สอนประวัติศาสตร์แบบไม่ทำลายอนาคต : เพราะเราไม่ได้แค่ “สอนอดีต” แต่เรากำลังเลือก “แบบแผนของความทรงจำ” ให้เด็กรุ่นถัดไป

สอนประวัติศาสตร์แบบไม่ทำลายอนาคต : เพราะเราไม่ได้แค่ “สอนอดีต” แต่เรากำลังเลือก “แบบแผนของความทรงจำ” ให้เด็กรุ่นถัดไป

ความทรงจำเกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์ของคุณเป็นอย่างไร?

คุณจดจำอะไรได้บ้างจากตำราหรือวิชาประวัติศาสตร์?

หลายคนอาจยังจำได้อยู่ว่ากษัตริย์องค์ไหนขึ้นครอบราชย์ในสมัยใด ใครเปิดฉากรบกับใครก่อน หลายคนจำได้ว่าสงครามไหนเกิดก่อนหลัง หลายคนพอสอบเสร็จก็อาจจำไม่ได้แล้ว แต่สำหรับคนอีกหลายคนสิ่งที่มักฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของกลับกลายเป็นอารมณ์ร่วมบางอย่างที่มาพร้อมกับบทเรียนเหล่านั้น เราจดจำความภูมิใจในวีรกรรมของผู้นำ จดจำความเจ็บปวดจากการ “ถูกยึดดินแดน” เราอาจจดจำความรู้สึกว่าชาติของเราถูกกระทำมาโดยตลอด และการได้เอาคืน คือหลักฐานของความกล้าหาญ

ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่แปลกอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะในห้องเรียนไทย เราถูกสอนให้จำตัวหนังสือที่เขียนไว้ในตำราให้แม่น โดยที่ไม่ค่อยถูกชวนให้คิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันคืออะไร  สำคัญกับเราอย่างไร หรือถูกเรียกว่า “ข้อเท็จจริง” ได้อย่างไร ทั้งที่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่อยู่ในหนังสือเรียน คือ “การเลือกที่จะเล่าเรื่อง” ในรูปแบบหนึ่ง  และเป็นการเล่าเรื่องที่ผ่านกระบวนการคัดสรร ตีความ ลำดับ และตัดทิ้ง เพื่อให้เหลือแค่บางสิ่งที่ควรถูกจำ และบางสิ่งที่ควรถูกลืม

เราเรียนรู้ที่จะนับถือวีรบุรุษมากกว่าทำความเข้าใจคนธรรมดาที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร คนเหล่านั้นอาจเสียชีวิตในสงครามโดยไม่มีใครนึกถึง แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก หรือเป็นคนสำคัญของครอบครัวหรือชุมชนของเขา เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกจดจำ นอกจากนั้น เรายังคุ้นชินกับการให้น้ำหนักกับเรื่องราวจากคนที่เราเชื่อว่าอยู่ฝั่งเดียวกับเรา โดยไม่เคยถูกชวนให้ฟังเรื่องของอีกฝั่งอย่างเปิดใจ และเรามักไม่ถูกถามว่า เรื่องที่เราเชื่อว่า “จริง” นั้น ใครเป็นคนเล่า และเล่าขึ้นมาเพื่ออะไร

วิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนจึงไม่ได้สอนแค่ว่า “มีอะไรเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อไหร่” แต่มันค่อย ๆ บอกเราโดยเราไม่ทันตั้งตัวว่า  “เราควรรู้สึกอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น” ใครคือวีรบุรุษ ใครคือนักล่า ใครควรถูกสรรเสริญ ใครควรถูกจดจำ และถูกจำด้วยความรู้สึกอะไร หรือไม่ควรถูกจดจำเลย

คำถามสำคัญจึงอาจไม่ใช่แค่ว่า เราสอนอดีตให้เด็กอย่างไร แต่อาจต้องถามว่า เรากำลังเลือกแบบแผนความทรงจำแบบใดให้พวกเขาพกติดตัวไปในอนาคต?

ถ้าเรายอมรับว่า “ประวัติศาสตร์คือกระบวนการเล่าเรื่อง” การสอนประวัติศาสตร์ก็ไม่ควรเป็นการ “ยัดเยียดความจริง” แต่น่าจะเป็นการ “ฝึกคิดให้เห็นว่าความจริงถูกสร้างขึ้นอย่างไร” เพราะสุดท้ายในวิชาประวัติศาสตร์ เราไม่ได้แค่ “สอนอดีต” แต่เรากำลังช่วยเด็ก ๆ วางผังความทรงจำแบบหนึ่ง ไว้ในใจ และแบบแผนของความทรงจำนั้น อาจกำหนดความสัมพันธ์ของพวกเขากับ “ใครบางคน” ที่พวกเขายังไม่เคยรู้จักในอนาคต

เมื่อประวัติศาสตร์กลายเป็นบทเรียนที่ห้ามตั้งคำถาม : ปัญหาของวิชาประวัติศาสตร์ที่มีต่อการเรียนรู้ของเด็กไทย

วิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนมักถูกจัดวางแบบเป็นเส้นตรง เล่าจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งตามลำดับ โดยมีตัวละครหลักไม่กี่คน และเรื่องราวถูกเล่าจากมุมของผู้ชนะหรือรัฐเป็นส่วนใหญ่ 

เด็กจำนวนมากจึงเติบโตมากับความเข้าใจว่า ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ถูกเขียนเสร็จแล้ว และหน้าที่ของเขาคือจดจำ ไม่ใช่ตั้งคำถาม การตีความ การเปรียบเทียบ และการสงสัยว่าความจริงมีหลายด้าน กลายเป็นเรื่องที่ “ไม่ใช่หน้าที่ของนักเรียน”

แต่ในโลกปัจจุบันที่มีความซับซ้อนขึ้น และเริ่มเต็มไปด้วยข้อมูลหลากหลาย ความเห็นที่แตกต่าง และการตีความที่ท้าทายกันทุกวัน เรากำลังต้องการคนที่มีทักษะและปัญญาในการเข้าใจความซับซ้อนเหล่านั้น เด็กที่ไม่เคยฝึกฟังเรื่องราวจากหลายมุม ตั้งถามว่าความจริงนั้นมาจากไหน หรือแม้แต่ตั้งคำถามต่อตัวเอง ก็อาจไม่มีเครื่องมือและวิธีคิดเพียงพอที่จะเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง และอยู่กับผู้อื่นอย่างเคารพในความต่างได้

เพราะแก่นแท้ของวิชาประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่การย้อนกลับไปดูว่า “ใครทำอะไร เมื่อไหร่” แต่คือการเรียนรู้ว่า “มนุษย์เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น”  และเราจะใช้บทเรียนนั้นอย่างไรเพื่อไม่ให้ความผิดพลาดเกิดซ้ำ

วิชาประวัติศาสตร์จึงควรเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการตั้งคำถาม เป็นบทสนทนาระหว่างยุคสมัย ไม่ใช่กระดานแสดงชัยชนะของใครคนหนึ่ง และที่สำคัญ มันควรเป็นวิชาที่ฝึกให้เด็กรู้ว่าความจริงนั้นมีหลายด้าน การอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย เราจำเป็นต้องฟังคนอื่นด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยอคติที่ปลูกฝังมา

ถ้าประวัติศาสตร์ในห้องเรียนสอนให้เด็ก “เห็น” มากกว่า “เชื่อ” และ “เข้าใจ” มากกว่าจำ เราจะไม่ได้แค่สร้างนักเรียนที่สอบได้คะแนนดี แต่เรากำลังสร้างพลเมืองที่พร้อมจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ไม่มีคำตอบเดียวให้ทุกคำถาม และไม่มีใครผูกขาดความถูกต้องไว้ฝ่ายเดียวอีกต่อไป

และนี้คือปัญหาของวิชาประวัติศาสตร์ที่พวกเราสรุปเอาไว้

  1. การเรียนการสอนประวัติศาสตร์เป็นแบบเส้นตรงและไม่มีพื้นที่ให้ตั้งคำถาม

หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทยจำนวนมาก มักจัดเรียงเนื้อหาเป็นเส้นตรงจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ → สู่สมัยสุโขทัย → อยุธยา → ธนบุรี → จนถึงรัตนโกสินทร์ โดยมีความรุ่งเรือง การเสียกรุง และการฟื้นฟูอธิปไตยเป็นจังหวะสำคัญ สิ่งที่หายไปจากกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ ไม่ใช่แค่ “เรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์ฝั่งอื่น” แต่คือการตั้งคำถามกับตัวเรื่องเล่าเองนั้นด้วย

นอกจากนั้นวิธีการเรียนการสอน และวิธีการเล่าเรื่องในแนว “ใครชนะ ใครแพ้” “ใครกอบกู้ ใครรุกราน” “ใครเป็นฝ่ายดี ใครร้าย และ ใครควรถูกลืม” โดยไม่มีพื้นที่ให้ตั้งคำถามอื่นเพื่อทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) หรือ การเห็นอกเห็นใจ (Empathy) เช่น 

ใครเป็นคนเขียนเรื่องนี้? เขาอยู่ฝั่งไหนของเรื่อง? 

ถ้ามีคนอีกฝั่งมาเขียนบันทึกเรื่องเดียวกัน เราจะได้เรื่องแบบไหน?

ถ้าเรื่องเล่าเดียวกันนี้ถูกเล่าโดยชาวบ้าน คิดว่าเรื่องเล่าเหล่านี้จะเปลี่ยนไปไหม? 

ข้อมูลในบทเรียนนี้มีหลักฐานอะไรยืนยัน? ข้อมูลไหนคือการตีความ?

หรือแม้กระทั่งคำถามเช่น 

“มีอะไรที่เราเรียนรู้จากสงครามนี้บ้าง?” หรือ 

“เราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากสงครามที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกบ้าง?”

การได้รับรู้ข้อมูลเพียงเส้นตรง ทำให้เด็กจำนวนมากจึงเติบโตมากับความเข้าใจว่า ประวัติศาสตร์คือชุดความจริงที่ต้องจำ ไม่ใช่พื้นที่สำหรับการตีความ การตั้งข้อสังเกต หรือการสงสัยในสิ่งที่ฟังมา

2. ความรักชาติที่มีพื้นฐานจากความกลัว

ในแบบเรียนประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อย “ความรักชาติ” ไม่ได้ถูกเสนอในฐานะความเข้าใจหรือความผูกพันอย่างลึกซึ้ง หากแต่มาในรูปของความรู้สึกที่มาจากการเกิดภัยคุกคามและความหวาดกลัว และการต้องรักกันเพราะศัตรูกำลังจะมาห้ำหั่น วาทกรรมซ้ำ ๆ อย่าง “เพื่อป้องกันมิให้ไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้น” หรือ “ข้าศึกต้องการยึดครองดินแดนไทย” ปรากฏอยู่ในบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเข้าสู่ยุคดิจิตัลแล้วก็ตาม จนกลายเป็นโครงสร้างทางอารมณ์ที่ผูกให้ความรักชาติต้องมีศัตรูเป็นคู่ขนาน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถรักชาติโดยไม่ต้องชังใครก็ได้

ความรักชาติในแบบเรียนจึงมักมาพร้อมฉากหลังของการต่อสู้ ความเสียสละ และการป้องกันตัวจาก “ใครบางคนที่หมายร้าย” ซึ่งบางครั้งไม่ได้ถูกระบุอย่างชัดเจนว่าคือใคร แต่ก็เพียงพอจะทำให้ความหวาดระแวงฝังแน่นอยู่ในใจผู้เรียนในระดับที่ลึกกว่าความรู้

ผลก็คือ ความรักกลายเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ไม่ใช่เพื่ออยู่ร่วม เด็กจำนวนไม่น้อยเติบโตมากับการเชื่อว่า ความรักชาติต้องมาพร้อมความกลัวที่จะถูกมองว่า “ไม่รักชาติ” การตั้งคำถามกับบทบาทของชาติในอดีต หรือการวิพากษ์การตัดสินใจของรัฐ จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ “ยากจะเข้าใจ” แต่เป็นเรื่องที่ “ไม่ควรพูดถึง” ทั้งๆ ที่ความรักสามารถเกิดจากการอยากอยู่ร่วมกันและพัฒนาให้ชาติขอองเราดีขึ้นก็ได้ ความรู้จึงถูกถ่ายทอดพร้อมอารมณ์บางอย่างที่ไม่เปิดให้ผู้เรียน “กล้าคิดใหม่” แม้จะมีข้อมูลใหม่ก็ตาม

คำถามสำคัญคือ หากเด็กถูกฝึกให้กลัวการตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกจัดวางไว้ให้เคารพ พวกเขาจะเหลือพื้นที่ตรงไหนให้ยืนอยู่ในสังคมที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยความหลากหลาย และจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับคนที่คิดเห็นไม่เหมือนกัน? 

3. อัตลักษณ์แบบผูกขาดโดยอำนาจ ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่รู้สึกแปลกแยก

เมื่อวิชาประวัติศาสตร์ถูกออกแบบให้หมุนรอบกรอบใหญ่ของความเป็นชาติในแบบที่รัฐเป็นผู้เลือกว่าสิ่งใดควรถูกเล่าและเล่าอย่างไร เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์จึงมักเป็นภาพของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีชีวิต มีศรัทธา มีภาษา มีอุดมการณ์ แบบเดียวกับผู้เขียนตำรา ในขณะที่ผู้คนอีกจำนวนมาก ค่อย ๆ ถูกทำให้ “หายไปอย่างมีนัยยะ” จากหน้าหนังสือเรียน

เด็กที่เติบโตมาในพื้นที่ชายแดน เด็กมุสลิมในสามจังหวัดใต้ เด็กชาติพันธุ์บนดอย เด็กครอบครัวจีน-ลาว-เขมร-อินเดีย หรือแม้แต่เด็กที่มีคำถามเรื่องเพศ สถานะทางสังคม หรือความเชื่อที่ต่างไปมักไม่เจอ “ตัวเอง” ในบทเรียนเลย และเมื่อพวกเขาไม่ปรากฏในเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์ ก็ยากที่จะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน

การไม่มีที่ทางให้เด็กกลุ่มอื่นๆ หรือประชาชนกลุ่มอื่นๆ อยู่ในความทรงจำของชาติ ไม่เพียงทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็น “เรื่องของคนอื่น” เท่านั้น แต่มันยังลดทอนศักยภาพสำคัญของวิชานี้ในการเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่าง “ตัวตน” กับ ”สังคม” ในระยะยาว นี่คือความเสี่ยงที่ลึกยิ่งกว่าความไม่รู้ เพราะมันคือความรู้สึกว่า “เราไม่มีตัวตน” อยู่ในโครงเรื่องของประเทศนี้เลย

4. การยกย่องผู้นำโดยไม่มีพื้นที่ให้วิพากษ์

เราเรียนรู้เรื่องราวของผู้นำผ่านกรอบของคุณงามความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำกู้ชาติ หรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ แบบเรียนจำนวนไม่น้อยเล่าเรื่องเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนราวกับว่า ความรู้สึกที่ควรมีต่อเหตุการณ์นั้นถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยได้รับพื้นที่ในการตั้งคำถามว่า อะไรคือความสำเร็จ อะไรคือความผิดพลาด และใครกันแน่ที่ได้ผลประโยชน์จากการตัดสินใจเหล่านั้น 

ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เคยเสนอแนวคิด “รัฐนิยมทางประวัติศาสตร์” (Royal-Nationalist History) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ของไทยในศตวรรษที่ผ่านมามักทำงานคล้ายพิธีกรรมที่ยืนยันโครงสร้างอำนาจเดิมมากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้เกิดการตั้งคำถามหรือการเรียนรู้ใหม่ เขาอธิบายว่า ประวัติศาสตร์ในแบบเรียนไม่เพียงแค่เล่าอดีต แต่ยังทำหน้าที่ “ยืนยันสิ่งที่ควรจำ” และ “ปิดกั้นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง” ด้วยน้ำเสียงที่ผูกอำนาจกับศีลธรรม และผูกความดีเข้ากับชนชั้นนำ

เมื่อผู้นำในอดีตถูกวางไว้ในตำแหน่งที่สูงเกินการตั้งคำถาม ประวัติศาสตร์จึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับอำนาจ มากกว่าจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับความรู้ ห้องเรียนประวัติศาสตร์จึงมีความเสี่ยงจะกลายเป็นเพียงพิธีกรรมของการจดจำ มากกว่าการสืบค้นหรือใคร่ครวญ เมื่อเด็กเรียนรู้ว่า การตั้งคำถามกับอำนาจคือสิ่งต้องห้าม พวกเขาก็จะเติบโตมาในสังคมที่เกรงกลัวต่อการตรวจสอบ และมองความภักดีเป็นเงื่อนไขของความดี ทั้งที่ในความเป็นจริง การตั้งคำถามกับอดีต ไม่ใช่การลบหลู่ แต่คือหนึ่งในวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ และสามารถที่จะรักอนาคตได้อย่างรับผิดชอบ

5. แบบเรียนที่สร้างภาพศัตรูให้ประเทศเพื่อนบ้าน

ลองหลับตานึกภาพเด็กคนหนึ่ง ที่เติบโตมากับแบบเรียนที่บอกเขาว่า ประเทศรอบตัวเราเคยรุกรานเรา มีแต่เราที่รักสงบ และเพราะเรารักชาติ เราจึงต้อง “ยืนหยัด” เสมอ เด็กคนนั้นไม่ได้เรียนรู้ว่าโลกมีหลายมุม แต่เรียนรู้จากหนังสือว่าใครผิด ใครถูกรุกราน และใครที่ควรค่าแก่การระแวดระวัง เขาเติบโตมากับ “แผนที่” ที่ไม่ได้บอกพรมแดนของความเข้าใจ แต่เต็มไปด้วยรอยตะเข็บของความไม่ไว้ใจ 

ในหลายฉบับของแบบเรียนระดับมัธยม เนื้อหาที่ยังปรากฏอย่างต่อเนื่องคือภาพของประเทศเพื่อนบ้านในฐานะ “ผู้รุกราน” โดยเฉพาะสงครามไทย–พม่า สมัยอยุธยา หรือกรณีพิพาทไทย–กัมพูชา ซึ่งถูกเล่าแบบแน่นอนตายตัวว่า “อีกฝั่งต้องการยึดครอง” ขณะที่ไทยคือผู้เสียหายที่ต้องป้องกันดินแดนเอาไว้ บ่อยครั้ง วาทกรรม “เอาคืน” กลายเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ มากกว่า “การพยายามเข้าใจเบื้องหลังของความขัดแย้ง” โดยเห็นได้ทั้งจากข่าว และข้อความในโซเชียลมีเดีย

ผลลัพธ์ของการสอนแบบนี้ ไม่ได้แค่ทำให้เด็กเรียนประวัติศาสตร์อย่างมีอคติ แต่มันค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลก ประเทศไทยอาจกลายเป็นประเทศที่มองโลกผ่านเลนส์ของอดีตบาดแผล เชื่อว่าการระแวดระวังคือคุณธรรม และการชนะในเชิงอัตลักษณ์คือชัยชนะที่แท้จริง เราอาจสร้างพลเมืองที่รู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าไม่มีใครให้มองว่า “อ่อนแอกว่า” หรือ “น่าระแวง” และทำให้การเจรจา ความร่วมมือ และการอยู่ร่วมในโลกพหุวัฒนธรรม เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ไม่คุ้นเคย

UNESCO เคยริเริ่มโครงการ “Shared Histories in Southeast Asia” เพื่อเปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมกันออกแบบการสอนประวัติศาสตร์แบบข้ามพรมแดน ไม่ใช่เพื่อลบอดีตหรือความขัดแย้ง แต่เพื่อสร้างพื้นที่กลางของความเข้าใจ ที่ซึ่งความทรงจำร่วมไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกบรรทัด แต่อย่างน้อยก็ฟังกันให้ได้จนจบ

เพราะในวันที่โลกกำลังจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือในระดับภูมิภาค ประเทศที่ยังมองเพื่อนบ้านเป็นภัย อาจไม่ได้ล้าหลังแค่เชิงประวัติศาสตร์ แต่อาจกำลังพาตัวเองถอยหลังจากอนาคตไปทีละนิด

6. ขาดเสียงของประชาชน คนชายขอบ ผู้แพ้ และคนธรรมดาในหน้าประวัติศาสตร์

เราอาจจำชื่อของวีรบุรุษได้แม่นยำ แต่กลับไม่รู้จักชื่อของผู้หญิงที่ถูกบังคับอพยพ เด็กที่กลายเป็นทหารในสงคราม หรือชาวบ้านที่ต้องทิ้งไร่นาเพราะนโยบายรัฐ เรารู้จักการเปลี่ยนแปลงการปกครองผ่านบทบาทของผู้นำ รู้จักสงครามผ่านชัยชนะและกลยุทธ์ แต่เราไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้ในแนวหน้า หรือคำถามจากคนที่ไม่มีโอกาสกลับบ้าน

ในแบบเรียนจำนวนมาก ประวัติศาสตร์ยังถูกเล่าผ่านมุมมองของ “คนที่มีสิทธิ์เขียนเรื่องเล่า” ลองนึกภาพว่าเราพูดถึงประวัติศาสตร์สงครามโดยไม่มีครอบครัวที่พลัดพราก ไม่มีเด็กที่ไม่เคยเจอพ่ออีกเลยหลังเขาถูกเกณฑ์ไปรบ  เราจะเข้าใจสงครามนั้นในมิติไหน? เข้าใจแค่ทางยุทธศาสตร์? เข้าใจแค่จากมุมของผู้นำ? หรือแค่เข้าใจในระดับที่ไม่ทำให้เราตั้งคำถามใด ๆ อีก?

หากเราพูดถึงการพัฒนาชาติ แต่ไม่พูดถึงชุมชนที่ถูกไล่ที่ คนจนเมืองที่ต้องย้ายบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือคนชายขอบที่ไม่เคยได้อยู่ในแผนพัฒนาเลยตั้งแต่แรก เราจะเรียกความเข้าใจนั้นว่า “ครอบคลุม” ได้อย่างไร?

เราจึงต้องย้อนถามว่า หากข้อมูลที่เรามีอยู่ มาจากผู้มีอำนาจเพียงฝั่งเดียว แล้วเสียงของผู้แบกรับผลลัพธ์หายไปจากเนื้อเรื่องทั้งหมด  เรากำลังเข้าใจ “อดีต” หรือกำลังเข้าใจ “สิ่งที่อำนาจอยากให้เราจดจำ”?

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไม่ควรเป็นเพียงการถามว่า “ใครสร้างชาติ?”แต่ควรถามต่อว่า “ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?” เพราะทุกการเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ มีผู้คนจริง ๆ ที่อยู่ในนั้น  และเมื่อเรามองไม่เห็นพวกเขา เราไม่ได้เข้าใจประวัติศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ เราแค่เห็นเปลือกของเรื่องราวในฉบับที่มี “คนเป็นผู้เลือกเรื่องที่จะเล่า”

ในที่สุดแล้ว ความเข้าใจที่ไร้มนุษย์ มักนำไปสู่การซ้ำรอยของความผิดพลาด เพราะเราจดจำเหตุการณ์ได้ แต่ลืมไปว่า “เคยมีใครเจ็บปวดจากสิ่งนั้น” และหากเราไม่เคยได้ยินเสียงของผู้แพ้ เราก็ไม่มีวันเข้าใจเลยว่า พวกเราเองนั้นเคยมีโอกาส “ชนะ” มาได้อย่างไร

การมีมนุษยธรรม คือหัวใจของการเรียนรู้อดีต เพื่อไม่ให้ความผิดพลาดเดิมกลายเป็นความเคยชิน และเพื่อให้เด็กวันนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มองเห็นชีวิต มากกว่าตัวเลขพุทธศักราชที่ต้องท่องจำในบทเรียน

เราจะสอนประวัติศาสตร์อย่างไร ให้ไม่ทำร้ายและทำลายอนาคต? 

พรมแดนทางภูมิศาสตร์อาจถูกตีเส้นด้วยดินสอบนแผนที่ แต่พรมแดนของความเข้าใจ ไม่สามารถลากได้ด้วยมือเดียว คำถามคือวิชาประวัติศาสตร์ควรทำหน้าที่อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันและในโลกอนาคตที่ความร่วมมือในภูมิภาคจำเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่เพียงวิชาประวัติศาสตร์ทำหน้าที่อย่างไร แต่ควรตั้งคำถามว่า เราจะสอนอย่างไร เพื่อไม่ให้เรื่องเล่ากลายเป็นการทำลายอนาคตของประเทศด้วยอคติจากเรื่องเล่าที่เราเลือกให้เด็กทุกคนต้องเรียนในการศึกษาภาคบังคับ 

นี่คือข้อเสนอสำหรับห้องเรียนประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน 

  1. สร้างกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และความเท่าทันสื่อในห้องเรียนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไม่ใช่บทสรุปตายตัวว่าใครดีหรือใครเลว แต่คือกระบวนการที่สังคมเลือกจะ “เล่า” อดีตจากมุมมองใดมุมมองหนึ่ง เด็กที่เรียนรู้ผ่านคำตอบเดียว จะจดจำ “บทเรียนที่คนอื่นเขียนไว้ให้” โดยไม่เคยรู้ว่าเรื่องหนึ่งเรื่อง อาจมีได้หลายคำบรรยาย การสอนให้เด็กตั้งคำถามว่า “ใครเป็นคนเล่า?” “เล่าจากตำแหน่งไหน?” “เสียงไหนที่หายไป?” คือการปลูกฝังทักษะคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ให้เขาไม่ยึดติดกับคำอธิบายเดียวของโลก ไม่ตัดสินใครจากเลนส์ของผู้ชนะ และไม่รีบเอออวยกับความจริงที่ใครบางคนจัดวางไว้ให้เชื่อ มากกว่านั้น การตั้งคำถามกับ “เรื่องเล่า” คือจุดเริ่มต้นของความเท่าทันสื่อที่แท้จริง เพราะประวัติศาสตร์ คือสื่อรูปแบบหนึ่งที่ถูกผลิต เลือก และเผยแพร่โดยใครบางคน เด็กที่ถูกฝึกให้แยกแยะว่า “ใครคือเจ้าของเรื่อง” จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่แยกแยะสื่อได้ ไม่เชื่อทุกโพสต์ที่แชร์ ไม่ตัดสินทุกข่าวที่แรง และไม่หลงกลวาทกรรมที่ฟังดูหนักแน่นแต่ขาดความซับซ้อน 
  2. สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสงสัย ห้องเรียนที่ดีไม่ใช่ห้องเรียนที่มีคำตอบครบ แต่คือห้องเรียนที่ไม่ทำร้ายคำถาม เด็กควรมีสิทธิ์ถามว่า “ถ้ายอมแพ้จะมีคนเสียชีวิตน้อยลงไหม?” หรือ “ถ้าเราเกิดในอีกฝั่ง เราจะยังคิดแบบนี้ไหม?” คำถามเหล่านี้ไม่ใช่การลบหลู่ แต่คือการฝึกให้พวกเขาเป็นมนุษย์ มองเห็นความซับซ้อนของโลก และเรียนรู้ที่จะไม่รีบวางใครไว้ในกรอบ “ดี-เลว” เพียงเพราะหนังสือบอกไว้ 
  3. สอนโดยไม่ให้เด็กจดจำเพียงความแค้น และแยก ‘ความรักชาติ’ ออกจาก ‘การเกลียดผู้อื่น’ เราสามารถรักบ้านของเราได้ โดยไม่ต้องเหยียบบ้านของคนอื่น ความรักชาติที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การพูดว่า “เราดีกว่าเขา” แต่คือการกล้ายอมรับว่า “เราก็เคยผิด” และไม่ปล่อยให้ความผิดนั้นเกิดซ้ำ เราต้องเลิกสร้างอัตลักษณ์ชาติผ่านภาพของศัตรู เพราะชาติที่มั่นคงที่สุด ไม่ใช่ชาติที่มีป้อมปราการใหญ่ที่สุด แต่คือชาติที่มีพลเมืองที่เข้าใจอดีตอย่างไม่กลัว และพร้อมจะร่วมมือกับใครก็ได้เพื่อสร้างอนาคต 
  4. ให้เด็กเห็นว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของคนยิ่งใหญ่เท่านั้น มันคือเรื่องของคนธรรมดาทุกคน ถ้าเด็กไม่เคยเห็นตัวเองในตำรา เขาจะรู้สึกว่าประวัติศาสตร์ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย และเมื่อเขาไม่เห็นที่ทางของตนเองในอดีต เขาก็จะหลุดจากปัจจุบัน การเรียนรู้ว่าคุณยายเคยเป็นแรงงานไร้สัญชาติ หรือพ่อเป็นแรงงานข้ามชาติ และเขาก็ทำประโยชน์บางอย่างเช่นกัน อาจทำให้เด็กเห็นว่าเขาเองก็มีที่ทางอยู่ในเรื่องเล่า มีบทบาทในการจดจำ และตีความอดีตด้วย 
  5. ใช้ศิลปะ ความรู้สึก และเรื่องเล่า เพื่อฟื้นความเป็นมนุษย์ในประวัติศาสตร์ไม่ใช่ความโกรธแค้น เด็กอาจลืมวันเดือนปี แต่เขาจะไม่ลืมเสียงร้องของผู้ลี้ภัย ไม่ลืมภาพวาดของเด็กที่หนีตายจากสงคราม หรือจดหมายจากชายแดนที่แม่เขียนถึงลูก การเรียนประวัติศาสตร์จึงไม่ควรตัดขาดจากอารมณ์ เพราะความรู้สึกคือสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นมนุษย์ ก่อนจะสอนให้เด็กจดจำอะไร ลองถามเขาว่า “ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนในบ้านเราเอง จะยังรู้สึกเหมือนเดิมไหม?” 

แนวทางทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในโครงการ “Shared Histories in Southeast Asia” ของ UNESCO ครู นักประวัติศาสตร์ และกระทรวงศึกษาธิการจากประเทศในอาเซียน ได้ร่วมกันออกแบบบทเรียนที่ไม่ตัดสิน และเปิดให้เด็กเห็นอดีตจากหลายมุม พวกเขาเชื่อว่า การเข้าใจอดีตของกันและกัน คือรากของสันติภาพในอนาคตที่ยั่งยืนกว่า

แต่ถ้าเรายังคงสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องเล่าแบบเดิม…

นี่ไม่ใช่การขู่ และไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว มาดูกันว่าผลลัพธ์ทางการศึกษาอาจจะเป็นอย่างไรได้บ้าง บางข้อเราอาจจะรู้สึกคุ้นๆ อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะมันเกิดขึ้นแล้วในตัวเราทุกคน

1. เด็กจะโตมากับสมองที่เชื่อว่า “มีศัตรูอยู่เสมอ”

ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านในประวัติศาสตร์ แต่คือเพื่อนร่วมงาน เพื่อนในกลุ่มไลน์ หรือใครก็ตามที่เห็นต่าง เขาจะใช้พลังมหาศาลไปกับการ “ระแวดระวัง” มากกว่าการ “ร่วมมือ” เพราะเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่า ความไว้ใจคือความอ่อนแอ

เขามักจะใช้วิธีการปกป้องตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองมากกว่าความคิดที่จะหาหนทางสร้างความร่วมมือ หรือแม้เขาอยากจะสร้างความร่วมมือ แต่สมองของเขาก็คิดไปในทางนั้นไม่ได้เลย เพราะไม่มีเรื่องเล่าที่ชวนเขาคิดที่จะชวนเพื่อนบ้านมาทำอะไรบางอย่างที่เป็น “ประโยชน์ร่วม”

2. เด็กจะโตมาโดยไม่เคยตั้งคำถามกับความถูกต้องของคนที่มีอำนาจเหนือกว่า

ไม่ใช่แค่ผู้นำในแบบเรียน แต่คือหัวหน้าที่ใช้อำนาจโดยไม่ฟังใคร หรือแม้แต่คู่รักที่ควบคุมเขาผ่านคำว่า “หวังดี” เพราะเขาถูกฝึกมาแล้วว่า “อย่าตั้งคำถาม”

3. เด็กจะโตมาโดยไม่รู้จักฟังความเจ็บปวดของคนอื่น

ไม่ใช่แค่ทหารพม่าในอดีต แต่คือเพื่อนที่ถูกบูลลี่ คนจนที่ถูกไล่ที่ หรือแรงงานที่ถูกเอาเปรียบ เพราะเขาเคยถูกเล่าว่าประวัติศาสตร์คือเรื่องของ “ชัยชนะ” และชัยชนะมีค่าเหนือ “ชีวิต”

4. เด็กจะโตมาโดยไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์จะ “เล่าเรื่อง” ของตัวเอง

เขาอาจกลายเป็นคนที่เงียบเสมอในวงสนทนา ไม่กล้าพูดความจริงในใจ เพราะเคยถูกสอนเพียงว่า มีแค่คนลักษณะหนึ่งเพียงบางคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์อยู่ในเรื่องเล่า

5. เด็กจะโตมาในโลกที่ความรักชาติมาก่อนความรักมนุษย์

เขาอาจพูดถึงประเทศตัวเองได้อย่างเต็มปาก แต่ลังเลที่จะยื่นมือให้แรงงานข้ามชาติที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่กล้ามองตาเพื่อนต่างศาสนา เพราะเขารู้แค่ว่า “พวกเรา” ถูกกรอบด้วย “เรา” แบบไหน แต่ไม่เคยถูกสอนว่า “เราทุกคน” แปลว่าอะไร

6. เด็กจะโตมาโดยไม่รู้จัก “ชีวิตของคนอื่น”

เขาอาจเรียนรู้ว่า คนที่ไม่เหมือนเขาคือภัยคุกคาม เพื่อนบ้านต่างศาสนาเป็น ‘คนอื่น’ คนอีกฝั่งของพรมแดนคือ ‘ผู้รุกราน’ และคนที่คิดต่างคือ ‘ผู้ไม่รักชาติ’

เด็กที่ไม่มีทักษะเห็นใจผู้อื่น (empathy) คือผู้ใหญ่ที่อาจใช้อำนาจทำร้ายโดยไม่รู้ตัว เป็นหัวหน้าที่ไม่เข้าใจลูกน้อง เป็นคนรักที่ไม่รับฟัง และเป็นพลเมืองที่พร้อมจะตัดสินคนอื่นด้วยมาตรวัดของตัวเองเพียงคนเดียว

กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมในโลกที่หลากหลายได้ และนั่นคือสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณสมบัติของ global citizen โดยสิ้นเชิง เพราะการเป็นพลเมืองโลก คือการเข้าใจว่าเราไม่ใช่ศูนย์กลางของทุกอย่าง และอดีตไม่ใช่อาวุธ แต่คือบทเรียนที่เราทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่ออนาคตที่ไม่ซ้ำรอยเดิม

7. เด็กจะโตมาโดยเข้าใจว่า การรักใคร ต้องเลือกข้างเสมอ

เพราะแบบเรียนสอนว่า ถ้ารักชาติ ต้องเกลียดคนที่เคยรุกราน ถ้ารักวีรบุรุษ ต้องไม่พูดถึงความผิดพลาดของเขา สุดท้าย เขาอาจรักคนได้แค่ในเงื่อนไข และแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนกลายเป็นนิสัย แม้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยก็ตาม

8. เด็กจะโตมาโดยเข้าใจว่า “ความคิด” คือสิ่งที่ต้องจำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้าง

เขาอาจกลัวคำถาม รอให้ใครบางคนสรุปให้ว่าความจริงคืออะไร และเมื่อโตไป เขาอาจเชื่อข่าวปลอม หวั่นไหวง่ายต่อคำพูดที่ฟังดูหนักแน่นแต่ไร้ความซับซ้อน ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลเทียม เด็กที่คิดเองไม่เป็น คือเด็กที่พร้อมจะถูกชี้นำ

9. เด็กจะโตมาโดยคิดว่าตัวเองอยู่ศูนย์กลางของโลก

เขาจะเชื่อว่า ประเทศของเขายิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด ถูกรังแกเสมอ และไม่เคยผิดพลาด เพราะเขาโตมากับแบบเรียนที่ไม่มีพื้นที่ให้ความอ่อนน้อมหรือการเรียนรู้จากประเทศอื่นๆ

เมื่อโตมา เขาอาจเชื่อว่าความคิดของตัวเองคือมาตรฐานกลางของโลก ฟังชาวต่างชาติด้วยใจที่ไม่พร้อมเรียนรู้ และเข้าใจว่าความยิ่งใหญ่ของตัวเองต้องแลกกับการลดทอนคนอื่น

และเมื่อโลกไม่หมุนรอบเขา เขาจะเสียศูนย์ และจะดิ้นรนเพื่อ “เอาชนะ” แทนที่จะพยายาม “เข้าใจ”

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคพลเมืองไร้พรมแดน : เรากำลังสอนอดีต หรือกำลังชี้นำอนาคต 

การสอนประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่การทำให้เด็กรู้ว่า “อะไรเคยเกิดขึ้น” แต่คือการเลือกว่าจะให้พวกเขาแบกอดีตแบบไหนติดตัวไปสู่วันข้างหน้า

ถ้าเราสอนให้อดีตคือบทบรรยายของความสูญเสียที่ต้องเอาคืน ถ้าเราตอกย้ำว่าศัตรูคือคนที่เกิดในบางฟากฝั่งของดินแดน ถ้าเราชี้นำว่าความรักชาติต้องมากับความกลัวการถูกรุกราน แล้วเราจะเหลือพื้นที่ตรงไหนให้เด็กรู้สึกว่าเขาเกิดมาเพื่อหาหนทางในการสร้างสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อสืบทอดความโกรธ

ประวัติศาสตร์ไม่ควรกลายเป็น “แบบฝึกหัดแห่งความแค้น” และเราไม่ควรอนุญาตให้ใครเติบโตมาในประเทศที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องเกลียดใครบางคน ตั้งแต่ยังไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ และประเทศที่เจริญไปข้างหน้า คือประเทศที่เรียนรู้จะฟังอดีตอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่เพื่อหาใครผิดที่สุด แต่เพื่อหาทางไม่ทำผิดซ้ำอีก

เราจะไม่มีวันสร้างพลเมืองโลก (Global Citizen) ได้เลย หากเรายังเล่าประวัติศาสตร์แบบที่ทำให้เด็กกลัวเพื่อนบ้าน และภูมิใจในชาติพันธุ์ของตัวเองจนมองไม่เห็นคุณค่าของชาติพันธุ์อื่น เราจะไม่มีวันมีประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก ถ้าเรายังเล่าประวัติศาสตร์แบบที่ทำให้เราต้องยืนเด่นอยู่ลำพัง การรักชาติไม่ใช่การหลงในพวกพ้อง  และการเป็นพลเมืองโลกไม่ใช่การลืมราก เรายังคงรักและเคารพรากนี้เสมอ เพราะรากนี้แหล่ะคือการรู้ว่าเรามาจากที่ไหน เพื่อที่เราจะเลือกได้ว่า เราจะพาโลกนี้ไปทางไหนต่อ 

เพราะสุดท้ายแล้ว อนาคตไม่ได้ต้องการคนที่ท่องจำอดีตได้แม่นที่สุด แต่มันต้องการคนที่ฟังอดีตด้วยหัวใจที่เปิดกว้างที่สุด และกล้าที่จะไม่ทำร้ายใครอีก ไม่ว่าจะในนามของคำว่าชัยชนะ หรือคำว่าประเทศก็ตาม

และคำตอบของความเป็นมนุษย์ท้ังหมดอาจไม่ได้อยู่ในบทเรียนประวัติศาสตร์
แต่อยู่ในวิธีที่เราตั้งคำถามกับมันตั้งแต่วันนี้

เอกสารอ้างอิง และข้อมูลที่ Mappa อยากชวนไปหาอ่านเพิ่มเติม

  1. ธงชัย วินิจจะกูล. (2556). ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม (Nationalist Royalist History). ใน “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง”. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน. หนังสือสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์กระแสหลักของไทยเน้นการสร้าง “ชาติ” และ “ศัตรู” มากกว่าความเข้าใจเชิงมนุษยธรรม
  2. UNESCO (2018). Shared Histories for a Common Future: Southeast Asia – A Resource Book. Bangkok: UNESCO Asia-Pacific. โครงการที่พยายามสร้างแนวทางการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียนอย่างเปิดกว้าง ไม่เน้นการแบ่งฝ่าย และเคารพหลากหลายมุมมองของแต่ละประเทศ
  3. Barton, K. C., & Levstik, L. S. (2004). Teaching History for the Common Good. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum. งานวิจัยที่เสนอว่าการสอนประวัติศาสตร์ไม่ควรแค่บอกว่า “ใครชนะ” แต่ควรช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมในสังคมที่มีความหลากหลาย
  4. Seixas, P., & Morton, T. (2012). The Big Six: Historical Thinking Concepts. Toronto: Nelson Education. โมเดล “6 แนวคิดหลักของการคิดทางประวัติศาสตร์” ที่ใช้ทั่วแคนาดา เพื่อฝึกให้เด็กตั้งคำถาม วิเคราะห์หลักฐาน และเข้าใจความซับซ้อนของอดีต
  5. Nussbaum, M. C. (2010). Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities. Princeton University Press. หนังสือที่ชี้ว่า empathy, critical thinking และการมองโลกผ่านสายตาผู้อื่น คือหัวใจของประชาธิปไตยและสังคมร่วมสมัยที่มีความเป็นมนุษย์
  6. กระทรวงศึกษาธิการ. (2564). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในสาระประวัติศาสตร์ ระบุถึงเป้าหมายในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังขาดน้ำหนักด้านการส่งเสริมมุมมองเชิงวิพากษ์และพหุวัฒนธรรม

Global Citizenship Education (GCED), UNESCO. (n.d.). https://www.unesco.org/en/gced
แนวทางการศึกษาพลเมืองโลกที่ส่งเสริมความเข้าใจ ความเคารพในความหลากหลาย และการอยู่ร่วมอย่างสันติในสังคมโลก

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts