เมื่อความขัดแย้งเล็กๆ กลายเป็นหายนะใหญ่: นิทานเด็กที่สะท้อนถึงความไร้สาระของสงคราม และช่วยถามแทนคนเล็กคนน้อยว่า “ทำไม?”​ โดย นิโกไล พอพอฟ

เมื่อความขัดแย้งเล็กๆ กลายเป็นหายนะใหญ่: นิทานเด็กที่สะท้อนถึงความไร้สาระของสงคราม และช่วยถามแทนคนเล็กคนน้อยว่า “ทำไม?”​ โดย นิโกไล พอพอฟ

บทความนี้ Mappa เคยเขียนถึงความไร้สาระของสงครามไว้แล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ได้รับการตอบรับอย่างดี และยังต้องเขียนขึ้นอีกครั้งในปี 2025 เพื่อย้ำเตือนถึงความไร้สาระของสงครามที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก

สงครามมักเริ่มต้นจากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ของคนเพียงไม่กี่คน แต่กลับลุกลามจนกลายเป็นหายนะที่ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างและนำมาซึ่งคำถามในใจว่า “ทำไม” ของ นิโกไล พอพอฟ (Nikolai Popov) ศิลปินชาวรัสเซียผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นจากประสบการณ์ตรงกับความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 

หนังสือเล่มบางๆ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1996 นี้ ได้กลายเป็นผลงานคลาสสิกที่ถ่ายทอดความไร้สาระของสงครามผ่านภาพวาดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สะท้อนให้เห็นว่าสงครามมักเริ่มต้นจากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ของคนเพียงไม่กี่คน แต่กลับลุกลามจนกลายเป็นหายนะที่ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง

และไม่ใช่แค่นิโกไล พอพอฟเท่านั้น 

“ทำไม?” ยังเป็นเสียงของคนเล็กคนน้อยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามซึ่งดังอยู่ในใจทุกครั้งแต่ไม่เคยได้รับคำตอบ

ศิลปินผู้ผ่านความโหดร้ายของสงคราม

นิโกไล พอพอฟเกิดในปี 1938 ที่เมืองซาราตอฟ ประเทศรัสเซีย เขาเติบโตขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้สัมผัสกับความหิวโหย ความกลัว และการสูญเสียโดยตรง พอพอฟเคยเล่าว่าตอนเด็กๆ เขาต้องอพยพหนีสงครามพร้อมกับครอบครัว ต้องนอนในหลุมหลบภัย ได้ยินเสียงระเบิด และเห็นความตายอยู่รอบตัว ประสบการณ์เหล่านี้ฝังลึกในจิตใจของเขาและกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ต่อต้านสงคราม

หลังสงคราม พอพอฟได้ศึกษาศิลปะที่โรงเรียนศิลปะซาราตอฟและต่อมาที่สถาบันศิลปะแห่งมอสโก เขาทำงานเป็นนักวาดภาพประกอบหนังสือเด็กมาหลายทศวรรษ ผลงานของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการใช้สีน้ำที่อ่อนโยนแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง พอพอฟมักวาดภาพธรรมชาติที่สวยงาม สงบ เพื่อตั้งคำถามว่าเหตุใดมนุษย์จึงต้องทำลายความงามเหล่านี้ด้วยสงคราม

“ทำไม?” เป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของพอพอฟ หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลมากมายและถูกแปลเป็นหลายภาษาทั่วโลก กลายเป็นหนังสือภาพที่ใช้ในการสอนเด็กๆ เกี่ยวกับสันติภาพและผลกระทบของความขัดแย้ง พอพอฟเสียชีวิตในปี 2014 ด้วยวัย 76 ปี แต่ผลงานของเขายังคงมีชีวิตและส่งต่อข้อความแห่งสันติภาพไปยังคนรุ่นใหม่

ดอกไม้ดอกเดียว? ที่ “กบ” และ “หนู” แย่งกัน

ภาพแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้ พอพอฟวาดทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ไม่ใช่แค่ดอกเดียวที่กบและหนูแย่งกัน แต่เป็นทุ่งดอกไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ดอกไม้มีมากมายพอสำหรับทุกชีวิต แต่กลับมีเพียงดอกเดียวที่กลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง นี่คือการตั้งคำถามว่า สงครามเกิดจากความขาดแคลนจริงๆ หรือเกิดจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว และความต้องการครอบครอง ของคนเพียงไม่กี่คน ซึ่งสะท้อนสงครามในโลกแห่งความเป็นจริงที่มักไม่ได้เกิดจากความจำเป็น แต่เกิดจากความต้องการที่จะครอบครอง ความต้องการที่จะเป็นเจ้าของ แม้ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับทุกคนก็ตาม

หนูแย่งดอกไม้มาจากมือของกบ

กบโกรธมากและตัดสินใจที่จะเอาดอกไม้คืน มันกระโดดไปคาบดอกไม้จากปากหนู 

หนูไม่ยอมแพ้ มันวิ่งไปเรียกเพื่อนหนูมาช่วย 

ฝ่ายกบก็ไม่น้อยหน้า มันกระโดดไปตามเพื่อนกบมาเช่นกัน 

จากการแย่งชิงระหว่างสัตว์สองตัว กลายเป็นการทะเลาะกันที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

พอพอฟวาดภาพแสดงการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในตอนแรก กบและหนูใช้แค่กำลังกายในการต่อสู้ แต่เมื่อไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ พวกมันเริ่มหาอาวุธมาใช้ เริ่มจากไม้ กิ่งไม้ หิน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเป็นอาวุธที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เป็นปืน ปืนใหญ่ รถถัง เครื่องบิน สิ่งที่น่าสังเกตคือ พอพอฟวาดให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เพิ่มกำลังและอาวุธเพื่อตอบโต้กัน ไม่มีฝ่ายใดยอมเป็นฝ่ายแพ้ แต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนเองมีเหตุผลที่ชอบธรรมในการต่อสู้ สัตว์ตัวอื่นๆ ที่มาช่วยสมทบ ไม่ได้คิดถึงเหตุผลเริ่มต้น คิดเพียงแค่ต้องการเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้น 

ภาพของฝูงที่ไร้เหตุผล: เมื่อพวกพ้องกลายเป็นเชื้อไฟ

หนึ่งในฉากที่ชวนขบคิดคือ ฉากที่กบและหนูต่างไปเรียกพวกมาช่วย พอพอฟวาดให้เห็นว่าสัตว์ที่มาช่วยเหล่านี้ไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้พยายามทำความเข้าใจต้นเหตุของปัญหา พวกมันเพียงแค่เห็นว่าพวกพ้องของตนกำลังต่อสู้ ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ทันที

ภาพนี้สะท้อนปรากฏการณ์ “mob mentality” หรือจิตวิทยาฝูงชนที่เกิดขึ้นในสงครามจริง ผู้คนมักถูกชักจูงให้เข้าร่วมสงครามโดยอาศัยความรู้สึกร่วมทางเชื้อชาติ ศาสนา หรือชาติพันธุ์ โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงต้องสู้ ใครเป็นคนเริ่ม และมีทางออกอื่นหรือไม่ จนความลุกลามนั้นทำให้จำเหตุตั้งต้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

พอพอฟวาดสีหน้าของสัตว์เหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น บางตัวถึงกับยิ้ม ราวกับว่าการต่อสู้เป็นเรื่องสนุก เป็นการผจญภัย นี่คือการเสียดสีที่แสบคาย  คนที่เข้าร่วมสงครามมักไม่เข้าใจผลที่จะตามมา พวกเขาถูกมอมเมาด้วยความรู้สึกผาดโผน ความภูมิใจ หรือความเกลียดชังที่ถูกปลุกเร้า

ความไร้สาระของสงคราม

ในช่วงกลางของหนังสือ ภาพเริ่มมืดมนขึ้น ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลายเป็นสีเทาดำ ควันปกคลุมไปทั่ว เสียงระเบิดดังสนั่น ทุ่งหญ้าสีเขียวถูกทำลาย ต้นไม้ถูกโค่น ดอกไม้ถูกเหยียบย่ำ สัตว์ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย

ผลลัพธ์ของความรุนแรงคือภาพหน้าคู่ที่แสดงการระเบิดครั้งใหญ่ ทุกอย่างถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี กบและหนูที่รอดชีวิตต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก มองดูความหายนะที่เกิดขึ้น และในหน้าสุดท้าย เราเห็นกบและหนูตัวละตัวยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง 

ไม่มีผู้ชนะ 

มีแต่ผู้แพ้ 

และคำถามว่า “ทำไม?” ปรากฏขึ้น

ไม่เหลืออะไรให้แย่งชิง

ภาพในหน้าสุดท้ายคือจุดสำคัญที่สุดของการเล่าเรื่อง พอพอฟวาดกบและหนูยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีดอกไม้ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีแม้แต่หญ้า มีเพียงดินที่แห้งแล้ง เศษซากของอาวุธ และร่างที่ไร้ชีวิต

สิ่งที่น่าสังเกตคือ พอพอฟเลือกที่จะไม่วาดดอกไม้ดอกใหม่ขึ้นมา ไม่มีการฟื้นฟู ไม่มีความหวัง นี่คือการตอกย้ำว่าบางสิ่งเมื่อถูกทำลายแล้ว ไม่อาจกลับคืนมาได้ สงครามไม่ได้แก้ปัญหาอะไร กลับสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม

และคำถาม “ทำไม?” ที่ปรากฏบนหน้าสุดท้าย ไม่ได้มีคำตอบ เพราะไม่มีคำตอบใดที่สมเหตุสมผลสำหรับสงครามและการการทำลายล้างขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลใดที่จะอธิบายได้ว่าทำไมต้องเสียทุกอย่างไปเพื่อดอกไม้ดอกเดียว

พอพอฟยังแสดงให้เห็นว่าสงครามทำลายไม่เพียงแค่ชีวิตของผู้ที่เข้าร่วมสงคราม แต่ยังทำลายสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และวิถีชีวิตปกติของทุกคน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในสงครามจริงๆ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดมักเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจเริ่มสงครามและถูกทำลายไปพร้อมกับสิ่งอื่นๆ ทุ่งหญ้าที่เคยสวยงามกลายเป็นดินแดนรกร้าง นี่คือความไร้สาระของสงคราม การทำลายล้างเพื่อสิ่งที่ในท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครได้อะไรเลย 

คำถามที่ไม่มีใครอยากตอบ: เมื่อ ‘ทำไม?’ กลายเป็นคำสาปของมนุษยชาติ

“ทำไม?” ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือสำหรับเด็ก แต่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้นำประเทศและผู้มีอำนาจตัดสินใจ หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามสำคัญว่า เหตุใดมนุษย์จึงยังคงเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสงครามนำมาแต่ความสูญเสีย

ในยุคปัจจุบัน เมื่อโลกยังคงเผชิญกับความขัดแย้งและสงครามในหลายพื้นที่ หนังสือเล่มนี้ยิ่งมีความหมายมากขึ้น มันเตือนให้เราตระหนักว่าสงครามมักเริ่มต้นจากเหตุผลที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป

ผลงานของนิโกไล พอพอฟเป็นเสียงกระซิบที่ทรงพลัง เตือนให้มนุษยชาติได้หยุดคิดก่อนที่จะเลือกเส้นทางแห่งความรุนแรง เพราะเมื่อสงครามเริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ และในท้ายที่สุด คำถาม “ทำไม?” จะกลายเป็นคำถามที่ไม่มีใครอยากตอบ เพราะคำตอบนั้นเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts