The Storm Whale: ภารกิจพาลูกคืนวาฬกลับทะเล และการเรียนรู้ของพ่อว่า ความรักบางครั้งคือการเดินเคียงข้างไม่ใช่การชี้นำ
The Storm Whale: ภารกิจพาลูกคืนวาฬกลับทะเล และการเรียนรู้ของพ่อว่า ความรักบางครั้งคือการเดินเคียงข้างไม่ใช่การชี้นำ
บนเกาะเล็ก ๆ ที่มีเพียงเสียงลม ฟองคลื่น และบ้านไม้หลังหนึ่งที่หันหน้าออกสู่ทะเล เด็กชายชื่อ Noi อาศัยอยู่กับพ่อเพียงสองคน ไม่มีประโยคใดในเรื่องพูดตรง ๆ ว่าครอบครัวนี้ขาดใครไป แต่การจัดวางพื้นที่ในบ้าน ความรู้สึกเหงานิด ๆ และความคล่องตัวเกินวัยของเด็ก ล้วนบอกผู้อ่านว่า บ้านนี้เคยมีคนอีกคนหนึ่งอยู่มาก่อน
Noi ใช้แต่ละวันอย่างในแบบที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เขาช่วยพ่อทำงานบ้าน ดูแลของใช้ เก็บกวาดพื้นไม้ที่ถูกลมทะเลพัดจนมีทรายเข้ามาทุกวัน ความเป็นระเบียบเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าลูกชายคนนี้ “เก่ง” หากเป็นสัญญาณเล็ก ๆ ของเด็กที่พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ในพื้นที่ที่มีเพียงตัวเขาและพ่ออยู่ด้วยกันสองคน
แล้วอยู่มาวันนึง พายุใหญ่ซัดเข้าฝั่ง และทิ้งลูกวาฬตัวหนึ่งไว้บนชายหาด Noi พบมันและตัดสินใจพามันกลับบ้านทันที การกระทำที่ดูเหนือจริงในนิทาน จุดแสงสว่างให้กับใจอย่างประหลาด เด็กมัก “เก็บบางสิ่งที่ขาดหายไป” เพื่อยืดเวลาของความผูกพันที่เขายังไม่พร้อมปล่อยวาง วาฬจึงไม่ใช่เพียงสัตว์ หากเป็นตัวแทนของความคิดถึงที่อยู่ข้างในลึก ๆ ความสัมพันธ์ที่ยังไม่ถูกปล่อยวาง ความเชื่อมโยงของความโดดเดี่ยวของทั้งคู่ และความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาแต่ยังไม่มีคำอธิบาย
The Storm Whale ทำหน้าที่เป็นประตูให้เห็นวิธีเล่าเรื่องของ Benji Davies นักเขียน นักวาดชาวอังกฤษผู้ใช้ภาพ สถานที่ และความนิ่งเงียบในบ้านเป็นภาษาหลักมากกว่าคำพูด เขาเติบโตมากับเสียงคลื่นและชายฝั่ง ผลงานของเขาจึงเต็มไปด้วยฉากทะเลและความสัมพันธ์ที่ถูกทิ้งให้คลี่คลายด้วยช่องว่าง และเวลามากกว่าการรีบให้คำอธิบาย เรื่องราวของ Noi ก็ไม่ได้จบลงแค่ในเล่มนี้ แต่ค่อย ๆ ถูกขยายต่อใน The Storm Whale in Winter ที่เผยให้เห็นว่าเด็กชายคนเดิมเติบโตอย่างไรท่ามกลางความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้น ส่วนอีกผลงานสำคัญอย่าง Grandad’s Island ก็ยืนยันแนวคิดของ Benji ที่พูดเรื่องภายใน เช่น การพึ่งพิง การจากลา และการเยียวยา งานของเขาจึงไม่ใช่เพียงนิทานเด็ก แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้อ่านทุกวัยได้เห็นว่า ความรู้สึกที่ยังไม่มีชื่อ ก็สามารถมีที่อยู่ได้เสมอ
ในวันพ่อปีนี้ Mappa และสานอักษรอยากชวนมอง “ความเป็นพ่อ” ผ่านสายตาของ Benji Davies ที่วาด “พ่อ” ในแบบที่ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องอยู่ในบทบาทของผู้นำตลอดเวลา ไม่ต้องแก้ทุกปัญหา และไม่ต้องมีคำตอบทุกเรื่อง แต่คือคนที่ผิดบ้าง พลาดบ้าง และกำลังเรียนรู้ที่จะมองเห็นลูกอย่างชัดเจนขึ้นทีละนิด เพราะบทบาทของพ่อ หรือผู้ชายคนหนึ่งอาจเป็นการเติบโตไปพร้อมกับลูกด้วยการเดินเคียงกันในวันที่ทั้งสองยังไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ หรือโลกข้างหน้านั้นคืออะไร
พ่อที่กำลังเรียนรู้ความเป็นพ่อ
ความเป็นพ่อแบบที่สังคมคุ้นชินมักถูกหล่อหลอมด้วยบทบาทที่เรียบง่ายและชัดเจน หาเลี้ยงครอบครัว ทำงานหนัก กลับบ้านในตอนเย็น และเชื่อว่านั่นคือหลักฐานของความรักทั้งหมดที่ลูกควรต้องมี ผู้ชายจำนวนมากเติบโตมาจากแบบเรียนชีวิตที่บอกว่า “ความรับผิดชอบ” สำคัญกว่า “การรับฟัง” และ “การอยู่เคียงข้าง” สำคัญน้อยกว่าการทำให้บ้านยังยืนอยู่ได้ นี่ไม่ใช่ความผิดส่วนตัวของใคร แต่คือร่องรอยของวัฒนธรรมที่สอนให้ผู้ชายใช้การกระทำแทนความรู้สึก และเชื่อว่าเพียงแค่เขาไม่ไปไหน ครอบครัวก็ยังปลอดภัยดี
พ่อของ Noi จึงเป็นตัวแทนที่ซื่อสัตย์ของผู้ชายแบบนี้ เขาไม่ใช่พ่อที่เฉยชา หากเป็นคนที่ทำอย่างดีที่สุดตามความเข้าใจของตนเอง การออกเรือทุกวันคือการให้ความรักในแบบที่เขาเรียนรู้มา การกลับบ้านมาดึกคือความตั้งใจดีที่แปลออกมาผ่านงาน ไม่ใช่คำพูด และคิดเอาเองว่าลูกน่าจะเข้าใจ พ่อมักคิดว่าเด็กไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดของความเหนื่อยล้า เพราะสิ่งที่เพียงพอแล้วคือโต๊ะอาหารมีของกิน และหลังคายังกันลมกันฝนได้ แต่นั่นเองคือพื้นที่ซึ่งความรู้สึกบางอย่างหล่นหายไปอย่างไม่ตั้งใจ เขาอาจไม่ได้สังเกตว่าเด็กคนหนึ่งต้องการบทสนทนา ต้องการเสียงหัวเราะเล็ก ๆ หรือแม้แต่การมีใครสักคนอยู่ใกล้พอจะถามว่า “วันนี้เป็นยังไงบ้าง” แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่แคร์ แต่เขาทำตามความเคยชินที่ถูกส่งต่อมา และเพราะไม่มีเคยบอกให้เขารู้ว่าความต้องการในเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความรักที่ลูกเฝ้ารอ
ผู้ชายที่โตมากับแนวคิดว่า “ความแข็งแรงคือคุณธรรม” มักไม่เห็นว่าความอ่อนโยนก็เป็นอีกภาษาหนึ่งของความรัก และในวันที่บ้านขาดผู้หญิง หรือขาดพลังของความเป็นแม่ซึ่งมักทำหน้าที่โอบอุ้มความรู้สึก พ่อมักยิ่งทำในสิ่งที่รู้ดีที่สุด คือการ “พยายามให้มากขึ้น” แทนการ “เข้าใจให้ลึกขึ้น” ชื่อเสียงของความเป็นพ่อจึงผูกโยงอยู่กับความรับผิดชอบ มากกว่าความใกล้ชิดอย่างไม่รู้ตัว
และนั่นทำให้พ่อของ Noi เป็นผู้ชายธรรมดาอย่างที่สุด คนที่คิดว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ความเพียงพอในสายตาผู้ใหญ่ บางครั้งไม่ใช่ความเพียงพอในหัวใจของเด็กที่ยังรอใครสักคนมานั่งข้าง ๆ และตั้งคำถามง่าย ๆ ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในบ้านหลังนี้ เขาเพียงใช้ภาษาที่เขารู้จักที่สุดในโลกของผู้ชาย แต่บางครั้ง ภาษาแบบนั้นอาจแปลความหมายไม่ถึงหัวใจของเด็กเล็กนัก เด็กต้องการทั้งความมั่นคงของพ่อ และความชัดเจนของความรักที่มองเห็นได้ ไม่ใช่เพียงบ้านทางกายภาพที่ยังไม่พังทลาย แต่คือความรู้สึกว่า ตัวฉันเองก็ยืนอยู่กับพ่อได้อย่างปลอดภัย
วันที่พ่อเริ่มเห็นลูกชัดขึ้นผ่านวาฬที่ลูกเก็บมา
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง NOI ก็พบกับวาฬที่ซัดเข้ามาที่ชายฝั่ง
เขาพาวาฬกลับมาที่บ้านทันที และแอบซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่จะแนบเนียนได้
เขาซ่อนไว้ในห้องน้ำ
ก็นั่นสินะ การซ่อนวาฬให้แนบเนียนนั้นไม่ง่ายเลย
เมื่อพ่อพบวาฬตัวนั้นอยู่ในบ้าน เขาไม่เพียงแค่เห็นสัตว์ทะเลขนาดใหญ่บนพื้นไม้ เขาไม่ได้แสดงท่าทีของความโกรธ แต่เหมือนภาพนั้นทำให้เขาได้เห็นความรู้สึกของลูกชายวางอยู่ตรงหน้าอย่างจับต้องได้เป็นครั้งแรก เด็กอาจซ่อนความคิดถึงหรือความโดดเดี่ยวไว้ในท่าทีที่ “ดูจัดการได้” พ่ออาจไม่ได้เข้าใจทันทีว่าทำไมลูกถึงทำเช่นนั้น แต่ความตกใจเล็ก ๆ ต่อ “วาฬตัวใหญ่” “การซ่อน” และท่าทีของลูก ก็ค่อย ๆ แปรเป็นการรับรู้ว่า ลูกน่าจะกำลังรู้สึกบางอย่างที่คำพูดไม่สามารถอธิบายได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ พ่อไม่ได้ตอบสนองแบบผู้ใหญ่เพศชายที่เป็นภาพจำทั่วไป เขาไม่ดุลูก ไม่ตำหนิ ไม่รีบสั่งให้เอาออกไป พ่อของ NOI กลับยืนนิ่ง เหมือนกำลังทบทวนว่า ในระหว่างที่เขาออกเรือทุกวัน ลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง การพบวาฬในบ้านจึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เขาเห็นช่องว่างระหว่างตัวเขาเองกับลูก ความห่างเหินที่เกิดจากกิจวัตรประจำวัน และความเคยชิน ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ “บทเรียนการเป็นพ่อ” ที่เขาเคยเชื่อว่า เพียงทำงานหนักและเลี้ยงดูครอบครัวให้รอด ก็ถือว่าดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้แล้ว แต่การได้เห็นลูกทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ทำให้เขาค่อย ๆ เข้าใจว่า ‘ความรัก’ ไม่ต้องการบทบาทตามอุดมคติของสังคม และสิ่งนี้ทำให้พ่อของ NOI ได้กลายเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เพิ่งตระหนักว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ อีกคนในบ้าน กำลังต้องการเขามากกว่าที่คิด
เมื่อความเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้น พ่อไม่จำเป็นต้องกลายเป็นใครคนใหม่ ไม่ได้ต้องทำหน้าที่แทนแม่ แต่เพียงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โลกของลูกอีกก้าวหนึ่ง เขาไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นพ่ออุดมคติในทันที แต่เขายอมเห็นว่าลูกของเขาอาจกำลังร้องขอ “การอยู่ด้วย” ในแบบของเขา
มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้เราระลึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกไม่เคยถูกกำหนดด้วยวัฒนธรรม เพศสภาพ หรือบทบาทในบ้านเพียงอย่างเดียว ความสัมพันธ์ถูกกำหนดด้วย “ความเต็มใจที่จะยอมรับความเปราะบางของกันและกัน” ไม่ว่าผู้เข้าใกล้จะเป็นพ่อ แม่ หรือมนุษย์คนหนึ่งที่เริ่มเห็นว่าความรู้สึกของเด็กมีความหมายพอที่จะรับฟัง
ช่วยลูกพาวาฬกลับบ้าน “ด้วยกัน”
เมื่อพ่อเลือกพาลูกคืนวาฬกลับบ้าน “ด้วยกัน” มันไม่ใช่เพียงการแก้ไขสถานการณ์ของเด็กชายที่พาสัตว์ทะเลเข้ามาในบ้าน หากเป็นการยอมรับว่า ความรู้สึกของลูก ไม่ว่าจะมีถ้อยคำกำกับหรือไม่มีความสำคัญเพียงพอ การกระทำเรียบง่ายเช่นนี้มักเกิดขึ้นในครอบครัวที่ผู้ใหญ่เริ่มมองเห็นว่า เด็กไม่ได้ต้องการคำสั่งหรือเหตุผลทางตรรกะมากนัก แต่อยากรู้ว่าความรู้สึกของเขาจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง
ภารกิจพาวาฬกลับสู่ทะเลของ NOI และพ่อจึงไม่ใช่จุดจบของนิทาน หากเป็นจุดเริ่มของความเข้าใจแบบใหม่ ความเข้าใจที่ไม่รีบร้อน ไม่ตัดสิน และไม่กำหนดว่าพ่อควรต้องเป็นอย่างไรตามแบบที่สังคมคาดหวัง แต่เป็นการกระทำที่เขายอมเดินไปกับลูก และอยู่เคียงข้างโดยที่ลูกไม่ต้องแบกโลก หรือแบกวาฬไว้ด้วยตัวเองคนเดียว
พ่อมองลูกค่อย ๆ ส่งวาฬคืนสู่ทะเล เขาอาจได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า ความใกล้ชิดไม่ใช่สิ่งที่ซื้อได้ด้วยความเหนื่อยยากของการทำงาน และสำหรับตัวเขาในฐานะพ่อ การปล่อยวาฬ อาจเป็นการปล่อย “นิยามความเป็นผู้ชาย” แบบเก่าที่เขายึดถือโดยไม่รู้ตัว ภาพของพ่อที่ต้องแข็งแรง ทำงานหนัก และมีหน้าที่เพียงพอแล้วนั้น เริ่มคลายตัวลงอย่างช้า ๆ พ่อได้เรียนรู้ว่าความเป็นพ่อไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทำหน้าที่ได้ครบ แต่เกิดขึ้นเมื่อเขายอมเดินเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่ลูกต้องการ โดยไม่กลัวว่าจะอ่อนแอเกินไป หรือไม่ถูกต้องตามบทบาทที่สังคมคาดหวัง
และเมื่อทั้งคู่ยืนมองวาฬว่ายกลับออกไป มีบางอย่างระหว่างพวกเขาถูกวางลงพร้อมกัน ความโดดเดี่ยวเล็ก ๆ ของลูก และความไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนของพ่อ ทั้งสองได้เริ่มต้นใหม่ตรงจุดเดียวกัน นิ่ง ๆ ง่าย ๆ ริมทะเล โดยไม่ต้องมีคำสัญญาใหญ่โต มีเพียงการยืนเคียงกันในช่วงเวลาที่ต่างก็ไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงต่อไป แค่เลือกจะอยู่ตรงนั้นด้วยกันก่อน
รุ่งเช้าหลังจากวาฬกลับสู่ทะเล
หลังจากวาฬค่อย ๆ ลื่นตัวกลับลงสู่ผืนน้ำ NOI ไม่ได้ร้องไห้ พ่อไม่ได้พูดปลอบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเบาขึ้นเหมือนบ้านหลังเล็กบนเกาะนั้นมีพื้นที่มากขึ้นกว่าที่เคย ทั้งคู่เดินกลับบ้านด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอขึ้น พ่อไม่รีบเหมือนวันที่ต้องออกเรือ เด็กไม่เดินนำลิ่วเหมือนวันที่อยู่กับความคิดของตัวเองตามลำพัง ราวกับว่าจังหวะก้าวของพ่อกับลูกเพิ่งหันมาปรับความเร็วให้สอดคล้องกันเป็นครั้งแรกในรอบนาน
เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อเริ่มสังเกตสิ่งที่ตัวเองมองข้ามมานาน จานที่ล้างเกินอายุของเด็กคนหนึ่ง โต๊ะกินข้าวที่เงียบเกินไปในตอนเช้า และเสื้อผ้าเปียกเล็กน้อยที่ลูกรีบซักหลังกลับจากหาด พ่อเพิ่งมองเห็นมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ในวันที่ลูกพาวาฬกลับเข้ามาในบ้าน พ่อไม่ได้รู้สึกผิด ไม่ได้โทษตัวเอง เพียงรับรู้ว่าในบ้านหลังนี้ ทั้งเขาและลูก ต่างก็เป็นมนุษย์ที่พยายามอยู่รอดด้วยวิธีของใครของมัน แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองจะเริ่มเรียนรู้กันใหม่ ว่าเราสามารถอยู่รอด “ด้วยกัน”
วันถัด ๆ มา จึงมีบางอย่างเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนไป ในบ้านหลังเดิม กิจวัตรเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ความหมายไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บ้านที่เคยเตือนให้คิดถึงการขาดหาย กลับกลายเป็นบ้านที่เริ่มมีการอยู่ร่วมกันจริง ๆ เสียที
ความสัมพันธ์พ่อ–ลูกในเรื่องนี้ไม่ได้มีบทพูดที่คลี่คลายปมปัญหาทุกอย่าง พวกเขาแค่ใช้ชีวิตร่วมกันแบบค่อยเป็นค่อยไปในบ้านหลังเดิม และยอมรับว่าความเหงาที่อยู่ในใจแต่ละคน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องซ่อนหรือเอาชนะ แค่ต้องมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ
และนั่นทำให้เห็นชัดว่า ความเป็นพ่อในโลกของ Benji Davies อาจไม่ใช่การทำหน้าที่ให้ครบตามข้อกำหนด แต่คือการยอมรับว่าตัวเองก็เป็นมนุษย์ที่ยังเรียนรู้ได้ ส่วนเด็กก็ไม่ได้ต้องการพ่อที่สมบูรณ์แบบ เขาต้องการเพียงคนที่เดินกลับบ้านด้วยกันในวันที่ต้องทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง
ในท้ายที่สุด การพาวาฬกลับคืนทะเลไม่ได้เป็นเพียงการช่วยชีวิตสัตว์ตัวหนึ่ง แต่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พ่อและลูกได้เดินขนาบกันไปในโลกเดียวกันอย่างแท้จริง พ่อไม่ได้รีบสอน ไม่ได้เร่งให้ลูกตัดใจจากวาฬ หากค่อย ๆ เดินช้าไปกับจังหวะของเด็กที่กำลังเรียนรู้จะวางความผูกพันลงอย่างอ่อนโยน การยืนอยู่กับลูกในช่วงเวลานั้นทำให้บ้านหลังเล็กไม่ได้เต็มไปด้วยคำสัญญาอันใหญ่โต หากเต็มไปด้วยความหมายเรียบง่ายว่าคนสองคนกำลังค่อย ๆ หันหน้าเข้าหากันใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะต่างฝ่ายทำถูกเสมอ แต่เพราะต่างยอมเรียนรู้กันทีละน้อย
วันพ่อปีนี้ บทบาทของพ่ออาจไม่ได้วัดจากการเป็นเสาหลักหรือความแข็งแรงที่สังคมเคยกำหนด หากวัดจากช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พ่อยืนอยู่เคียงข้างลูกในวันที่ลูกต้องปล่อยวาฬตัวนั้นกลับคืนทะเล ซึ่งบางที ก็เป็นบทเรียนที่ใหญ่พอสำหรับทั้งสองฝ่าย และอาจเป็นการเริ่มต้นของความใกล้ชิดรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำใดเลย
Writer
Admin Mappa
illustrator
Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด