

สิ่งที่มองเห็น/ มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงและเด็ก ๆ สัมผัสได้ในโลกนิทานภาพ: จักรวาลและเส้นเชื่อมลับระหว่าง ‘บาบา–นานา–โกโก้–โบโบ’ และบทบาทไร้รอยต่อของ ‘บรรณาธิการ–ผู้แต่ง–ผู้วาด’
สิ่งที่มองเห็น/ มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงและเด็ก ๆ สัมผัสได้ในโลกนิทานภาพ: จักรวาลและเส้นเชื่อมลับระหว่าง ‘บาบา–นานา–โกโก้–โบโบ’ และบทบาทไร้รอยต่อของ ‘บรรณาธิการ–ผู้แต่ง–ผู้วาด’
บทสัมภาษณ์ บอมบ์ กฤษณะ กาญจนาภา , อ้อย วชิราวรรณ ทับเสือ และเกื้อกมล นิยม
เด็กมองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อาจมองไม่เห็นเสมอ

พวกเขามองเห็นความจริงเล็ก ๆ ก่อนถ้อยคำ จากสี แสง การกระทำ และที่ว่างบนหน้ากระดาษ นี่แหละคือเหตุผลที่ Mappa อยากชวนผู้อ่านไปดูและไปฟังเบื้องหลัง “กระบวนการที่ทำให้เด็กมองเห็น” มากกว่าจะจบแค่เรื่องเล่าสำหรับเด็ก
การสนทนาครั้งนี้ เราคุยกับบุคคลสามคนที่ทำงานร่วมกันผ่านหน้ากระดาษต่าง ๆ จนออกมาเป็ฯรูปเล่มหนังสือนิทานภาพคุณภาพดี บอมบ์ กฤษณะ กาญจนาภา, อ้อย วชิราวรรณ ทับเสือ และ เกื้อกมล นิยม พวกเขาทำงานร่วมกันไม่ใช่แบ่งตามหน้าที่ว่าใครทำอะไร หลายครั้งพวกเขาแลกเปลี่ยนบทบาทกันบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนนี้ผลิตหนังสือนิทานออกมาได้คือ เขา “เล่น” อยู่ในจักรวาลและโลกใบเดียวกันที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของทั้งสามคน

เราหยิบหนังสือสี่เล่มที่เป็นพื้นที่เล่นจากจักรวาลใบนั้นภายใต้การดำเนินงานของ สำนักพิมพ์สานอักษร มาเป็นเรื่องราวพูดคุยในวันนี้ บาบา นานา โกโก้ และ โบโบ หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในเดือน กันยายน 2568 แน่นอนว่า พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ที่เป็นคนควักกระเป๋าซื้อหนังสือเล่มนี้ หรือเป็นคนอ่านให้เด็กฟังทุกคืน อาจไม่รู้ว่า 4 ตัวละครนี้มีโลกที่เชื่อมกันอยู่ แต่ทั้งสามผู้สร้างหนังสือเล่มนี้ บอกกับ Mappa อย่างมั่นใจสุด ๆ ว่า “เด็ก ๆ รู้ เด็กๆ เห็น”
ผลงานของทั้งสามคนไม่หยุดอยู่แค่ในบ้านเรา แต่เดินทางไกลถึงเวทีนานาชาติ “นานา” คือหนังสือภาพที่ได้รับรางวัล IBBY Award Honored List จาก IBBY (International Board on Books for Young People) องค์กรนานาชาติด้านวรรณกรรมเด็ก ซึ่งเป็น รางวัลเชิดชูเกียรติระดับนานาชาติ จัดทุก 2 ปี คัดเลือกหนังสือเด่นร่วมสมัยจากประเทศสมาชิก แบ่งตามผู้เขียน นักวาด นักแปล ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ สำนักพิมพ์สานอักษรได้พาหนังสือภาพไทยไปปรากฏตัวบนเวทีโลกอย่าง Bologna Children’s Book Fair นี่คือหลักฐานว่า เมื่อ บรรณาธิการ–นักเขียน–นักวาด ทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน หนังสือจะกลายเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับเด็ก และทั้งสามพิสูจน์แล้วว่า หนังสือภาพไทยที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เด็กเพียงแค่คิดตามพล็อต แต่ได้อ่านภาพ อ่านการกระทำ และอ่านสิ่งที่อยู่ระหว่างบรรทัด หรือนอกเหนือบรรทัดเหล่านั้น ที่นำไปสู่การคิดได้ด้วยตัวเอง เกิดขึ้นได้จริง และกำลังพัฒนาขึ้นเพื่อให้หนังสือภาพเหล่านี้กลายเป็นเพื่อนตลอดชีวิตของเด็ก แทนที่จะเป็นเพียงการสั่งสอนว่าเด็กควรจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรเท่านั้น

บทสัมภาษณ์ต่อจากนี้ จะพาไปดูใกล้ ๆ ว่าเขาสร้างโลกก่อนปล่อยตัวละครเดินไปเดินมาในโลกใบนั้นได้อย่างไร นักวาด นักเขียน และบรรณาธิการทำหน้าที่อะไร วางความ มาก น้อย ช่องว่าง เพื่อเว้นที่ให้คนอ่านคิดได้ด้วยตัวเองแบบไหนให้พอดี และในจักรวาลสี่เล่มนี้ ซ่อนอะไรไว้ระหว่างบรรทัด ทั้งรอยเชื่อมของตัวละคร ความรู้สึก และแสงที่คงเส้นคงวา ไปจนถึงรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ตั้งใจไม่พูด เพื่อให้เด็กเป็นคนมองเห็น
นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังจักรวาล บาบา–นานา–โกโก้–โบโบ ผลงานที่เกิดจากการพบกันของสามคนบอมบ์ อ้อย และเกื้อ จุดเริ่มต้นไม่ใช่ความตั้งใจยิ่งใหญ่ แต่คือการทดลอง วาดเส้นลงบนกระดาษหนึ่งหน้า และปล่อยให้มันกลายเป็นประตูสู่โลกที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อน
โลกที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้วและค่อยๆ เรียบเรียงออกมา
มีความทรงจำของคนทำงานที่ซึมอยู่ในสีและเส้น
และมีช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างคำกับภาพ ที่รอให้ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เติมเข้าไปด้วยประสบการณ์ของตัวเอง
Mappa อยากชวนคุณนั่งลงข้างโต๊ะนั้นด้วยกัน แล้วเริ่มฟังพวกเขาคุยไปด้วยกัน
การพบกันครั้งแรก : คนทำนิทานภาพย่อมต้องพบเจอกันเพราะ “ภาพ”
จักรวาลบาบา–นานา–โกโก้–โบโบ เริ่มต้นจาก “ภาพ”
อ้อยเล่าย้อนด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังหยิบความทรงจำเก่าออกมาปัดฝุ่น “จริง ๆ เรื่องนี้มันชื่อ เที่ยวบ้านเพื่อน ตอนนั้นพี่บอมบ์กับพี่อ้อยวาดภาพนี้ค้างไว้เกือบสิบปี มีภาพอยู่แค่หน้านึงที่วาดไว้ แต่ก็ยังไม่ได้มีเรื่องอะไร”

บอมบ์เสริมต่อว่า “ตอนนั้นมันยังไม่ใช่เรื่องหรอกครับ มันเป็นแค่ความประทับใจ เราสองคนไปเที่ยวบ้านเพื่อนแล้วก็วาดเก็บไว้ รูปเดียวเอง เหมือนบันทึกเป็นความสนุกความทรงจำส่วนตัว”
ในเวลานั้น “หน้าเดียว” ไม่ได้มีพลังอะไรมากไปกว่าความทรงจำ แต่แล้วพี่แต้ว รพีพรรณ พัฒนเวช หนึ่งในบรรณาธิการอิสระด้านหนังสือเด็กซึ่งเป็นอีกคนที่เคยร่วมทริปนี้ด้วยกัน กลับมองเห็นบางอย่าง และนำภาพนั้นไปถามเกื้อว่า “สำนักพิมพ์สานอักษรสนใจไหม มันมีภาพหน้านี้อยู่นะ ยังไม่มีเรื่องหรอก แต่อยากให้รู้จักกัน และเผื่อเกื้อจะสนใจ”
ในตอนนั้น เกื้อตอบตกลงทันที จากภาพวาดภาพเดียว และนั่นคือครั้งแรกที่เส้นทางของทั้งสามคนบรรจบกัน บอมบ์กับอ้อยที่เคยทำงานกันเป็นคู่หูนักวาดหนังสือนิทานภาพ และเกื้อที่เข้ามาในฐานะบรรณาธิการ

เกื้อเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ชวนให้หลงใหลไม่ใช่เพียงเส้นหรือสีในภาพนั้น แต่เป็น “ความรู้สึกที่ยังไม่ถูกเล่า” โลกทั้งใบที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปเดียว แม้ไม่มีคำบรรยาย ยังไร้ฉากหลัง ยังไร้เสียงเล่า ก็สามารถบอกเล่า “ความรู้สึก” ของสิ่งที่อยู่ในภาพได้
และภาพนั้นได้กลายเป็นประตูบานแรกที่เปิดไปสู่ “โต๊ะร่วมงานเล็ก ๆ” ซึ่งต่อมาได้ขยายเป็นสนามทดลองของสามชีวิตในการทดลองทำนิทานภาพไปด้วยกัน
“ตอนนั้นมันยังไม่มีเรื่อง ไม่มีองค์ประกอบอะไรเลย” บอมบ์ย้ำอีกครั้ง “แต่สิ่งที่เราคิดกันก็คือ หนังสือมันต้องมีความรู้สึก และเราอยากให้มันเริ่มจากความรู้สึก เราก็เริ่มทำหนังสือภาพเล่มนี้จากคำถามที่ถามกันว่า แล้วเล่มนี้จะพาให้คนอ่านรู้สึกอะไร?”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของจักรวาลนิทานภาพที่ไม่ใช่การกำหนดพล็อต องค์ความรู้ สิ่งที่อยากสอนที่อยากให้ผู้อ่านตัวเล็กได้รับ แต่เป็นการตั้งคำถามถึง “ความรู้สึก” ที่อยากมอบให้คนอ่าน และนั่นเองที่ทำให้ภาพเพียงภาพเดียว ค่อย ๆ กลายเป็นจักรวาลเต็มรูปแบบในเวลาต่อมา
และจากการนัดเจอเล็ก ๆ ในวันนั้น จึงค่อย ๆ กลายเป็นโต๊ะที่กว้างขึ้น โต๊ะที่ในอนาคตจะรองรับจักรวาลของบาบา นานา โกโก้ และโบโบ เอาไว้ได้
โต๊ะร่วมงานที่เริ่มจาก “การเล่น”
จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่ “โต๊ะ” สักทีเดียว
โดยเฉพาะในยุคนี้ที่การทำงานไม่ต้องนั่งทำงานด้วยกันเสมอไป แต่สิ่งที่ นักวาด นักเขียน และบรรณาธิการสามคนนี้ทำงานร่วมกันอาจจะยิ่งสนุกขึ้นไปอีกแบบ พวกเขาเริ่มจากการสร้างโลกใบหนึ่งขึ้นมาในจินตนาการและชวนกันไป “ลองเล่น” ในโลกใบนั้นด้วยกัน

เมื่อเกื้อตอบรับคำเชิญที่บอมบ์และอ้อยชวนเขาไปเดินเล่นในโลกใบนั้น พวกเขาจึงเข้าใจ “โลกใบนั้น” อย่างดี บรรณาธิการเข้าใจว่านักวาดอยากจะสื่ออะไร แล้วลองเส้น ลองสี ลองจังหวะภาพ ดึงสิ่งที่น่าสนใจออกมา นักเขียนหาถ้อยคำอย่างพอเหมาะพอดีเข้าไปเสริม ทั้งหมดนี้พวกเขามีสิ่งหนึ่งร่วมกัน คือ “คิดในมุมเด็กอยู่เสมอ” ก่อนที่ แสง สี ภาพ ความ เรื่อง และคำ จะขยายออกมาเป็นเล่ม

“จริงๆ เหมือนเรามาเล่นกัน 3 คน เมื่อก่อนเราทำงานสองคน มันก็จะได้ประมาณนึง แต่เราเป็นคนลงมือวาด ลงมือเขียน มันเป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันอยู่สองคน แต่พอมีบรรณาธิการที่เข้าใจโลกแบบนี้มาช่วย มันเปิดโอกาสให้เราทำอะไรได้มากขึ้น แล้วหนังสือเอง ทั้งภาพ และคำมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้าย้อนกลับไปดู ก็จะเห็นเลยว่าหนังสือมันโตขึ้นเรื่อยๆ จริง ๆ” บอมบ์พูดกับเรา
การเล่นในที่นี้จึงไม่ใช่เรื่องเบาสมองหรือไร้สาระ แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย พื้นที่ที่บอมบ์ อ้อย และเกื้อสามารถโยนความคิดที่ยังไม่สมบูรณ์ออกมาตรงกลาง แล้วดูว่ามันจะกระเด้งกลับมาเป็นอะไร

“สิ่งที่พี่บอมบ์ พี่อ้อยทำมันคือการทดลองจริง ๆ ในเล่มเที่ยวบ้านเพื่อน นอกจากทดลองวิธีเล่าเรื่องแบบใหม่ ด้วยความเยอะแบบนั้นมันจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย แต่ไม่ได้แค่จะมาช่วยเพื่อให้แก้งานให้ง่ายขึ้น ในตอนนั้นถ้าเราต้องการหาภาษาภาพใหม่ เราก็ต้องหาวิธีทำภาพแบบใหม่ด้วย และมันคือต้องลองด้วยว่าเส้น สี และเทคนิคแบบไหนจะยังคงสื่อความรู้สึกที่เราอยากให้คนอ่านได้รับในแบบที่เราต้องการ ถ้าคอมพิวเตอร์วาดออกมาแล้วได้ภาพแข็งๆ กรอบชัดๆ เราก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ภาพที่เราอยากได้”

บนโต๊ะทำงานนั้น บางวันเต็มไปด้วยกระดาษสเก็ตช์ที่ขีดแล้วขีดอีก บางวันเต็มไปด้วยไฟล์ทดลองที่ยังไม่ลงตัว ทุกครั้งที่บอมบ์วาดเส้น อ้อยก็ต้องหาวิธีลงสีใหม่ ๆ จนกว่าจะเจอ “น้ำหนัก” ที่ทั้งคู่พอใจ
บอมบ์เล่าพร้อมหัวเราะ “เวลาผมทำเสร็จ อ้อยก็มักจะเจอว่าตรงนี้มันไม่เวิร์ก ผมก็จะบอกเปลี่ยน ๆ อ้อยก็จะบอกว่า จะบ้าหรือ ทำมือมาตั้งนานแล้ว! แต่สุดท้ายเราก็หาวิธีใหม่จนได้”
อ้อยยิ้มและยอมรับ “จริงค่ะ คือถ้าเป็นแบบเดิมเราก็ไม่อยากทำ เลยต้องคิดเทคนิคใหม่ ๆ มาลอง จนสุดท้ายก็เจอวิธีที่ใช่”
บรรยากาศจึงไม่ใช่การทำงานเคร่งเครียด แต่เหมือนการเล่น เล่นจริง เจ็บจริง แต่สนุก เพราะทุกการแก้ไขคือการค้นพบใหม่ ทุกความขัดใจคือการเปิดทางให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“งานแบบนี้มันไม่ใช่แค่เส้นกับสี แต่คือการอ่านมู้ด อ่านภาพรวมความรู้สึก อ่านเจตนาของงาน ถ้าไม่เข้าใจเจตนาของศิลปิน เราในฐานะบรรณาธิการก็จะแก้ไม่ถูก แก้แล้วไม่ตรงตามเจตนาของเขา หน้าที่บรรณาธิการก็คือช่วยดึงให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาพมันชัดขึ้น” เกื้อพูดเสริมในฐานะบรรณาธิการ
จากโต๊ะที่เคยรองรับเพียงภาพหนึ่งหน้า มันได้ขยายเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับผู้ใหญ่สามคนที่ยังเชื่อว่าการเล่น และการทดลองไม่เคยสิ้นสุด
ศิลปะแห่งการมองเห็นสิ่งที่ไม่ถูกเล่า
รู้หรือไม่ว่า โกโก้ กอริลล่าสีฟ้าหน้าตาดูบึ้งตึงและปฏิเสธทุกอย่าง จริง ๆ แล้วเขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงโดยจระเข้?

เรื่องราวนี้ไม่เคยถูกเขียนลงไปในหนังสือ แต่ทุกการกระทำของโกโก้กลับพาให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ รวมถึงรายละเอียดภาพที่นักวาดทั้งสอง “ซ่อนความ” รอเอาไว้ให้เด็กค้นพบ
เกื้อเล่าว่าหน้าที่ของเธอคือการหยิบสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างพอเหมาะพอดี ไม่ตะโกนเกินไป และไม่บางเบาจนไม่มีใครมองเห็น “เวลารับต้นฉบับมา เราจะถามก่อนเลยว่า คอนเซ็ปต์คืออะไร อย่างโกโก้ ก็ถามตรง ๆ ว่านี่คอนเซ็ปต์มันคือ don’t judge a book by its cover ใช่ไหม คืออย่าพึ่งตัดสินคนจากหน้าปก เพราะเรื่องกับตันโกโก้ แม้ตัวโกโก้จะหน้าตาบูดบึ้ง แต่ช่วยเหลือใคร ๆ มาตลอดทั้งเรื่องเลยนะ”

เมื่อทั้งสองยืนยันตรงกันว่าใช่ เกื้อในฐานะบรรณาธิการก็เริ่มไล่ดูว่าอะไรควรเน้น อะไรควรถอย เพื่อให้ “เงา” และ “แสง” ที่ซ่อนอยู่ในตัวละครยังคงมีพลังโดยไม่ต้องพูดตรง ๆ
อ้อยเล่าอย่างขำ ๆ แต่จริงจังว่า “ตอนแรกเราจะตั้งชื่อว่า โกโก้ใจดี แต่เกื้อบอกว่าไม่ต้องหรอก เด็กเข้าใจได้อยู่แล้ว คือเรื่องแบบนี้มันฟังดูเล็กน้อยนะ แต่จริง ๆ แล้วเปลี่ยนวิธีอ่านทั้งเล่มเลย”
บอมบ์พยักหน้าเสริม “ตัวคนทำงานเองบางทีก็มองไม่เห็น เพราะเราจมอยู่กับรายละเอียด พอมีคนมพอถอยออกแล้วบอกว่า ‘ตรงนี้มันยังไม่ถึง’ หรือ ‘ตรงนี้มากไป’ งานมันก็ชัดขึ้นเยอะ และสื่อได้ตรงใจเราขึ้นไปอีก นี่คือการเติบโตที่ผมพูดถึง”

อีกตัวละครหนึ่งในหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดจากสำนักพิมพ์สานอักษร “โบโบ” ในเล่มนี้ยิ่งชัดเจนว่ามี “สิ่งที่ไม่ถูกเล่า” แทรกอยู่ในนั้นมากมาย เกื้อเล่าว่าตอนแรกพวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ จนกระทั่งอ้อยเสนอว่าให้ “ป่า” เป็นผู้เล่า
“พอป่าเป็นคนเล่า ทุกอย่างเปลี่ยนเลยค่ะ มันไม่ใช่แค่ตัวละครพูดคุยกัน แต่กลายเป็นเสียงใหญ่ที่โอบล้อมเด็กเข้าไปในโลกใบนั้น เรายังใส่ประโยคอย่าง ‘สวัสดีเธอที่รัก ฉันคือ…’ ในช่วงต้น เพื่อให้เด็กสัมผัสได้เลยว่า ป่ากำลังพูดคุยกับเขาอยู่จริง ๆ”
การเลือก “ใครเป็นผู้เล่า” ในหนังสือนิทานเล่มนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันกำหนดอารมณ์ทั้งเล่ม แม้ภาพจะดูเหมือนสดใส แต่ที่จริงแล้วโลกกำลังเปราะบาง กำลังขาดแคลน และนำไปสู่การสูญเสียอะไรบางอย่าง เกื้ออธิบายว่า “ภาพมันต้องทำหน้าที่เสนอความรู้สึกของทั้งเล่ม บางครั้งเนื้อเรื่องเล่าว่าเก็บผลไม้ในป่า แต่เราต้องตัดสินใจว่าจะทำให้ป่าดูชุ่มชื่น หรือแห้งแล้งขาดอาหาร…สิ่งพวกนี้คือการเล่าที่อยู่ในภาพมากกว่าคำ หรือบางทีมันต้องทำหน้าที่ไปพร้อมๆ กัน ทั้งภาพและคำ”

สิ่งที่ไม่ถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมาในนิทานเล่มนี้ คือ เด็กกำพร้าที่อยู่กับปู่ที่ไม่ใช่ปู่แท้ๆ ของเขา ป่าที่กำลังหายไปพร้อมกับโลกที่กำลังพังทลาย หรือความงดงามของมนุษย์และสิ่งต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ในความโหดร้ายของสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้กลับเป็นหัวใจที่ทำให้นิทานชุดนี้มีชั้นเชิง เกื้อไม่ได้แต่งเติมสิ่งใหม่เข้าไป แต่ช่วย “ทำให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ยังคงถูกมองเห็น” โดยไม่ทำลายความเงียบงามของภาพที่นักวาดและนักแต่งนิทานกำลังนำเสนอ
และนั่นเองคือบทบาทของบรรณาธิการ ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบ แต่เป็นคนที่ส่องไฟให้ทางที่ยังไม่ถูกเห็นชัด วางจังหวะของเล่มอย่างเพียงพอจนกลายเป็นเส้นเดียวกันที่ทุกคนสามารถก้าวไปด้วยกันได้
หนังสือสี่เล่ม : ประตูสี่บานที่เปิดทะลุมิติหากัน
จักรวาลนี้ไม่ได้ประกาศตัวดัง ๆ แต่ผูกกันด้วยอารมณ์ โทนแสง และจังหวะภาพที่ซ่อนอยู่ เด็กจำนวนไม่น้อยบอกสิ่งที่ผู้ใหญ่ยังไม่ทันสังเกตได้ “ลูกเอาหนังสือมากอง แล้วบอกแม่ว่า ‘เนี่ย หนังสือคนเดียวกันเขียนหมดเลย’” อ้อยเล่าอย่างภูมิใจ เธอบอกว่าเด็กบางคนเห็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมองข้าม และนั่นคือความงามของการอ่านที่ไม่ต้องมีคำบอกตรง ๆ

บาบา : ตัวละครที่ลึกลับแต่ใจดี เหมือนคนแปลกหน้าที่ค่อย ๆ ละลายอคติของเรา ไม่ใช่ด้วยคำประกาศ แต่ด้วยการกระทำเล็ก ๆ ความอบอุ่นของบาบาจึงไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมา แต่คือสิ่งที่มองเห็นได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนรอบข้าง
นานา : แฟนตาซีในชีวิตประจำวัน ทำให้เรื่องเล็ก ๆ อย่างการกิน หรือการเก็บผลไม้ธรรมดา กลายเป็นการผจญภัยที่เปล่งประกาย แสงและช่องว่างในภาพเหมือนประตูบานเล็กที่ชวนให้เด็ก ๆ ก้าวเข้าไป และจินตนาการต่อในแบบของตัวเอง นอกจากนั้นยังแทรกสายสัมพันธ์ที่แม่ได้ซ่อนไว้ แม้แม่จะไม่ได้ปรากฎอยู่ในเรื่องมากนัก แต่ปรากฎในความสัมพันธ์ที่แม่สร้างไว้กับคนในหมู่บ้าน เพื่อให้ลูกได้รับความช่วยเหลือดูแล
โกโก้ : ตัวละครที่เริ่มต้นจากบาดแผลและการปกป้องตัวเอง “จริง ๆ แล้วโกโก้เป็นเด็กกำพร้าที่จระเข้เอามาเลี้ยง” เกื้อเล่า แต่นี่คือเรื่องที่ไม่ได้เขียนตรง ๆ เพราะสิ่งสำคัญคือให้เด็กอ่าน “ความรู้สึกก่อนเหตุผล” เห็นการปฏิเสธที่ห่อหุ้มไว้ด้วยความเปราะบาง และเรียนรู้ว่ามนุษย์มีชั้นที่ซับซ้อนกว่าภาพภายนอกเสมอ
โบโบ : จุดกำเนิดในโลกแห้งผาก เริ่มต้นจากคำถามที่เกือบสิ้นหวัง “ถ้าโลกไม่มีต้นไม้ล่ะ?” จากนั้นจึงค่อย ๆ หาต้นทางชีวิตใหม่จากสิ่งเล็กที่สุด

สี่ประตูนี้ บาบา นานา โกโก้ และโบโบ อาจดูต่างกัน แต่จริง ๆ แล้วเชื่อมกันอย่างเงียบ ๆ เหมือนเส้นใยใต้ดินที่ไม่มีใครเห็น เด็ก ๆ สัมผัสมันได้จากวิถีของภาพแลคำที่ต่อเนื่อง และทุกครั้งที่พวกเขาเปิดประตูบานหนึ่ง ก็ค่อย ๆ พบว่ามีอีกหลายบานรออยู่ไม่ไกล
เมื่อเด็กคือผู้เขียนอีกครึ่งเล่ม
เด็กไม่ได้อ่านนิทานเหมือนผู้ใหญ่ที่อ่านคู่มือ แต่เหมือนคนที่กำลังก้าวเข้าไปในโลกอีกใบ ลูบผนัง มองหาประตู และบางครั้งก็สร้างทางลัดของตัวเองขึ้นมาใหม่

ลองนึกถึง บนพื้นห้องเล็ก ๆ มีเด็กคนหนึ่งกองหนังสือรอบตัว เขาเปิดไปเจอบาบาในเล่มหนึ่ง แล้วพบเงาของบาบาอีกทีในเล่มอื่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกแม่อย่างมั่นใจว่า “นี่คนเดียวกันหมดเลยนะ!” แม่ซึ่งแม้จะเป็นคนอ่านให้ลูกฟังทุกเล่มอาจยังไม่เคยสังเกตเห็น แต่สำหรับเด็ก สิ่งนี้ชัดเจนเกินกว่าจะมองข้าม และความเชื่อมโยงเล็ก ๆ ที่เขาพบ กลายเป็นเส้นด้ายที่ถักจักรวาลเล่มต่อเล่มเข้าด้วยกัน
อย่างที่นักวาด นักเขียน และบรรณาธิการ ทิ้งร่องรอยเส้นด้ายเหล่านั้นเอาไว้ให้

“พี่ไม่อยากให้นิทานจบที่บทเรียนครับ เราโยนโลกหนึ่งใบให้เด็ก แล้วเขาจะเติมมันยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเขา” บอมบ์บอกกับพวกเรา อ้อยเสริมว่า “เด็กบางคนก็มาเล่านะ บอกว่าอยากให้โกโก้เป็นหมอฟัน คือเขาไม่ได้แค่อ่าน แต่เขากำลังเขียนต่อเอง”
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้สอดคล้องกับแนวคิด multimodal literacy หรือการอ่านที่ไม่จำกัดอยู่แค่คำ แต่รวมถึงภาพ จังหวะ ช่องว่าง และอารมณ์ เด็กจึงไม่ได้อ่านสิ่งที่ผู้ใหญ่เขียน แต่กำลังอ่านรหัสหลายชั้นที่ซ่อนอยู่ในงาน และตีความตามประสบการณ์ของตนเอง

เกื้อในฐานะบรรณาธิการบอกว่า “หน้าที่เราไม่ใช่ปิดกั้นความหมายด้วยการทำให้มันชัด ๆ แต่เว้นที่ว่างพอให้เด็กได้เข้าไปนั่งอยู่ข้างในเรื่องนั้นได้ ถ้าเราเขียนปิดเอาไว้หมด เด็กก็ไม่มีพื้นที่จะตีความ” สิ่งนี้ยังเชื่อมกับแนวคิด dialogic reading ที่มองว่าการอ่านคือการสนทนาระหว่างเรื่องกับผู้อ่าน ไม่ใช่การยัดเยียดบทเรียนเพียงหนึ่งเดียว
สิ่งที่ไม่ถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมา โกโก้ที่จริงคือเด็กกำพร้า ป่าและโลกของโบโบที่กำลังเสื่อมสลาย กลับกลายเป็นสิ่งที่เด็กสัมผัสได้ผ่านภาพและ mood ของเรื่อง “ป่าเป็นคนเล่าเรื่อง มันทำให้เด็กได้ยินเสียงที่ใหญ่กว่าตัวละคร…และเดี๋ยวเด็ก ๆ ที่เป็นคนอ่าน พวกเขาจะเชื่อมต่อด้วยวิธีของเขาเอง” เกื้อเล่า การอ่านจึงไม่ใช่การหาคำตอบเดียว แต่คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กตั้งคำถาม และให้สิ่งที่อยู่บนหน้ากระดาษทำงานต่อในจินตนาการของเขา
ในตลาดนิทานไทย งานที่เปิดพื้นที่เช่นนี้ยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่ยังคงลงท้ายด้วยบทเรียนตรงไปตรงมา “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…” แม้จะไม่ได้มีประโยคนี้จริงๆ แล้ว แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากบอกหรือสอนเด็ก ซึ่งแม้จะมีคุณค่า แต่ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กได้คิดต่อด้วยตัวเอง เด็กจึงรู้สึกว่าพื้นที่ในหนังสือนิทานแบบนั้นไม่ใช่เรื่องราวของเขา แต่เป็นเรื่องราวของผู้ใหญ่ที่กำลังชี้ทางให้เขา

ขณะที่ตลาดโลก โดยเฉพาะยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น นิทานร่วมสมัยกลับเคลื่อนไปในทิศทางตรงข้าม เปิดหลายชั้น หลายความหมาย และยอมรับว่าการอ่านคือการร่วมสร้างความหมาย ไม่ใช่การรับความหมายจากผู้เขียน จักรวาลของบาบา นานาโกโก้ และโบโบ จึงไม่ใช่เพียงนิทานชุดหนึ่งเท่านั้น แต่คือการริเริ่มที่จะบอกว่าเด็กทุกคนมีสิทธิ์จะเป็นผู้เขียนอีกครึ่งเล่มของเรื่องราวที่พวกเขาอ่าน โดยเฉพาะพื้นที่อย่างนิทานภาพสำหรับเด็ก
จักรวาลที่ยังคงมีเรื่องเล่าไม่รู้จบ
เมื่อพูดถึงอนาคตของจักรวาลนี้ คำถามไม่ใช่ว่า “จะทำต่อหรือไม่” แต่คือ “จะเล่าอะไรเป็นลำดับถัดไป” เพราะบนโต๊ะของบอมบ์ อ้อย และเกื้อ เต็มไปด้วยตัวละครที่กำลังอยากเล่าเรื่อง และโลกบางใบที่อาจยังไม่ถูกเผยออก

“เวลาเราคุยกัน มันเหมือนโยนก้อนหินลงน้ำ แล้วเกิดวงคลื่น” บอมบ์เล่า “บางทีเราก็โยนไปหลายทิศ วงมันกระจาย แต่ก็มีบางวงที่ชัดจนเราต้องเดินไปต่อ” เกื้อเสริมว่า “พอเรารู้ว่าขั้นนี้มีคนรับได้ เข้าใจที่เราสื่อ เราก็จะขยับความยากขึ้นอีกนิด หรือนอกกรอบอีกนิด…มันเหมือนเล่นเกมที่ค่อย ๆ ปรับเลเวล”
หนึ่งในไอเดียใหม่คือการพาตัวละครออกไปไกลกว่าป่าและบ้าน เพื่อลองสำรวจอวกาศ หรือเจอสัตว์ประหลาดที่เกินจินตนาการของผู้ใหญ่ “จริง ๆ เราคุยกันเรื่องสัตว์ประหลาดกับอวกาศ” เกื้อหัวเราะ “ก็แอบคิดนะว่าพ่อแม่จะพร้อมไหม แต่เด็ก ๆ พร้อมแน่”

อีกเส้นทางที่ทั้งสามคนพูดถึง คือการสร้างหนังสือที่ยังคงความงามในเชิง aesthetic อยู่ในทุกเล่ม หนังสือที่ไม่ยอมลดคุณภาพภาพและการออกแบบลงเพื่อให้ “ใช้ง่าย” แต่กลับเลือกจะทำให้มันเป็นศิลปะที่เด็กเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน “เพราะเด็กไทยมีสิทธิ์ได้เจอหนังสือที่ไม่ลดทอนความฝันของเขา” บอมบ์อธิบาย “ไม่ใช่แค่บอกว่าต้องผูกเชือกรองเท้า ต้องกินข้าวให้หมด แต่เป็นการให้เขาเดินเข้าไปในโลกจินตนาการที่ยังจับต้องได้ และยังงดงามด้วย”

อ้อยเสริมเบา ๆ แต่มั่นใจว่า “เราอยากทำหนังสือที่เด็กอ่านแล้วเห็นว่ามันสวยได้ สนุกได้ และยังพาไปไกลได้ในเวลาเดียวกัน”
ในโลกปัจจุบัน ตลาดนิทานภาพไทยยังมีงานลักษณะนี้ไม่มาก ส่วนใหญ่ยังคงเน้นชีวิตประจำวันเชิงสั่งสอน ขณะที่ในตลาดโลก เราเห็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนไปอีกทาง หนังสือที่เป็นทั้งเรื่องราวประเด็นสังคม วิธีคิดเชิงคุณค่า การเปิดพื้นที่ให้การตีความและยังคงคุณค่าด้านศิลปะไว้ด้วย นี่จึงไม่ใช่แค่การสร้างหนังสือเล่มใหม่ แต่เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการอ่านสำหรับเด็กไทย

“เด็กไม่ได้ถามเราว่าเล่มนี้สอนอะไร” เกื้อย้ำ “แต่เขาจะถามว่า ‘แล้วตัวละครนั้นจะกลับมาอีกไหม?’ นั่นแหละคือคำตอบว่าเรามาถูกทางแล้ว”
จักรวาลของบาบา นานา โกโก้ โบโบ จึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ กำลังรอให้เด็กเป็นคนเขียนต่อ และรอให้ผู้ใหญ่กล้าพอที่จะปล่อยพื้นที่ ให้ความฝัน ความสงสัย และความรักของเด็ก ๆ เติบโตไปไกลกว่าที่ผู้ใหญ่คิดไว้
Writer

Admin Mappa
illustrator

Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด