โปรดอยู่ต่อเถอะนะ: ก่อนที่เด็กอีกคนจะเงียบหายไป 

โปรดอยู่ต่อเถอะนะ: ก่อนที่เด็กอีกคนจะเงียบหายไป 

บทเรียนจากกลุ่ม Please Stay Movement กลุ่มแม่ที่เปลี่ยนความเศร้าโศกของตัวเองให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การไม่ต้องการเห็นเด็กสิงคโปร์คนไหนยุติชีวิตตัวเอง

ทุกวันนี้ เด็กวัยรุ่นหนึ่งคนจากครอบครัวดีๆ ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ กำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต คำถามที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไม่ใช่ “จะเรียนอะไรต่อ” หรือ “อยากเป็นอะไรตอนโตขึ้น” แต่เป็น “ควรมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่”

ตัวเลขจากองค์การอนามัยโลกชี้ให้เห็นความจริงที่หดหู่ใจ การยุติชีวิตเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสามสำหรับเยาวชนอายุ 15-29 ปี ทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากการยุติชีวิตมากกว่า 720,000 คนต่อปี ทุกๆ 40 วินาที มีชีวิตหนึ่งที่จากไปด้วยวิธีนี้

มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในประเทศไกลๆ ประเทศไทยเองก็กำลังเผชิญวิกฤตนี้อย่างรุนแรง การยุติชีวิตเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสามของเด็กไทยอายุ 15-19 ปี และสิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ เด็กไทยอายุ 13-17 ปี ถึง 17.6% เคยคิดจริงจังเรื่องการยุติชีวิต หมายความว่าในห้องเรียนที่มีนักเรียน 30 คน อาจมีเด็กถึง 5-6 คนที่เคยคิดจะจบชีวิตตัวเอง

เมื่อเด็กติดอยู่ใน “กับดักหลายชั้นของสังคม” และพวกเขาไม่รู้ว่าจะพาตัวเองต้องออกจากตรงนั้นอย่างไร

เพราะอะไรเด็กในยุคนี้ถึงต้องเผชิญกับความมืดมิดจนคิดว่าการยุติชีวิตคือทางออกเดียว คำตอบอาจไม่ใช่แค่เรื่อง “เด็กสมัยนี้อ่อนแอ” หรือ “ผลการเรียนไม่ดี” เด็กวัยรุ่นในปัจจุบันกำลังติดอยู่ใน “กับดักหลายชั้น” ของปัญหาต่างๆ ที่มาพร้อมกันจนหาทางออกไม่ได้

ชั้นแรกของกับดักคือโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นดาบสองคมในชีวิตเด็กๆ การศึกษาพบว่าเยาวชนที่ใช้โซเชียลมีเดียมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 3 เท่า และการศึกษาระยะยาว 10 ปี เผยให้เห็นว่าเด็กหญิงอายุ 13 ปีที่ใช้โซเชียลมีเดีย 2-3 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงยุติชีวิตสูงขึ้นเมื่อโตเป็นวัยรุ่น เหตุผลมาจาก การถูกกลั่นแกล้งออนไลน์ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา การได้รับอิทธิพลจากเนื้อหาเชิงลบ และการเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับการยุติชีวิตและทำร้ายตัวเองจนชินตา

ชั้นที่สองคือผลพวงจากโควิด-19 ที่หลายคนคิดว่าผ่านไปแล้ว แต่ความจริงคือบาดแผลทางจิตใจยังไม่หาย ในช่วงการระบาดใหญ่ ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทั่วโลก การปิดโรงเรียน การสูญเสียการติดต่อสังคม การแยกตัวที่ทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง และการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน ส่งผลให้สมองของเด็กเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าปกติ การศึกษาพบว่าเด็กที่ผ่านการระบาดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสมองที่เร่งขึ้น ส่งผลต่อการประมวลผลอารมณ์

ชั้นที่สามคือความกดดันทางวิชาการที่กลายเป็นการแข่งขันเอาชีวิต การศึกษาล่าสุดพิสูจน์ว่าความกดดันทางวิชาการเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดต่อการยุติชีวิตในวัยรุ่นในไทย การศึกษากับนักเรียนมัธยมพบว่าสาเหตุหลักคือความคาดหวังของพ่อแม่เรื่องผลการเรียน การถูกกลั่นแกล้ง ปัญหาครอบครัว ความรักวัยรุ่น การขาดทักษะจัดการความเครียด การเลียนแบบจากโซเชียลมีเดีย และการใช้สารเสพติด

ชั้นสุดท้ายคือการสูญเสียความรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เมื่อเด็กต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าไม่มีใครเป็นพยานหรือตอบสนองต่อการกระทำของตน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไม่สำคัญ และเริ่มสงสัยขอบเขตระหว่างความเป็นจริงกับจินตนาการ กลุ่มที่เสี่ยงพิเศษคือเยาวชน LGBTQ+ โดยที่  39% ของเยาวชนกลุ่มนี้เคยคิดจริงจังเรื่องการยุติชีวิต และ 12% เคยพยายามยุติชีวิต รวมถึงเยาวชนในพื้นที่ชนบทที่มีอัตราการยุติชีวิตสูงกว่าในเมือง

เรื่องราวจากสิงคโปร์: เมื่อความเศร้าโศกของแม่กลายเป็นพลังที่ทำให้ทุกคนในสังคมตระหนักว่าการยุติชีวิตของเด็กและเยาวชนคนหนึ่งเป็นเรื่องของคนทุกคนในสังคม

ในวันที่ 29 ตุลาคม 2019 กลุ่มแม่ในสิงคโปร์ที่ผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตได้ตัดสินใจรวมตัวกัน พวกเธอไม่ได้เลือกที่จะซ่อนความเจ็บปวดในใจ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนความเศร้าโศกเป็นแรงผลักดันเพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวอื่นต้องเจอสิ่งที่พวกเธอเจอ

คุณดอรีน โค เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง PleaseStay Movement เธอสูญเสียลูกชายวัย 11 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ลูกชายของเธอเป็นเด็กที่กำลังต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าและความกดดันทางวิชาการ เมื่อได้ผลการเรียนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เขารู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงจนตัดสินใจยุติชีวิต สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับคุณดอรีนคือการรู้ว่าลูกชายเธอต่อสู้กับความมืดมิดในใจคนเดียว โดยที่เธอไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร

คุณอีเลน อีกหนึ่งแม่ในกลุ่ม สูญเสียลูกชายวัย 17 ปี ที่ยุติชีวิตตัวเองในเดือนตุลาคม 2018 แม้ว่าลูกชายของเธอดูจะเป็นเด็กที่มีความสุขจากภายนอก แต่เขากำลังต่อสู้กับความทุกข์ภายในที่ไม่มีใครรู้ สิ่งที่ทำให้อีเลนเจ็บปวดมากที่สุดคือการตระหนักว่าเธอไม่เคยรู้จักลูกชายตัวเองอย่างแท้จริง

คุณเจนนี่ เตียว คุณตัน เลย์ ผิง และคุณวาเลอรี ลิม สมาชิกของ Please Stay Movement ล้วนเป็นแม่ที่ผ่านประสบการณ์การสูญเสียบุตรหลานในลักษณะเดียวกัน ความเจ็บปวดที่พวกเธอแบ่งปันกันไม่ได้ทำให้พวกเธออ่อนแอลง แต่กลับทำให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อต่อสู้กับปัญหาที่ใหญ่กว่าความเศร้าโศกส่วนตัว

วิสัยทัศน์ของ PleaseStay Movement คือ “เพื่อให้สิงคโปร์ที่ไม่มีเยาวชนคนใดต้องสูญเสียจากการยุติชีวิต” พันธกิจของพวกเธอคือการมีส่วนร่วมกับรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ และสาธารณชนผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ การระบุช่องว่างของบริการสุขภาพจิตจากภาครัฐ การเสนอแนวทางแก้ไขทางเลือก เพื่อให้เกิดแนวทางเชิงระบบในการป้องกันการยุติชีวิตในกลุ่มเด็กและเยาวชน

สิ่งที่พวกเธอขับเคลื่อนไม่ใช่แค่การรณรงค์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ พวกเธอเรียกร้องให้สิงคโปร์มีกลยุทธ์ระดับชาติในการป้องกันการยุติชีวิตที่ประสานงานและบูรณาการ ส่งเสริมการสื่อสารที่รับผิดชอบ เช่น การใช้คำว่า “เสียชีวิตจากการยุติชีวิต” แทน “กระทำอัตวินิบาตกรรม” และผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันหลายภาคส่วน ตั้งแต่รัฐบาล ชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน โรงเรียน องค์กรสื่อ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปกครอง องค์กรศาสนา ไปจนถึงเยาวชนเอง

ผลจากการขับเคลื่อนของ Please Stay Movement ทำให้กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ต้องยอมรับว่าข้อเสนอของพวกเธอสอดคล้องกับแผนการจัดตั้งหน่วยงานสุขภาพจิตแห่งชาติ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเมื่อความเศร้าโศกส่วนตัวกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสาธารณะ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ 

การยุติชีวิตของเด็ก: สัญญาณเตือนของสังคม

เมื่อเด็กตัดสินใจยุติชีวิต สิ่งแรกที่สังคมมักจะทำคือชี้นิ้วไปที่ครอบครัว ตำหนิว่าพ่อแม่ดูแลไม่ดี หรือเด็กอ่อนแอ แต่ความจริงคือ การยุติชีวิตของเด็กไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของครอบครัวหนึ่งๆ มันเป็นสัญญาณเตือนที่สังคมทั้งหมดต้องหยุดและพิจารณา

เมื่อในสังคมหนึ่งมีเด็กจำนวนมากที่คิดว่าชีวิตไม่มีค่าพอที่จะมีอยู่ต่อไป นั่นหมายความว่าสังคมนั้นมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง อาจเป็นระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขันจนเด็กรู้สึกว่าคุณค่าของตนขึ้นอยู่กับผลการเรียนเพียงอย่างเดียว อาจเป็นการขาดการสนับสนุนทางอารมณ์ที่ทำให้เด็กไม่มีที่ปลอดภัยในการแสดงความรู้สึกและขอความช่วยเหลือ หรืออาจเป็นความกดดันจากสื่อสังคมที่ทำให้เด็กต้องเผชิญกับการเปรียบเทียบและการตีตราอย่างต่อเนื่อง

สัญญาณเตือนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันสะสมมาจากการที่เราละเลยความต้องการทางจิตใจของเด็ก การที่เราให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์มากกว่าความสุข การที่เราสร้างสังคมที่เด็กรู้สึกว่าต้องเป็น “เด็กดี” ตลอดเวลาโดยไม่มีพื้นที่ในการผิดพลาดหรือเรียนรู้

ถึงเด็กๆ ที่กำลังเจ็บปวด จากกองบรรณาธิการ Mappa

หากตอนนี้มีเด็กๆ กำลังอ่านบทความนี้และรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในความมืดมิด พวกเราอยากให้รู้ว่าพวกเธอไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนหลายล้านคนทั่วโลกที่เคยรู้สึกเหมือนเธอ และพวกเขาผ่านมันมาได้ ความเจ็บปวดที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไม่ได้ถาวร แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนไม่มีทางออก แต่ความรู้สึกนั้นจะเปลี่ยนแปลงได้

มีคนรอที่จะช่วยพวกเธออยู่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน ครู หรือผู้เชี่ยวชาญ มีคนที่พร้อมฟังและช่วยเหลือ และสิ่งสำคัญที่สุด ชีวิตเธอมีความหมาย แม้ว่าตอนนี้เธออาจจะยังมองไม่เห็น แต่เธอมีผลกระทบเชิงบวกต่อคนรอบข้างมากกว่าที่เธอคิด การที่เธอยังคงหายใจอยู่ในวันนี้แสดงว่าเธอเข้มแข็งกว่าที่เธอคิด

ถึงพ่อแม่และผู้ใหญ่ทุกคน : พวกเราคือเครือข่ายความปลอดภัย

สำหรับพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่กำลังกังวลเรื่องเด็กๆ การรู้จักสัญญาณเตือนอาจช่วยชีวิตเด็กๆ ได้ สัญญาณทางพฤติกรรมที่ต้องระวังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการนอนหรือการกิน การถอนตัวจากเพื่อนและครอบครัว การไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบ การมอบของสำคัญให้คนอื่น และพฤติกรรมเสี่ยงที่ผิดปกติ

สัญญาณทางอารมณ์ที่ควรเฝ้าระวังคือความรู้สึกสิ้นหวังหรือไร้ค่า ความโกรธหรือความหงุดหงิดที่รุนแรง ความวิตกกังวลที่รุนแรง และการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรวดเร็ว ส่วนสัญญาณทางคำพูดที่ต้องตั้งใจฟังคือ “ฉันอยากตาย” “ฉันอยากหายไป” “ทุกคนจะดีกว่าถ้าฉันไม่อยู่” “ฉันไม่ไหวแล้ว” และการพูดถึงความตายบ่อยๆ

เมื่อสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้แล้ว สิ่งแรกคืออย่าเพิกเฉย แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการ “หาเรื่อง” หรือ “ต้องการความสนใจ” แต่ทุกสัญญาณต้องถือว่าจริงจัง เราสามารถเริ่มบทสนทนาโดยการถามอย่างตรงไปตรงมาเช่น “ลูก/หนู คิดทำร้ายตัวเองไหม?” การถามไม่ได้เพิ่มความเสี่ยง แต่ทำให้เห็นว่าเราไม่มองข้ามสัญญาณเตือนจากพวกเขา อย่างไรก็ดีการถาม หรือการเปิดบทสนทนานี้มีพื้นฐานความสัมพันธ์เป็นจุดเริ่มต้น การฟังอย่างไม่ตัดสินจึงเป็นทักษะสำคัญ การให้เวลาและพื้นที่ในการแสดงความรู้สึก ไม่ต้องรีบหาทางแก้ จะช่วยสร้างพื้นฐานความสัมพันธ์แบบนี้ จากนั้นต้องขอความช่วยเหลือทันที โดยติดต่อผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาล หรือสายด่วนวิกฤต และสิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม

ความสัมพันธ์: “การมีอยู่จริง” ของผู้ใหญ่สักคนในชีวิตเด็ก ก็สามารถลดการยุติชีวิตของเด็กได้

หัวใจสำคัญของการป้องกันการยุติชีวิตของเด็กและเยาวชนอยู่ที่ความรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันในแต่ละความสัมพันธ์ การที่เด็กๆ รู้สึกเชื่อมโยงกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่สักคนในชีวิตของเขา ก็ช่วยลดการยุติชีวิตของตัวเองลงได้อย่างมาก การศึกษาจากทั่วโลกพิสูจน์ว่า การสนับสนุนทางสังคมและการเชื่อมโยงเป็นปัจจัยป้องกันที่สำคัญที่สุด ครอบครัวที่อบอุ่นเป็นเสาหลักที่สำคัญ เด็กที่รู้สึกได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองมีความเสี่ยงต่อการยุติชีวิตลดลงอย่างมาก แต่ครอบครัวเพียงอย่างเดียวไม่พอ การมีผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจในชุมชน เช่น ครู โค้ช หรือผู้นำศาสนา สามารถช่วยป้องกันการยุติชีวิตได้ แม้ในกรณีที่ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองไม่ดี เพื่อนที่แท้จริงก็มีความสำคัญ การมีเครือข่ายสังคมที่เข้มแข็งและเป็นบวกช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก เด็กที่มีเพื่อนสนิทที่ไว้วางใจมีความยืดหยุ่นในการจัดการความเครียดมากขึ้น

โรงเรียนก็เป็นอีกหนึ่งแวดวงสำคัญ สภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่ปลอดภัย เป็นมิตร และส่งเสริมการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์มีประสิทธิภาพในการป้องกันการยุติชีวิต การสร้างความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องใช้ความตั้งใจ เวลา และความอดทน

การใช้ภาษาที่รักษาชีวิต

PleaseStay Movement มีการรณรงค์สำคัญ​ที่ชวนให้พวกเราตระหนักถึงความสำคัญของ “ภาษา” และให้ตระหนักว่าแม้แต่คำพูดก็สามารถช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิตได้ เมื่อเราพูดถึงคนที่กำลังประสบปัญหา การใช้คำว่า “เป็นคนอ่อนแอ” “ขี้แพ้” “ไม่เข้มแข็ง” จะทำให้พวกเขายิ่งปิดใจ ในขณะที่คำว่า “กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก” “ต้องการความช่วยเหลือ” จะเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น

สำหรับสื่อ การหลีกเลี่ยงการแบ่งปันรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ การมุ่งเน้นไปที่ชีวิตของผู้เสียชีวิตมากกว่าการเสียชีวิต การระบุหมายเลขสายด่วนหรือแหล่งช่วยเหลือเสมอ และการส่งเสริมเรื่องราวของผู้รอดชีวิตและความหวัง ล้วนเป็นแนวปฏิบัติที่ช่วยลดการเลียนแบบและเพิ่มการขอความช่วยเหลือ

สำหรับสาธารณชน การพูดคุยเรื่องการยุติชีวิตอย่างมีสติ การยอมรับว่าความคิดยุติชีวิตและภาวะซึมเศร้าไม่เลือกปฏิบัติ การสนับสนุนให้คนที่กำลังประสบปัญหาขอความช่วยเหลือ และการสานต่อบทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพจิต จะช่วยสร้างสังคมที่ปลอดภัยทางจิตใจ

คำแนะนำปฏิบัติที่ทุกคนทำได้

การสร้างบรรยากาศปลอดภัยในบ้านเริ่มต้นจากการฟังโดยไม่ตัดสิน เมื่อลูกมาเล่าเรื่องที่ดูเหมือน “เรื่องเล็ก” สำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็น “เรื่องใหญ่” สำหรับเขา ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขา ไม่ใช่ขนาดของปัญหา การจัดเวลาคุณภาพให้ลูกได้พูดคุยโดยไม่มีการรบกวน ไม่มีมือถือ ไม่มีการตัดสิน เพียงแค่อยู่ด้วยกันและฟัง อาจฟังดูง่าย แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน เวลาที่ให้ความสนใจ 100% เป็นของขวัญที่มีค่าที่สุด

การแสดงความรักโดยไม่มีเงื่อนไขหมายความว่าให้ลูกรู้ว่าความรักของพ่อแม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนหรือความสำเร็จ การเรียนรู้เกี่ยวกับโลกของลูก เข้าใจเทคโนโลยี เกม โซเชียลมีเดีย และสิ่งที่ลูกสนใจ เพื่อสามารถพูดคุยได้ จะทำให้พ่อแม่เข้าถึงโลกใจของลูกได้มากขึ้น

การลดความกดดันที่ไม่จำเป็นเริ่มจากการปรับความคาดหวัง ความฝันของพ่อแม่สำหรับลูกอาจเป็นฝันร้ายของเขา มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขดีกว่าประสบความสำเร็จแต่ทุกข์ การเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ชมเชยความพยายามและการเรียนรู้มากกว่าเกรดหรือการแข่งขัน การให้เวลาพักผ่อน และการสอนให้รู้ว่าความล้มเหลวเป็นการเรียนรู้ จะช่วยลดแรงกดดันที่เด็กรับรู้

สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา การเรียนรู้สัญญาณเตือนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะครูอยู่กับเด็กทุกวันจึงสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด การสร้างบรรยากาศชั้นเรียนที่ปลอดภัย ห้ามการกลั่นแกล้ง ส่งเสริมการยอมรับความแตกต่าง การลดการแข่งขันที่ไม่จำเป็น โฟกัสที่การเรียนรู้และการพัฒนาตนเองไม่ใช่แค่การแข่งขันเอาชนะคนอื่น และการรู้จักส่งต่อเมื่อสงสัยว่าเด็กมีปัญหา เป็นทักษะที่ครูทุกคนควรมี

เพื่อนและเยาวชนด้วยกันมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ผู้ใหญ่ การเป็นที่ปรึกษาที่ดี ฟังเพื่อนโดยไม่ตัดสิน ไม่ดูถูก และไม่ทิ้งไป การรู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อเพื่อนพูดถึงการทำร้ายตัวเอง ต้องบอกผู้ใหญ่ทันทีแม้ว่าเพื่อนจะห้าม การไม่แชร์เนื้อหาที่เป็นอันตราย หยุดการแชร์วิธีการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาที่ส่งเสริมการยุติชีวิต และการมองหาสัญญาณในโซเชียลมีเดีย หากเห็นเพื่อนโพสต์เนื้อหาที่น่าเป็นห่วงต้องแจ้งผู้ใหญ่

ชุมชนและผู้นำชุมชนสามารถช่วยได้โดยการสร้างพื้นที่ปลอดภัย จัดกิจกรรมที่เด็กสามารถมาใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ การฝึกอบรมอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมเบื้องต้นเรื่องการดูแลสุขภาพจิต การลดการตีตราโดยสร้างความเข้าใจว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติที่รักษาได้ และการสร้างเครือข่ายช่วยเหลือโดยเชื่อมโยงระหว่างครอบครัว โรงเรียน และหน่วยงานสุขภาพ

เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ

ต้องกังวลเมื่อลูกเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างผิดปกติมากกว่า 2 สัปดาห์ หยุดทำสิ่งที่เคยสนใจทั้งหมด มีการพูดถึงความตายหรือการหายไป มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เคยมี หรือไม่นอนไม่กินหรือนอนกินมากผิดปกติ

ในประเทศไทย สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้บริการ 24 ชั่วโมงฟรี โรงพยาบาลใกล้บ้านส่วนใหญ่มีแผนกจิตเวช มีนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เอกชน และที่ปรึกษาในโรงเรียน แต่ต้องเลือกคนที่มีคุณภาพ ในกรณีฉุกเฉิน หากลูกกำลังทำร้ายตัวเองหรือจะทำ ให้โทร 1669 หรือพาไปห้องฉุกเฉินทันที และอย่าปล่อยให้อยู่คนเดียวเด็ดขาด

ให้เด็กๆ จำไว้ว่า “พวกเราอยู่ตรงนี้เสมอ” 

การป้องกันการยุติชีวิตไม่ใช่งานของหมอหรือครูเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม เริ่มต้นจากบ้านของเราเอง แม่ๆ ใน PleaseStay Movement บอกกับเราว่า การที่เราพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตอย่างเปิดเผย การที่เราแสดงให้ลูกเห็นว่าการขอความช่วยเหลือคือความกล้าหาญไม่ใช่ความอ่อนแอ และการที่เราให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไข คือสิ่งที่อาจช่วยชีวิตลูกเราได้

ความหวังมาจากการที่เราเข้าใจว่า การยุติชีวิตสามารถป้องกันได้ ตัวเลขจากทั่วโลกพิสูจน์ว่า เมื่อสังคมให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างจริงจัง เราสามารถช่วยชีวิตเด็กๆ ได้ ประเทศที่มีแผนป้องกันการยุติชีวิตระดับชาติสามารถลดอัตราได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเราทำงานร่วมกัน เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ทุกคืนที่เราเข้าไปดูลูกก่อนนอน ขณะที่เขาหลับสนิท ใบหน้าผ่อนคลาย เราควรจำไว้ว่าคำว่า “พ่อแม่อยู่ตรงนี้เสมอ” อาจเป็นเชือกช่วยชีวิตเส้นเดียวที่ลูกต้องการ การที่เราแสดงความรักและการยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข การที่เราสร้างบ้านที่เป็นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ และการที่เราเปิดใจฟังโดยไม่ตัดสิน เป็นยาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการยุติชีวิต

เพราะชีวิตทุกชีวิตมีค่า และอนาคตของพวกเขายังเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่สวยงาม ถ้าเราช่วยกันดูแลและปกป้อง การยุติชีวิตของเด็กไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ หากเราทุกคนตื่นตัวและดำเนินการร่วมกัน

แหล่งข้อมูลขอความช่วยเหลือ

ประเทศไทย

  • สายด่วนสุขภาพจิต: 1323 (24 ชั่วโมง ฟรี)
  • สายด่วนป้องกันการยุติชีวิต: 1422
  • มูลนิธิ Hope Line: 095-000-1422

อ้างอิง

  1. World Health Organization. (2024). Suicide fact sheet. WHO.
  2. Department of Mental Health, Thailand. (2024). Suicide prevention in Thailand: A whole-of-society approach.
  3. UNICEF Thailand. (2022). Poor youth mental health is costing Thailand.
  4. Arunpongpaisal, S., et al. (2022). Time-series analysis of trends in suicide rates in Thailand 2013–2019. BMC Psychiatry.
  5. The Jed Foundation. (2024). Mental Health and Suicide Statistics.
  6. Lancet Western Pacific. (2024). Addressing rising rates of youth suicide.
  7. The Trevor Project. (2024). National Survey on LGBTQ+ Youth Mental Health.
  8. Rural Health Information Hub. (2024). Rural youth suicide rates.
  9. Social Media Victims Law Center. (2025). Social Media & Suicide research.
  10. Netherlands Institute of Mental Health. (2023). Social media use and self-harm in adolescents.
  11. IPSOS. (2024). The impact of COVID-19 on youth mental health.
  12. National Institute of Mental Health. (2023). COVID-19 pandemic associated with worse mental health and accelerated brain development in adolescents.
  13. Chaniang, S., et al. (2022). Suicide prevention: A qualitative study with Thai secondary school students. Belitung Nursing Journal.
  14. Healthline. (2022). Impact of COVID-19 lockdown on teens’ mental health.
  15. Child Bereavement Support Singapore. (2019). PleaseStay Movement founding documents.
  16. Ibid.
  17. American Foundation for Suicide Prevention. (2023). Warning signs of suicide.
  18. Johns Hopkins Medicine. (2024). Teen suicide risk factors.
  19. Kaiser Permanente. (2024). Warning signs of suicide in children and teens.
  20. Northwestern Medicine. (2024). Warning signs of teen suicide.
  21. BMC Psychiatry. (2019). National suicide prevention programs effectiveness study.
  22. Nordic Council. (2024). Prevention of suicide in Nordic countries.
  23. Netherlands Youth Mental Health Policy. (2024). Mental health initiatives.
  24. PMC. (2021). Positive relationships with adults and resilience to suicide attempt.
  25. Suicide Prevention Resource Center. (2024). Promote social connectedness and support.
  26. JAMA Network Open. (2020). Association of social support with mental health outcomes.
  27. PMC. (2024). Social-emotional learning in suicide prevention.
  28. PleaseStay Movement. (2019). Responsible media reporting guidelines.
  29. World Health Organization. (2021). LIVE LIFE suicide prevention package.
  30. Department of Mental Health, Thailand. (2024). HOPE Taskforce operations report.