ระบบที่สอนให้เรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม :นโยบายการศึกษาไทยในเงามืดของถ้วยรางวัลและคะแนนสอบ

ระบบที่สอนให้เรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม :นโยบายการศึกษาไทยในเงามืดของถ้วยรางวัลและคะแนนสอบ

ชุดบทความ เด็กทุกคนควรได้เติบโต ไม่ใช่แค่ถูกจัดอันดับ ตอนที่ 4/5

ตลอด 3 บทความที่ผ่านมา เราเห็นแล้วว่าห้องเรียนถูกบิดให้กลายเป็นโชว์รูม โรงเรียนถูกขับเคลื่อนด้วยการตลาดแบบเก่าที่เอาถ้วยรางวัลมาสร้างภาพ และสังคมก็ยังเชื่อในมายาคติว่าคนเก่งไม่กี่คนจะเปลี่ยนประเทศได้ ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า ปัญหาการศึกษาไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง แต่อยู่ลึกลงไปในโครงสร้างของทั้งระบบ

และเมื่อมองหาต้นตอ เราหนีไม่พ้นที่จะต้องหันกลับมาที่ “นโยบายการศึกษา” เพราะแม้เอกสารนโยบายจะเต็มไปด้วยถ้อยคำสวยหรู เช่น “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” หรือ “สร้างโอกาสที่เท่าเทียม” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียนกลับตรงกันข้าม เด็กจำนวนมากยังคงถูก “ทิ้งไว้หน้าห้องสอบ” อย่างเป็นระบบ ด้วยระบบ

สาเหตุสำคัญคือ วิธีการวัดผลที่ยังผูกติดกับ ข้อสอบมาตรฐานเดียว ตัวเลขที่เปรียบเทียบกันได้ และ KPI (Key Performance Index) ที่ถูกส่งต่อขึ้นไปถึงเขตพื้นที่และผู้บริหาร ผลสอบกลายเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินคุณภาพโรงเรียน และคะแนนรวมก็ถูกแปลงเป็น “ชะตากรรม” ของทั้งครูและเด็กในระบบ

ผลลัพธ์คือ โรงเรียนถูกผลักเข้าสู่สนามแข่งขันถาวร ครูจำนวนมากถูกบีบให้สอนเพื่อให้เด็กทำข้อสอบ มากกว่าสอนเพื่อความเข้าใจ เด็กหัวแถวถูกผลักดันให้สอบแข่งขันเพื่อสร้างชื่อเสียง ขณะที่เด็กที่ยังอ่านไม่คล่องหรือเรียนรู้ช้ากว่าก็หายไปอย่างเงียบงัน

นี่คือ ช่องว่างระหว่างนโยบายบนกระดาษกับความจริงในห้องเรียน ระหว่างคำขวัญ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” กับโครงสร้างที่ยังบังคับให้เราทิ้งเด็กจำนวนมากไว้ข้างหลังอย่างเป็นระบบ

แม้ในเอกสารนโยบายการศึกษาไทยจะเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ดูทันสมัยและเปี่ยมความหวัง แต่ในทางปฏิบัติกลับสะดุดอยู่ที่โครงสร้างเดิม ๆ จนไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นจริงในห้องเรียนได้จริง นักวิชาการด้านการศึกษาไทยพูดเรื่องนี้มานับสิบปี จนบางคนถึงกับบอกว่า “ปัญหามันไม่ใช่ไม่มีใครเห็น แต่เราเลือกจะทำเป็นไม่เห็น”

และหากจะชี้ให้ชัดว่าอะไรคือ “รากปัญหา” ที่ทำให้คำสัญญาบนกระดาษไม่เคยแปรเปลี่ยนเป็นการเติบโตของเด็กจริง ๆ Mappa สรุปจุดอ่อนของนโยบายการศึกษาไทย ที่คำว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ยังเป็นแค่คำบนกระดาษ และทั้งนักวิชาการ ครู และแม้แต่ผู้ปกครองเองต่างรู้สึกตรงกัน ประเด็นเหล่านี้ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่ถูกแก้ไขเสียที

จุดอ่อนที่ 1: “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่การสอบมาตรฐานเดียวคือการทิ้งตั้งแต่ต้นทาง

แม้นโยบายการศึกษาจะยืนยันชัดเจนว่าจะสร้างความเสมอภาค แต่เกณฑ์การวัดผลยังผูกติดอยู่กับ “ข้อสอบมาตรฐานเดียว” ที่เด็กทั้งประเทศต้องเผชิญเหมือนกันหมด โดยไม่สนใจว่าใครเริ่มต้นจากจุดไหน หรือเดินมาไกลแค่ไหน การวัดผลแบบนี้จึงไม่ใช่เครื่องมือเพื่อ “พัฒนา” แต่กลับทำหน้าที่เป็นกรรไกรที่คอยจัดลำดับเด็ก และแบ่งพวกเขาออกเป็น “เก่ง – กลาง – อ่อน” อยู่เสมอ 

ข้อสอบกลางระดับชาติ เช่น O-NET (Ordinary National Educational Test : แบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน) หรือ NT (National Test : การประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ถูกใช้เป็นไม้บรรทัดเส้นเดียวในการตัดสินคุณค่าของเด็ก ไม่ว่าเขาจะเรียนในโรงเรียนเล็ก ๆ กลางภูเขาที่ครูหนึ่งคนต้องดูแลสามชั้นเรียนพร้อมกัน หรือโรงเรียนดังกลางเมืองที่มีติวเตอร์ครบทุกวิชา สุดท้ายเด็กทุกคนไม่ว่าอยู่ในโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมแบบไหนก็ถูกบังคับให้นั่งสอบด้วยโจทย์เดียวกัน และถูกเปรียบเทียบด้วยเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด

ผลลัพธ์คือ เด็กจากบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเพียง “ตัวเลข” ที่ถูกนำมาเรียงลำดับราวกับพวกเขาออกวิ่งจากจุดสตาร์ทเดียวกัน ทั้งที่บางคนต้องเดินเท้า 5 กิโลเพื่อไปโรงเรียน เรียนในห้องที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต และไม่เคยมีใครติวให้หลังเลิกเรียน แต่กลับถูกตัดสินว่า “ไม่เก่ง” เพียงเพราะไม่สามารถทำข้อสอบได้เท่าเด็กที่มีทรัพยากรพร้อมกว่า

สิ่งที่น่าหนักใจกว่าคือ “ข้อสอบมาตรฐานเดียว” กำลังสร้างภาพลวงตาว่าระบบกำลังวัดคุณภาพ ทั้งที่ความจริงแล้ว มันกำลังผลักเด็กจำนวนมากให้ออกนอกเส้นทางตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีศักยภาพ แต่เพราะไม้บรรทัดที่ใช้ตัดสินไม่เคยถูกออกแบบมาเพื่อเห็น “การเติบโต” ของเด็กทุกคน 

การใช้ข้อสอบชุดเดียวไม่ได้ทำให้การศึกษามีคุณภาพขึ้น ตรงกันข้าม มันตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ เพราะเด็กที่บ้านพร้อมกว่าย่อมมีโอกาส “สอบผ่าน” ได้ง่ายกว่า ขณะที่เด็กจากครอบครัวเปราะบางกลับต้องแบกความรู้สึกพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

งานวิจัยของ OECD (2018) ก็ชี้ตรงกันว่า การใช้ข้อสอบมาตรฐานเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงบริบท จะยิ่งซ่อนความเหลื่อมล้ำไว้ใต้ตัวเลข และตีตราเด็กที่เริ่มต้นจากพื้นที่ยากลำบากว่า “อ่อน” ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่ “เริ่มจากที่ที่ยากกว่า” เท่านั้น

นี่คือความผิดพลาดเชิงโครงสร้างของนโยบายไทย ที่ยังเชื่อว่าไม้บรรทัดเส้นเดียวสามารถสะท้อน “ศักยภาพของเด็กทั้งประเทศ” ได้ ทั้งที่สิ่งที่มันสะท้อนจริง ๆ คือความเหลื่อมล้ำที่ระบบไม่เคยยอมแก้ไข และนี่คือความย้อนแย้งที่เจ็บปวดที่สุด ในนามของ “ความเสมอภาค” เรากำลังทิ้งเด็กไว้ข้างหลังด้วยวิธีที่เป็นทางการที่สุด

จุดอ่อนที่ 2: การใช้คะแนนสอบรวมเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของโรงเรียน คือการผูกคุณภาพครูไว้กับความสำเร็จของ ‘เด็กหัวแถว’ 

ในทางนโยบาย “คะแนนสอบ” ถูกประกาศว่าเป็น “หลักฐานของคุณภาพ” แต่ในความจริง มันถูกใช้เป็น KPI ของโรงเรียนและครู เขตพื้นที่และผู้บริหารใช้ผลสอบเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัดว่าโรงเรียน “ดี” หรือ “แย่” และสิ่งนี้เองที่บีบให้โรงเรียนทั้งระบบต้องหันมาเล่นเกมแข่งขันผ่านคะแนน

เมื่อตัวชี้วัดของโรงเรียนผูกติดกับตัวเลข คะแนนสอบจึงกลายเป็น สกุลเงินของโรงเรียน ครูจำนวนมากถูกกดดันให้สอนเพื่อให้เด็กทำข้อสอบได้ มากกว่าสอนเพื่อสร้างความเข้าใจจริง ๆ เด็กหัวแถวถูกเร่งปั้นให้ไปแข่ง เพื่อสร้างชื่อเสียง “ขายได้” ส่วนเด็กที่ยังอ่านไม่คล่องหรือเรียนรู้ช้ากว่าถูกทิ้งไว้ข้างสนาม เพราะไม่สามารถสร้าง “ตัวเลขสวย ๆ” ให้โรงเรียนได้ทันเวลา

แม้ครูจำนวนมากจะรู้ดีว่าเด็กแต่ละคนต้องการเวลาไม่เท่ากัน บางคนต้องการแรงส่งมากหน่อยกว่าจะอ่านออก บางคนอาจต้องการพื้นที่เงียบ ๆ เพื่อค่อย ๆ ทำความเข้าใจ แต่ความจริงที่โหดร้ายคือ ครูไม่เคยมีเวลาและทรัพยากรพอจะดูแลทุกคนไปพร้อมกัน เพราะระบบการศึกษากำหนด “ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้” ไว้อย่างชัดเจนคะแนนสอบเฉลี่ยของโรงเรียน จำนวนเด็กที่สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง หรือจำนวนเกียรติบัตรจากเวทีแข่งขัน ผลลัพธ์เหล่านี้กลายเป็นหลักฐานเดียวที่ตัดสินว่าโรงเรียนและครู “มีคุณภาพ” หรือไม่  ครูจึงถูกบังคับโดยกลไกโครงสร้างให้ทุ่มแรงไปที่เด็กสองกลุ่มเท่านั้น เด็กหัวแถวที่จะช่วยสร้างชื่อเสียง และเด็กท้ายห้องที่จะเป็นสถิติ “ไม่ตกหล่น”

เด็กกลางห้องที่ไม่ได้สร้างภาพสวย ๆ และไม่ได้เสี่ยงจะเป็นตัวเลขน่าอับอาย จึงถูกทำให้โปร่งใสไปด้วยระบบ นี่ไม่ใช่เพราะครูใจร้ายหรือไม่ใส่ใจ แต่เพราะระบบไม่เคยอนุญาตให้เขาใช้เวลาหรือทรัพยากรกับเด็กกลุ่มที่ “ไม่มีอะไรให้ขาย”

ครูที่พาเด็กสอบติดหรือพาไปแข่งชนะ จึงถูกยกย่องว่า “ทำงานได้ผล” ขณะที่ครูที่ค่อย ๆ ช่วยเด็กอ่านออกเขียนได้ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของเด็กคนนั้น กลับแทบไม่มีใครนับเป็นความสำเร็จ ผลก็คือ เด็กจำนวนมากค่อย ๆ ถูกแปรสภาพจาก “ผู้เรียนรู้” ไปเป็นเพียง “เครื่องมือสร้างผลงาน” ของครูและโรงเรียน สถานศึกษาที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย กลับกลายเป็นโรงงานผลิตตัวเลข ผลการสอบเฉลี่ยของเด็กถูกส่งขึ้นเป็นรายงาน ผลรายงานถูกสรุปเป็นคะแนน KPI และคะแนน KPI กลายเป็นป้ายประกาศว่าโรงเรียนแห่งนี้ “มีคุณภาพ” หรือไม่ วงจรนี้ตอกย้ำการตลาดการศึกษาแบบเก่าที่ให้ค่าเฉพาะผลลัพธ์ที่ขายได้ทันที

งานวิจัยของ Koretz (2008) ใน Measuring Up: What Educational Testing Really Tells Us ชี้ให้เห็นว่า เมื่อการประเมินผูกกับแรงกดดันเชิงนโยบาย คะแนนสอบมักถูก “บิดเบือน” (score inflation) โดยโรงเรียนจะพยายามหาทางทำให้คะแนนสูงขึ้น แต่ไม่ได้สะท้อนความรู้จริงของเด็ก ผลคือระบบได้ “คะแนนที่ดูดี” แต่ไม่ได้พัฒนา “คุณภาพการเรียนรู้” ของเด็กจริง ๆ

นี่คือความย้อนแย้งอีกข้อหนึ่งของนโยบายไทย ที่เราใช้คะแนนสอบเป็น KPI ราวกับเป็นมาตรวัดคุณภาพ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นโรงเรียนที่สอนเพื่อสอบ ครูที่หมดไฟ และเด็กที่ถูกกดดันให้กลายเป็นตัวเลข มากกว่าการเป็นมนุษย์ที่กำลังเรียนรู้

จุดอ่อนที่ 3: โครงสร้างการประเมินที่ยึดโค้งระฆัง (Bell Curve) เป็นโครงสร้างตั้งต้น (Default)

ระบบการศึกษาไทยยังคงทำงานบนตรรกะง่าย ๆ ว่า “ถ้ามีคนอยู่ข้างบน ก็ต้องมีคนอยู่ข้างล่าง” ทุกปีการสอบถูกออกแบบให้สร้างการกระจายผลที่ชัดเจน เด็กหัวแถวจำนวนหนึ่งจะถูกยกขึ้นสู่สปอตไลต์ ส่วนที่เหลือจะถูกจัดให้อยู่กลางหรือท้ายกราฟโดยปริยาย 

โค้งระฆัง (Bell Curve) คือภาพแทนของการกระจายคะแนน ที่ทำให้เราคุ้นเคยกับการแบ่งเด็กออกเป็น “เก่ง – กลาง – อ่อน” เสมอ ยอดของโค้งระฆังคือกลุ่มเด็กเก่งที่ถูกยกขึ้นมาเป็นหน้าเป็นตา ด้านซ้ายคือเด็กที่ถูกมองว่าตกขบวน และตรงกลางคือเด็กส่วนใหญ่ที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตา สิ่งที่อันตรายคือ โครงสร้างนี้ถูกทำให้เป็นเหมือนความจริงตามธรรมชาติ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันเป็นเพียง “เครื่องมือจัดลำดับ” ที่ระบบเลือกใช้ และถูกทำให้กลายเป็นค่าตั้งต้นโดยไม่เคยถูกตั้งคำถาม

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นออกมาเป็นรูปธรรมผ่านวัฒนธรรมโรงเรียนชัดเจน การประกาศอันดับ ติดบอร์ดหรือหน้าเสาธง การจัด Top 10 หรือ Top 100 เป็นเกณฑ์ที่สังคมใช้ยกย่อง และการสอบแข่งขันซ้ำ ๆ ที่ทำให้ต้องมีผู้ชนะไม่กี่คน และผู้แพ้จำนวนมาก

แม้ข้อสอบอาจไม่ได้ถูกตั้งใจออกมาเพื่อบังคับให้เด็กแพ้ แต่โครงสร้างการประเมินผล เช่น การประกาศอันดับ การใช้คะแนนเฉลี่ยเป็นตัวชี้วัด และการเปรียบเทียบระหว่างโรงเรียน ทำให้ผลลัพธ์ถูกตีความและใช้งานราวกับอ้างอิงโค้งระฆังอยู่ตลอด ปัญหาคือ เมื่อโค้งระฆังถูกใช้เป็นโครงสร้างตั้งต้น โรงเรียนและครูจึงถูกกดดันให้ “มีที่หนึ่งและมีที่โหล่” อยู่เสมอ ทั้งที่ในความจริง เด็กทุกคนอาจเรียนรู้ดีขึ้นพร้อมกัน แต่ระบบไม่ได้ออกแบบมาเพื่อยกทุกคนขึ้นไปพร้อมกัน  หากถูกออกแบบมาเพื่อ “แยกและจัดลำดับ” ตั้งแต่ต้น

ผลก็คือ เด็กจำนวนมหาศาลเรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่า ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่เคยมีพื้นที่ให้ “ทุกคน” ประสบความสำเร็จพร้อมกันได้ เพราะระบบต้องการ “คนแพ้” เพื่อให้ชัยชนะของอีกกลุ่มดูโดดเด่น

ประเทศที่ก้าวหน้ากว่าเลือกวิธีตรงกันข้าม เช่น ฟินแลนด์ หรือแคนาดา ที่ยกเลิกการจัดอันดับและไม่ใช้ Bell Curve หรือ โค้งระฆังเป็นฐานของการประเมิน แต่หันไปวัดการพัฒนารายบุคคล (growth-based assessment) เด็กถูกให้ค่าจาก “การเดินมาไกลแค่ไหนจากจุดที่ตัวเองเริ่มต้น” ไม่ใช่การถูกจับไปเปรียบเทียบกับเพื่อนทั้งห้อง

แต่ในไทย เด็กถูกฝึกให้เชื่อว่า “ต้องมีที่หนึ่ง ที่สอง และที่โหล่” อยู่เสมอ ทั้งที่สิ่งทีประเทศของเราต้องการไม่ใช่แค่ยอดกราฟที่สูงโดดที่หมายความว่าการมีเด็กเก่งไม่กี่คน แต่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งประเทศได้ คือการยกทั้งเส้นโค้งขึ้นไปพร้อมกัน

และนั่นหมายความว่าเด็กทุกคนควรได้เติบโตขึ้นจากจุดที่เขาเริ่มต้น

จุดอ่อนที่ 4: นโยบายไม่สอดคล้องกับทรัพยากรที่ลงไปจริง

นโยบายการศึกษาไทยชอบเขียนคำสวยหรู เช่น “ดูแลเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงกันข้าม การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษายังคงเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง โรงเรียนเล็กในชนบทที่ครูหนึ่งคนต้องดูแลนักเรียนหลายชั้นเรียนพร้อมกัน หรือโรงเรียนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตและห้องสมุดที่เหมาะสม กลับถูกวัดด้วยเกณฑ์เดียวกับโรงเรียนดังในเมืองที่มีครูเฉพาะทางครบทุกวิชา และงบประมาณเสริมไม่ขาด

ลองนึกถึง เด็ก ป.6 ในโรงเรียนย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ที่หลังเลิกเรียนยังมีเวลานั่งติวพิเศษกับครูเฉพาะทาง คอมพิวเตอร์พร้อม อินเทอร์เน็ตเร็ว และพ่อแม่ช่วยทำการบ้านได้ เทียบกับ เด็ก ป.6 ในโรงเรียนเล็กบนดอยเชียงราย ที่ครูหนึ่งคนต้องสลับสอนทั้ง ป.4–ป.6 พร้อมกัน เด็กต้องเดินไกลเกือบชั่วโมงมาโรงเรียน ห้องเรียนไม่มีอินเทอร์เน็ต และการบ้านก็ต้องทำเองโดยไม่มีใครช่วย แต่ทั้งสองคนถูกบังคับให้นั่งสอบข้อสอบกลางชุดเดียวกัน และถูกวัดด้วยไม้บรรทัดเส้นเดียวกัน ผลสอบออกมาใครกันล่ะที่จะถูกเรียกว่า “อ่อน”?

ประเทศที่ก้าวหน้ากว่า เช่น ฟินแลนด์ หรือเอสโตเนีย เลือกลงทุนไปที่ความเสมอภาคเป็นหลัก โดยเพิ่มทรัพยากรให้โรงเรียนที่เปราะบางมากกว่าโรงเรียนที่พร้อมอยู่แล้ว และใช้การประเมินที่ยืดหยุ่นตามบริบทของเด็กและโรงเรียน สิ่งนี้ทำให้ “คุณภาพ” ไม่ได้ถูกวัดด้วยการแข่งขันระหว่างโรงเรียน แต่ด้วยการที่เด็กทุกคนสามารถก้าวหน้าไปได้จากจุดเริ่มต้นของตัวเอง

ในทางกลับกัน ประเทศไทยยังใช้โมเดลที่มองเด็กเป็น “ผลผลิต” มากกว่าผู้เรียนรู้ เด็กที่สอบแข่งขันระดับประเทศหรือเวทีนานาชาติได้รางวัลจะถูกยกเป็น “ความสำเร็จของชาติ” ขณะที่เด็กอีกกว่า 90% ไม่เคยมีที่ทางในเรื่องเล่า ระบบการศึกษาจึงกลายเป็นสายพานการตลาด ที่ผลิตชื่อเสียงจากเด็กไม่กี่คน แต่ปล่อยให้เสียงของเด็กส่วนใหญ่จมหายไปในความเงียบ

คำสัญญาจากรัฐกับความจริงที่สวนทาง

แม้นโยบายการศึกษาจะประกาศชัดว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคือการทิ้งเด็กไว้ หน้าห้องสอบ เด็กกรุงเทพฯ ที่มีครูติวพิเศษ อินเทอร์เน็ต และทรัพยากรครบ ถูกนับอยู่ใน “ความสำเร็จของระบบ” ขณะที่เด็กต่างจังหวัดที่ต้องเดินไกลหลายกิโลมาโรงเรียน ยังถูกตัดสินด้วยเกณฑ์เดียวกัน และกลายเป็น “เด็กอ่อน” โดยอัตโนมัติ

ทั้งหมดนี้สะท้อนความย้อนแย้งที่เจ็บปวดที่สุดของนโยบายไทย ในขณะที่เอกสารพูดถึง “โอกาสที่เท่าเทียม” การปฏิบัติจริงกลับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ และใช้เด็กไม่กี่คนเป็นหน้าตาของประเทศ ขณะที่เสียงของเด็กส่วนใหญ่ถูกกลบหายไป

ถ้า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ยังแปลว่าเด็กต้องนั่งสอบข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ งั้นเราควรซื่อสัตย์กว่านี้ และเปลี่ยนคำขวัญเสียใหม่ว่า “เราจะทิ้งทุกคนไว้หน้าห้องสอบ…อย่างเท่าเทียม” อาจจะตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันมากกว่า

อ้างอิง

Koretz, D. (2008). Measuring Up: What Educational Testing Really Tells Us. Harvard University Press.

OECD (2019). PISA 2018 Results. OECD Publishing.

World Bank (2018). World Development Report 2018: Learning to Realize Education’s Promise.

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts