“อีไอซ์มันเป็นนักสู้” แงะทุกแง่มุมในสังเวียนชีวิต “รักชนก ศรีนอก” ว่าที่ ส.ส. ที่เติบโตจากความเหลื่อมล้ำ สู่วันคว้าหัวใจคนในพื้นที่

“อีไอซ์มันเป็นนักสู้” แงะทุกแง่มุมในสังเวียนชีวิต “รักชนก ศรีนอก” ว่าที่ ส.ส. ที่เติบโตจากความเหลื่อมล้ำ สู่วันคว้าหัวใจคนในพื้นที่

หลายคนรู้จัก “ไอซ์ – รักชนก ศรีนอก” ในฐานะว่าที่ ส.ส.​ พรรคก้าวไกล ที่เอาชนะบ้านใหญ่และคว้าหัวใจคนในพื้นที่ด้วยการหาเสียงแบบสู้ชีวิต แต่ก่อนจะเป็นว่าที่ ส.ส.​ไอซ์ ในวันนี้ เธอคือเจ้าของฉายา “เจ้าแม่คลับเฮาส์” ผู้ยอมรับว่าตัวเองเคยเป็น “สลิ่ม” มาก่อน และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ ทำให้เธอกลายเป็นตัวตึงในวงการผู้ตื่นตัวทางการเมือง ที่ติดตาม แสดงออก และคอยขับเคลื่อนเรื่องการเมืองอย่างเข้มข้น ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกฟ้องในคดี ม.112 

ในขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองของรักชนกมีให้เห็นมากมายในโซเชียลมีเดีย แต่น้อยคนนักที่จะรับรู้เรื่องราวชีวิตของหญิงสาวคนนี้ เบื้องหลังใบหน้าเด็ดเดี่ยวของรักชนก คือความเจ็บปวดของผู้ถูกกระทำในสังคมแห่งความเหลื่อมล้ำเยี่ยงสังคมไทย หญิงสาวนักสู้ผู้ไม่เคยกลัวใคร เก็บซ่อนหัวใจที่แตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเอาไว้อย่างเงียบงัน และหากมีคำใดสามารถนิยามชีวิตผู้หญิงคนนี้ ก็คงเป็นคำว่า “ปากกัดตีนถีบ” ได้อย่างแน่นอน 

และนี่คือเรื่องราวของไอซ์ – รักชนก ที่ Mappa ขอยกให้เธอเป็น “นักสู้ตัวจริง” 

วัยเด็กของ ด.ญ. ไอซ์ 

เรามาจากครอบครัวที่พ่อกับแม่ไม่พร้อม พ่อทิ้งแม่เราไป แม่ก็ทิ้งเราไว้ที่บ้านคุณยายคนหนึ่ง หลังจากนั้นแม่ไม่ได้ส่งเงินมาให้ ยายเขาก็เลยรู้สึกว่าดูแลเราไม่ไหว จึงต้องหาคนมารับเลี้ยง เราเลยได้มาอยู่ที่บ้านของแม่บุญธรรม ด้วยความที่เป็นบ้านคนจีน แม่บุญธรรมมีลูก 6 คน รับเราเข้าไปเป็นคนที่ 7 เราก็ต้องทำทุกอย่าง ใครใช้ให้ทำอะไรก็ต้องทำ เราอยากออกไปจากบ้านหลังนี้ เพราะบ้านไม่ได้อบอุ่น เวลาไปโรงเรียนแล้วเห็นเพื่อน ๆ มีพ่อแม่มารับ หรือมาร่วมทำกิจกรรมวันพ่อหรือวันแม่ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นปมด้อยของเรา 

ตอนเด็กเราเคยมีช่วงที่สงสัยว่าทำไมคนในบ้านถึงไม่รักเรา เรารู้สึกว่าไม่เคยได้รับความรักหรือการดูแลเอาใจใส่เลย เคยมีญาติในบ้านพูดว่า “เอามาเลี้ยงทำไม อีกหน่อยเดี๋ยวมันก็เป็นเหมือนแม่มัน เรียนไม่จบหรอก” ตอนนั้นเรางงว่าแม่ของเราไม่ใช่คนที่เราอยู่ด้วยตั้งแต่จำความได้เหรอ จนเวลาผ่านไปถึงได้รู้ว่าเราคือลูกที่เขารับมาเลี้ยง เจ็บปวดเหมือนกัน แต่ก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมเราถึงถูกเลือกปฏิบัติจากบางคนในบ้าน เราไม่เคยมีอุปกรณ์การเรียนเลยเวลาไปโรงเรียน เราต้องแอบจิ๊กปากกาของเพื่อนมาใช้ เวลาทำกิจกรรมอะไรหรือคาบที่ต้องปลูกถั่วงอก พ่อแม่ของเพื่อนเขาจะจัดหาอุปกรณ์ให้ แต่เราไม่เคยได้อะไรเหล่านี้เลย แล้วเราต้องสอบตกตลอด เพราะคนที่บ้านไม่ได้สนใจ เราเลยรู้สึกว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ วัยเด็กจึงเป็นช่วงเวลาที่ดำมืดมากเลยนะสำหรับเรา ช่วงเวลาวัยเด็กของเรามันแย่มากสำหรับเด็กคนหนึ่งที่โดนพ่อแม่ทิ้งไป แล้วก็ต้องมาอยู่ในครอบครัวอุปถัมภ์ที่เขาก็ไม่ได้รักและเอาใจใส่ แต่เราก็ขอบคุณเขา ที่อย่างน้อยก็ดูแลเรา ให้ที่ซุกหัวนอน และให้การศึกษาจนถึงระดับหนึ่ง 

แสงริบหรี่ก่อนวูบดับในชีวิตที่มืดมน 

เราว่ามันเป็นกระบวนการของมนุษย์ปกติ พอชีวิตขาดอะไรไป เราจะหาอย่างอื่นมาเต็มเติม คือเราอยากทำให้เพื่อนรักเรา อยากทำให้คุณครูรักเรา เราก็เลยตั้งใจเรียน ทำกิจกรรม เล่นบาส เล่นละครโรงเรียน คือพยายามจะเป็นที่รักของคุณครู และได้รับการยอมรับจากคนในโรงเรียน ซึ่งเราว่ามันคือสิ่งชดเชยที่เราไม่ได้รับจากครอบครัว เพื่อนของเราก็มีความเห็นอกเห็นใจ คือทุกคนมีครอบครัวที่สมบูรณ์ เขาจะรู้ว่าบ้านไอซ์ไม่มีคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเวลาจะทำอะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือต้องปรินท์อะไร ทุกคนจะบอกว่าไอซ์ไม่ต้องทำแล้วกัน เดี๋ยวเพื่อนทำให้ แล้วไอซ์ก็ออกไปนำเสนอ เรารู้สึกมีความสุขกับเพื่อนในกลุ่มของเรามาก 

จนจะขึ้น ม.4 แม่บุญธรรมก็มาบอกเราว่า เขาส่งให้เรียนม.ปลาย ไม่ได้แล้วนะ เราต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง พี่ ๆ ในบ้านเขาก็เรียนไม่จบ ต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงตัวเองเหมือนกัน เราก็เสียใจมาก เพราะเหมือนเราสูญเสียตัวตนที่เราสร้างที่โรงเรียนไป เราต้องเสียเพื่อน เสียคุณครู เสียน้อง ๆ ที่รักไป มันเหมือนจิตใจถล่มทลายอีกครั้ง เราต้องไปเรียนสายอาชีพ ซึ่งเราอยากออกจากตรงนั้นมาก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเราเลย ทุกวันที่ไปโรงเรียนเหมือนไปเสี่ยงภัย จนเราหาคนมาสนับสนุนให้เรากลับไปเรียนสายสามัญได้ แล้วมันก็เป็นช่วงชีวิตที่พลิกผันอีกครั้ง เพราะเราเหมือนเป็นตัวประหลาด ที่ไปเรียนที่อื่นแล้วกลับมาโรงเรียนเดิม แต่เราอยากเรียนที่นี่ เราคิดว่าถ้ากลับไปเราจะได้ความสุขแบบเดิม ได้รับการยอมรับเหมือนเดิม ได้เพื่อนกลุ่มเดิม แต่มันไม่ใช่ 

ทุกคนปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นตัวแปลกประหลาด ไม่มีใครอยากนั่งกับเราในห้องเรียน ตอนนั้นรู้สึกว่า ‘มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูวะ’ ใจมันยิ่งสลายหนักเลย แต่ก็รู้สึกว่าต้องแก้ปัญหา เราต้องตั้งใจเรียน ถ้าเรียนเก่งขึ้น อย่างน้อยเพื่อนก็ต้องขอลอกการบ้านเราแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ พอเราเรียนเก่งขึ้น เพื่อก็เริ่มมาลอกการบ้าน มันก็มีบทสนทนา เริ่มคุยกัน เราก็ติวให้เพื่อน มันก็เริ่มโอเค เราก็รู้สึกว่าได้รับการยอมรับในอีกแบบหนึ่ง

อยากเป็นหมอเพราะอยากรวย

เราไม่ได้ฝันอยากเป็นหมอ เราฝันอยากทำอะไรก็ได้ที่รวย แล้วเราโลกแคบมาก เราเลยรู้สึกว่าถ้าอยากรวยก็ต้องเรียนหมอ แล้วมันจะสามารถพาเราออกไปจากครอบครัวนี้ได้ เราไม่ได้คิดว่าเราจะทิ้งเขาไป แต่เราอยากเอาตัวรอด แล้วก็ส่งเงินกลับไปให้เขาโดยที่เราไม่ต้องอยู่กับเขาตลอดเวลา

แต่สุดท้ายเราก็สอบหมอไม่ติด ไปไม่ถึงฝัน เราก็ไปสอบตรงที่ ม.ธรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สาขาสถิติ แล้วก็ติด จริง ๆ เราไม่ได้อยากเรียนคณะนี้หรอก แต่เราไปบอกแม่บุญธรรมว่าติดอันนี้ ท่าทีเขาก็เฉย ๆ นะ แต่พอเราออกไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอย ปรากฎว่าทุกคนมาแสดงความยินดี ด้วยความที่บ้านของเราอยู่ในชุมชนแออัด คนที่เรียนจบ ม.3 คือหรูหราแล้ว การที่เราเข้า ม.ธรรมศาสตร์ได้ จึงเป็นอะไรที่แม่เอาไปคุยกับคนทั้งซอย แล้วคนก็มาบอกว่าไอซ์เรียนเก่งมากเลย สอบติดธรรมศาสตร์ด้วย เราก็แบบฉิบบหายแล้ว ถ้าไม่เอาอันนี้ แล้วสอบได้ที่ห่วยกว่านี้ แม่บุญธรรมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน 

ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย คิดแค่ว่าอยากทำให้เขาภูมิใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่กันมาแบบนี้ แต่ถ้ามีอะไรที่เขาภูมิใจในตัวเรา เราก็อยากเก็บสิ่งนั้นไว้ ก็เลยตัดสินใจเรียนสถิติ 

คนสำเร็จคือคนรวย

พอสอบติด ม.ธรรมศาสตร์ สถานะทางการเงินของครอบครัวไม่ได้ดีมาก เราจึงต้องทำงานรับจ้างทุกสิ่งอย่าง อะไรที่พอทำได้เราทำหมด ตั้งแต่สอนพิเศษ หาของมาขาย เป็นแคดดี้ เป็นพิธีกร เป็น MC เขียนบทความ เรียนก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะเราต้องโฟกัสกับการเอาชีวิตรอด 

ตอนนั้นคิดแค่ทำยังไงก็ได้ให้มีใบปริญญาจากธรรมศาสตร์แต่จะมีความรู้มาด้วยไหม ไม่รู้เหมือนกัน จนกระทั่งปี 2 ปี 3 ที่เราเริ่มจับทางได้ว่าเราขายของออนไลน์ แล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำเลย เราก็รู้สึกว่าหรือจะไม่เรียนแล้วดีนะ ออกไปขายของ ไปเป็นอายุน้อยร้อยล้านเลย คือเราแทบไม่สังสรรค์กับเพื่อน ชีวิตของเราอยู่กับหน้าจอมือถือตลอด เพราะนี่คือแหล่งรายได้ที่ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ รู้สึกว่ามันก็เป็นช่วงชีวิตที่หายไปเหมือนกัน แต่เราก็ต้องหาเงิน ในเมื่อสิ่งที่จะทำให้เราอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีศักดิ์ศรีคือเงิน ดังนั้นก็ต้องทุ่มเท ไม่ว่าจะตื่นนอนหรืออยู่ในห้องเรียน เราก็ขายของ 

ตอนนั้นเราไม่ได้มองเชิงโครงสร้างเลยนะ คิดแค่ว่า ‘ฉันหาเงินเก่ง ฉันก็แน่ในระดับหนึ่ง’ ถ้าสังคมการันตีความสำเร็จของคนด้วยเงินทอง เราทิ้งระบบการศึกษาดีไหม เพื่อไปพิสูจน์ตัวเองว่าฉันประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องมีใบปริญญา 

ก่อนที่จะมาขายของออนไลน์ เราคิดว่าใบปริญญาจากธรรมศาสตร์จะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเราได้ แต่พอหาเงินได้ เรากลับคิดอีกแบบหนึ่ง เรียกว่าเป็นกระบวนการก่อร่างสร้างตัวทางความคิดมากเลยสำหรับเรา

เรารู้สึกว่าถ้าจะได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในประเทศนี้ คือต้องรวย ต้องมีเงิน แล้วมันก็ไม่ได้มาพร้อมกับการมีความเห็นอกเห็นใจคนที่หล่นหายไปจากระบบการศึกษา หรือหล่นหายไปจากระบบเศรษฐกิจ เพราะเหมือนเราต้องแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องทำยังไงก็ได้ให้เรามีที่ยืน ถ้ากูรอดก็คือกูเก่ง เพราะกูเก่ง กูถึงรอดมาได้ ซึ่งสังคมนี้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ในเมื่อไม่มีตาข่ายรองรับให้เด็ก ๆ ได้อยู่ในระบบการศึกษา ไม่มีตาข่ายรองรับอะไรสักอย่าง ดังนั้น ถ้าใครที่อยู่ในสังคมแห่งนี้ แล้วเขายังสามารถไต่เต้าขึ้นไปได้ ก็ไม่แปลกหรอกที่คนในประเทศจะเป็นพวกเฉยเมยต่อปัญหาทางสังคม เพราะเราก็มองเห็นแค่ความสำเร็จของตัวเอง เราไม่เห็นหรอกว่าระหว่างทางเพื่อจะประสบความสำเร็จ มันมีใครที่ร่วงหายไปบ้าง 

จุดเปลี่ยนของชีวิต

จุดเปลี่ยนชีวิตของเรา ถ้าให้พูดก็คงเป็นช่วงก่อนมีม็อบที่เริ่มมีการพูดถึงประเด็นการเมืองต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย เราได้รับแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ ตาข่ายในการรองรับชีวิต ซึ่งเราไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย โรงเรียนเขาไม่ได้สอนเรา แล้วอะไรคือความเหลื่อมล้ำ เราก็เพิ่งมารู้จัก ถึงได้รู้ว่าที่เพื่อนเราหล่นหายจากระบบการศึกษาไป มันเป็นเพราะแบบนี้ เริ่มเข้าใจว่าเราเองก็ติดอยู่ในชุดความคิดที่ว่าใครดีใครได้ มันเป็นเพราะระบบที่เหลื่อมล้ำนี่เอง แต่มันก็ยังไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งขนาดนั้นหรอก แค่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจสังคมมากขึ้น แล้วก็รู้สึกเศร้าเสียใจที่สังคมเป็นแบบนี้ เศร้าเสียใจกับการที่เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่โง่เขลา ยอมให้ชนชั้นนำหลอกใช้เป็นเครื่องมือมาสร้างความชอบธรรม เพื่อจะดึงอำนาจกลับไปให้ตัวเขาเอง แล้วมันก็มีคนอีกเป็นล้าน ๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ และส่วนใหญ่ก็เป็นคนจน 

อีไอซ์มันเป็นนักสู้

ตอนที่เราคบกับแฟนคนก่อน เราเริ่มซื้อบ้าน ซื้อรถด้วยกัน เรารู้สึกเลยว่านี่แหละคือชีวิตที่เราต้องการ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีแฟนที่น่ารัก อีกสองสามปีเราจะมีลูก และมีครอบครัวที่อบอุ่น นี่แหละคือชีวิตที่เราใฝ่ฝัน แต่สุดท้ายทางแยกของชีวิตคือการที่เราเข้ามาทำงานการเมือง ก็เลยทำให้ชีวิตของเราสองคนค่อย ๆ ห่างออกจากกัน สุดท้ายเราก็ต้องบอกลากันไป ซึ่งมันก็เป็นอีกครั้งที่หัวใจของเราล่มสลาย เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย 

แต่พอเข้าเฟสที่ต้องหาเสียงเลือกตั้ง เราก็คิดแค่ว่า ไม่ได้ ส.ส. ก็ไม่เป็นไร แต่คนต้องรู้ว่าอีไอซ์มันเป็นนักสู้ อีส้มมันเป็นนักสู้ อีคนนี้มันเป็นนักสู้ เราต้องทำให้สมศักดิ์ศรีตัวแทนพรรคก้าวไกล และสิ่งที่ทำให้เราหนีจากโรคซึมเศร้าได้ ก็คือการทำงานหนัก เราเลิกคิดถึงเรื่องในอดีต เรื่องความรัก ทุกเรื่องแม้กระทั่งการทำมาหากิน เพื่อมาโฟกัสกับงานการเมือง คือเราไม่รู้ว่าสุดท้ายสิ่งที่เราเสียไปจะคุ้มค่าไหม แต่ก็ต้องมาดูกันในช่วง 4 ปีนี้แหละ

ส.ส. ในทัศนะของรักชนก

ตอนอายุ 15 เราไม่รู้เลยนะว่านักการเมืองคืออะไร มันดูเป็นอะไรที่ห่างไกลกันมาก เรามีเพื่อนที่พ่อของมันเป็นนักการเมือง แล้วเรารู้สึกว่าชีวิตมันอู้ฟู้ รวย หรูหรามาก อย่างตอนน้ำท่วม บ้านมันเก็บน้ำไว้เยอะมาก ในขณะที่ตอนนั้นทุกคนต้องหาว่าจะซื้อน้ำเปล่าได้จากที่ไหน เราเลยคิดว่ามันต้องเป็นอาชีพที่รวยมาก แล้วก็อยู่คนละระดับชั้นทางสังคมกับเราไปเลย

พอเราเริ่มรู้แล้วว่านักการเมืองคืออะไร เราก็ยังรู้สึกว่าคนที่ทำอาชีพนี้ต้องเป็นตัวแทนจากชนชั้นนำ จากพวกทหาร ตำรวจ นายทุน คนที่เป็นตระกูลการเมืองเก่า หรือคนรวย ถึงจะมีโอกาสไปยืนในตำแหน่งผู้นำสังคมตรงนี้ได้ ลองไปถามเด็กไทยสักช่วง 5 ปีที่แล้วว่าอยากเป็นนักการเมืองไหม เราเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็น ตอนที่เราลงสมัคร ส.ส.​ คนที่บ้านเราบอกให้ลาออกมาเถอะ ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของเรา “ออกมาทันไหม” “ไอซ์มาขายของเหมือนเดิมดีกว่า” “ไอซ์หาเงิน แล้วก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายไปแบบเก่าเถอะ ซื้อบ้าน ซื้อรถ จะมีเงินเท่าไหร่ก็ได้ เราก็ซื้อความสุขของเราเอา อย่าเข้าไปในสนามนี้เลย” แปลว่านักการเมืองในความคิดของคนรุ่นเก่าอย่างครอบครัวของเรา คือต้องมีเงินเยอะ ๆ เพื่อมาซื้อเสียง เพื่อซื้อของมาแจกประชาชน หรือทำอะไรแบบที่นักการเมืองรุ่นเก่าเขาทำกัน แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงแล้ว

เราร้องไห้ตลอดเวลาตั้งแต่คืนก่อนเลือกตั้ง อยู่คนเดียวแล้วสติแตก กดดันมาก ๆ จนกระทั่งผลคะแนนเริ่มมา แล้วเห็นว่าเราชนะ ทีมงานก็กอดกันร้องไห้ ไม่คิดว่ามันจะออกมาขนาดนี้ แล้วเราเห็นผลคะแนนของก้าวไกลที่เริ่มนำขึ้นเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกแบบ ‘เชี่ย’ เราไม่ได้ดีใจที่ชนะ แต่ดีใจเพราะว่าประเทศนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ คนเปลี่ยนแล้ว ก้าวไกลคือความหวังของคนในสังคม แต่ดีใจได้แป๊บเดียว จนคะแนนเริ่มบอกว่าเราคืออันดับหนึ่ง เป็นพรรคที่ต้องจัดตั้งรัฐบาล มันไม่เคยมีภาพนี้อยู่ในหัวเลย จากความรู้สึกท่วมท้นในใจ เริ่มเปลี่ยนเป็นจะเอายังไงดีวะ เพราะบทบาทของการเป็นนักการเมืองฝ่ายค้ายกับรัฐบาลมันต่างกัน เราต้องปรับภาพลักษณ์ยังไงนะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกับตัวเองในวินาทีนั้นแหละ ว่าเราจะทำงานให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เหมือนที่สัญญากับประชาชนไว้ 

เอาจริงตอนนี้ยังไม่กล้าหาเวลาพักให้ตัวเอง เราสงสัยกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราทำดีแล้วหรือยัง ประชาชนเลือกเรามา เขาจะดีใจแล้วหรือยังที่ได้เราเป็นผู้แทน เราก็กลัวที่จะทำให้เขาผิดหวัง เพราะมันไม่ใช่การชนะเลือกตั้งแบบปกติ แต่รอบนี้คือเราแบกความหวังของคนทั้งประเทศเอาไว้ด้วย เขาไปเลือกตั้งกันด้วยความหวัง เขาไว้วางใจพรรคก้าวไกลว่าเราคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้น เราจะระวังตัวมาก ๆ เราต้องทำตัวอยู่ในร่องในรอยให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ก้าวพลาดเลยสักก้าว และจะเป็นผู้แทนที่ประชาชนรู้สึกว่าคุ้มค่าที่กาคะแนนให้

แผนการชีวิตในอนาคต

เราไม่เคยมองอนาคตไกลถึงหนึ่งปีเลย เพราะเดือนหน้าจะพิจารณาคดี ม.112 แล้วอีกสามเดือนก็จะมีคำพิพากษาออกมา เราก็ไม่รู้ว่าจะติดคุกหรือเปล่า ชีวิตเราเหมือนมีโซ่ล่ามขาไว้ เราถึงไม่ค่อยห่วงว่าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจะเป็นยังไง เงินที่เคยหาได้เยอะจะเหลือเท่าไหร่ ถ้าเราติดคุก ทุกอย่างก็จบ ดังนั้น ในสนามการเมืองตอนนี้ เราจะขอเป็นหนึ่งเสียงที่ยกมือโหวตพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหนึ่งเสียงที่จะไปโหวตกฎหมายก้าวหน้า เอาแค่นี้ก่อน ให้มันรอดก่อน แล้วถ้าอายุ 30 หรือ 40 ค่อยมาคิดอีกทีว่าจะทำอะไร เพราะเราคิดว่าเราก็ไม่ใช่คนกาก ถึงจะเงินเดือนไม่เยอะแยะ แต่เราคงหาทางรอดจากชีวิตได้แหละ

หมาป่าเดียวดายข้างกายประชาชน

เราคิดว่าตลอดชีวิตของเรา เราโตมาคนเดียว จนถึงวันนี้ก็มีเราแค่คนเดียว เราต่อสู้ลำพังเดียวดายมาตลอด แต่วันนี้เรารู้สึกว่าเราได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เราเลยไม่อยากใช้คำนั้นอีกแล้ว เพราะเราต้องนับรวมคนที่สนับสนุนให้เรามาอยู่ตรงนี้ด้วย แต่พอเป็นเรื่องของจิตใจ มันก็มีแค่เราคนเดียวนี่แหละที่ต้องแบ่งเบาตัวเอง ซึ่งมันก็ไม่เบาลงเลย 

Writer
Avatar photo
ณัฐฐฐิติ คำมูล

วัยรุ่นปวดหลังที่ใฝ่ฝันถึงสังคมที่ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

Photographer
Avatar photo
ฉัตรมงคล รักราช

ช่างภาพ และนักหัดเขียน

illustrator
Avatar photo
ธีรภัทร์ เศาธยะนันท์

ชอบกินลาเต้เย็น

Related Posts

Related Posts