล้วเห็นท้องฟ้า เห็นแสงแดดลอดผ่านต้นไม้แล้วชื่นใจแวบนึง หรือได้ทำประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดทำให้คนได้ใช้ห้องน้ำแบบสะอาดก็มีคุณค่าแล้ว”

“คำถามสุดท้าย ทุกวันนี้อะไรสำคัญที่สุดสำหรับพี่ป๊อด” หลังจากแอบออกนอกเรื่องไปพูดถึง Perfect Days กันสั้นๆ เราก็กลับมารวบรัดถามคำถามสุดท้ายก่อนจะหมดเวลา

“สำคัญที่สุดคือนาทีนี้ต้องการอะไร ทำให้ดีที่สุดในนาทีนี้แหละ หิวน้ำก็ไปหาน้ำกิน… That’s it!

พี่ป๊อดว่าพลางคว้าขวดน้ำมาดื่ม ก่อนที่อีกไม่กี่นาทีหลังการสัมภาษณ์เราจะได้เจอเขาอีกครั้งบนเวทีเล็กๆ ในลานหญ้า ต่อหน้าคนดูจำนวนหนึ่ง ไม่ได้น้อยจนมีแค่ห้าคน ไม่ได้มากแบบคอนเสิร์ตฮอล์ที่จุคนเป็นหมื่นๆ แต่จะกี่คนก็คงไม่สำคัญมากนัก เพราะในฐานะคนดูในวันนั้น เราก็สัมผัสได้ว่าศิลปินคนหนึ่งกำลัง ‘ร้องเพลงด้วยความรู้สึกอยากให้’ ด้วยแววตาอย่างเอา ที่เราคิดว่าคงไม่แพ้ตอนที่เขาอยู่ ม.3 เลย

Writer
Avatar photo
ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา

อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า

Photographer
Avatar photo
ณัฐวุฒิ เตจา

เปรี้ยว ซ่า น่าลัก

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts