เมื่อความรู้สึกยังไม่มีชื่อ และเหตุผลที่ ‘หนังสือภาพ’ ถูกเปิดขึ้นสำหรับเด็ก ๆ หลังภัยพิบัติในญี่ปุ่น

เมื่อความรู้สึกยังไม่มีชื่อ และเหตุผลที่ ‘หนังสือภาพ’ ถูกเปิดขึ้นสำหรับเด็ก ๆ หลังภัยพิบัติในญี่ปุ่น

เมื่อเด็กเผชิญเหตุการณ์ที่หนักเกินรับไหว สิ่งที่หายไปก่อนอาจไม่ใช่ความรู้สึก แต่คือ ภาษาที่จะใช้บอกเล่า เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ยังไม่รู้จะตั้งชื่อให้มันว่าอะไร การไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่ใช่การหลบเลี่ยงความรู้สึก แต่คือวิธีการในการตั้งหลักเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเร็วเกินกว่าความคิดและจิตใจจะตามทัน

หากรีบให้เด็กอธิบายหรือ “ก้าวผ่าน” ทันที เราอาจผลักเขาให้ห่างจากตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ชาวญี่ปุ่นเรียนรู้จากภัยพิบัติมาหลายต่อหลายครั้งว่า การดูแลเด็กไม่ได้เริ่มจากการปลอบใจเท่านั้น แต่เริ่มจาก การไม่เร่งรัดให้เด็กทำความเข้าใจเดี๋ยวนั้น หลังเหตุการณ์สึนามิ และอีกหลายสถานการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น “หนังสือภาพ” จึงถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือที่ผู้ใหญ่ใช้เชื่อมโยงกับเด็ก และไม่ใช่เพื่อสอน หรือเบี่ยงเบนความจริง แต่ใช้หนังสือภาพเพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็กค่อย ๆ สำรวจความรู้สึกของตัวเอง ผ่านภาพ เรื่องราว และจังหวะที่ปลอดภัยมากพอสำหรับการคิดต่อ

การอ่านหนังสือภาพช้า ๆ ไม่ใช่การเยียวยาโดยตรง แต่มันช่วยให้ชีวิตกลับมามีจังหวะที่ช้าลง พาเด็กตั้งหลัก ก่อนที่จะค่อย ๆ หา “คำ” ที่เหมาะสมมาวางลงบนประสบการณ์นั้น ความรู้สึกที่ยังไม่มีชื่อจึงไม่ถูกบังคับให้กลายเป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้โดยทันที แต่ได้รับอนุญาตให้มีอยู่  อย่างที่มันเป็น ในช่วงเวลาที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นใหม่

ชาวญี่ปุ่นไม่ใช้หนังสือภาพเพื่อค้นหาคำตอบให้เจอทันที แต่ใช้มันเป็นที่พักระหว่างความไม่รู้กับความหวังว่าจะเข้าใจมากขึ้น หนังสือหนึ่งเล่มจึงทำหน้าที่คล้ายพื้นที่ทดลอง ไม่มีบทสรุป และราศจากแรงกดดันให้รีบฟื้นตัว ที่สำคัญคือมันทำให้เด็กเห็นว่า “การยังไม่เข้าใจ” ไม่ได้หมายถึงการหลงทางเสมอไป

และเมื่อหันกลับมามองที่ประเทศไทย เรากำลังเผชิญภัยพิบัติในหลายระดับ ทั้งที่มองเห็นได้ชัดในข่าว และที่ค่อย ๆ ก่อตัวในชีวิตประจำวันของเด็ก ครอบครัว และโรงเรียน เมื่อเป็นเรื่องราวของเด็กๆ คำถามสำคัญนอกจากควรแก้ปัญหานั้นอย่างไร แต่คือเรามีพื้นที่ให้เด็กได้คลี่คลายความรู้สึกของตัวเองหรือไม่

Mappa และสานอักษรอยากชวนมองไปที่ญี่ปุ่น ผ่านกรณีศึกษาจากงานหลังสึนามิและแผ่นดินไหว ว่า “หนังสือภาพ” ถูกใช้เพื่อดูแลเด็กอย่างไรในช่วงเวลาที่ชีวิตยังไม่กลับมาเข้ารูปเข้ารอย 

เมื่อชีวิตยังไม่เข้าที่เข้าทาง : การเรียนรู้จะเริ่มจากตรงไหนได้บ้าง

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิปี 2011 ครูในเขตฟุกุชิมะและมิยางิเริ่มตั้งคำถามว่า “เราจะกลับมาสอนเมื่อไร” และนั่นไม่ใช่คำถามที่สำคัญที่สุด เพราะแม้โรงเรียนจะเปิดตามปกติ เด็กหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ตัวเองกลับมา” หรือยัง

งานของ Japan School Library Association (2012) บันทึกไว้ว่า เด็กจำนวนหนึ่งนั่งมองสมุดเปล่าได้นานเกินสิบห้านาที ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจเนื้อหา แต่เพราะสมองยังไม่รู้ตำแหน่งที่ ‘ตัวตน’ ควรจะวางอยู่ในโลกบทใหม่หลังภัยพิบัติ ข้อมูลนี้ตรงกับงานศึกษาของ Kyoto University (Nakamura & Ito, 2014) ที่พบว่า หลังเหตุการณ์รุนแรง เด็กไม่ได้สูญเสียความรู้สึก แต่สูญเสีย “ภาษาเฉพาะตัว” ที่จะใช้เชื่อมต่อกับความรู้สึกนั้น

จากจุดนี้ ญี่ปุ่นเริ่มมองว่าความสามารถในการเรียนรู้ไม่ได้ผุดขึ้นจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเท่านั้น หากผูกพันโดยตรงกับ ความมั่นคงภายในใจ (inner stability) ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่สลายหายไปจากตัวเด็กเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น นักวิจัยในรายงานของ Tohoku University (2015) เรียกช่วงเวลานี้ว่า “the vacuum of narrative” ช่วงที่ภาษาและความรู้สึกยังไม่เชื่อมต่อกัน เด็กจึงทำเพียง “จำ” แต่ยังไม่สามารถ “เข้าใจ” หรือ “เชื่อมโยง” ได้อย่างแท้จริง

ครูในพื้นที่ภัยพิบัติหลายแห่งสะท้อนตรงกันว่า การสอนต่อทันทีไม่ใช่คำตอบ แต่ “การตั้งหลักภายใน” ต่างหากที่ต้องเกิดก่อน เพราะการเรียนรู้ไม่ใช่แค่การรับข้อมูล แต่คือการยืนยันกับตัวเองว่าโลกยังพอมีพื้นที่ให้เราอยู่ และเราในฐานะมนุษย์ ยังมีสิทธิ์เรียนรู้ต่อไป

การอ่าน การฟื้นตัว และการคืนจังหวะให้กับชีวิตของเด็ก ๆ

ในศูนย์พักพิงหลายแห่งของฟุกุชิมะและมิยางิ สิ่งแรกที่ถูกจัดขึ้นหลังการเคลียร์พื้นที่ไม่ใช่ห้องเรียน แต่คือ มุมหนังสือภาพเล็ก ๆ ที่เรียกว่า silent reading corner  พื้นที่ที่ไม่มีครูชี้นำ ไม่มีคำถามชวนคิด และไม่มีกระบวนการตีความใด ๆ เด็กเพียงหยิบหนังสือ แล้วอยู่กับหนังสือในจังหวะที่ตัวเองต้องการ เท่านั้นเอง

งานบันทึกของ Japan School Library Association (2012) ระบุชัดว่า การอ่านในช่วงนั้นไม่ใช่กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ แต่คือ ช่วงเวลาที่หัวใจค่อย ๆ ปรับความเร็วให้ทันความคิด ไม่ต่างจากการให้ร่างกายพักก่อนเริ่มเดินต่อในเส้นทางใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคย

“We don’t ask children to explain. We give them time to observe.”
Japan School Library Journal, 2012

“เราไม่ขอให้เด็กอธิบายอะไร เราให้เวลาเด็กๆ ได้เฝ้ามอง” คือการอนุญาตให้เด็ก เฝ้ามองและซึมซับสิ่งที่กำลังมองดูอยู่ทั้งภายนอกคือเรื่องราวในนิทาน และภายในคือสิ่งที่ปรากฎขึ้นในใจตัวเอง โดยไม่ต้องรีบเข้าใจ 

จากรายงานภาคสนามของ Tohoku University (2015) ครูในศูนย์พักพิงพบว่า เด็กที่เงียบไม่พูดเลยในห้องเรียน กลับเริ่มพลิกหน้าหนังสืออย่างช้า ๆ และบางครั้ง เล่าเรื่องใหม่ที่ไม่อยู่ในหนังสือ โดยไม่รู้ตัว เพราะภาพไม่คาดหวังคำตอบ ไม่มีกรอบให้ต้องทำตาม และไม่กำหนดว่าความรู้สึกจะต้องมุ่งหน้าไปทิศทางใด

สิ่งที่เกิดขึ้นใน มุมอ่านหนังสือ silent reading corner จึงไม่ใช่การอ่านเพื่อ “รู้” แต่คือ การคืนจังหวะให้ชีวิต หลังจากถูกเร่งให้ตั้งรับสิ่งที่หนักเกินไป ความสงบในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ได้ถูกใช้เพื่อให้ลืมเหตุการณ์ แต่เพื่อให้ความคิดทันกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก่อนที่ทั้งสองอย่างจะกลับมาสื่อสารกันอีกครั้ง

และในช่วงเวลานั้น มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้บันทึกประโยคสำคัญไว้ในรายงานปี 2014 ว่า “เด็กๆ ไม่ได้ทำความเข้าใจภัยพิบัติแบบเส้นเวลา ความคิดและจิตใจของพวกเขาสร้าง “วงจร (loops) ” บางอย่างขึ้นมา และเด็กๆ จะวนกลับไปยังเหตุการณ์เดิมครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือภาพ ทำให้เด็กๆ วนกลับไปหาสถานการณ์นั้นได้โดยไม่ต้องกลัว”

หน้าที่ของหนังสือภาพจึงไม่ใช่การเร่งให้เดินไปข้างหน้า แต่คือการอยู่กับการวนอยู่กับสถานการณ์เดิมอย่างไม่ตื่นตระหนก

จนกว่าเด็กๆ จะพร้อมก้าวออกไปได้ด้วยตัวเอง

เมื่อมองกลับมาที่บริบทของไทย เราอาจมีศูนย์พักพิงชั่วคราวหลังภัยพิบัติอยู่แล้ว แต่พื้นที่สำหรับความรู้สึกของเด็ก ๆ เราอาจยังไม่ได้เริ่มออกแบบกันอย่างจริงจังเท่าไรนัก แต่เราสามารถเรียนรู้ร่วมกับประเทศอื่นๆ ได้ หากเราตั้งใจที่จะช่วยเหลือเด็ก ๆ ให้เขาอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ดังเช่นในทุกวันนี้ 

IBBY และการวางรากฐานของ “หนังสือภาพเพื่อการฟื้นตัว”

หลังสึนามิปี 2011 ญี่ปุ่นไม่เริ่มจากการถามว่า “จะฟื้นฟูการศึกษาอย่างไร” แต่มีคำถามที่เล็กกว่านั้น  “เมื่อเด็กยังไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกในใจตัวเองว่าอะไร เราควรมีพื้นที่แบบไหนให้กับเขา?

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ IBBY Children in Crisis Fund – Japan จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่นโยบาย แต่เป็นการจัดรถคันหนึ่งขึ้นมาให้กลายเป็น Book Bus หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ที่ออกเดินทางจากโตเกียวไปยัง Tohoku เดือนละหลายครั้ง เด็กในศูนย์พักพิงไม่ได้ถูกถามว่า “อยากอ่านเล่มไหน” แต่ถูกรถเคลื่อนที่คันนั้นเชิญชวนว่า “วันนี้อยากอยู่กับหนังสือเล่มไหน”

บันทึกภาคสนามของ IBBY ในปี 2012 จึงเริ่มต้นด้วยประโยคนี้ “The first step was not teaching.  It was helping the child find the rhythm of breathing again.”  “ก้าวแรกของโครงการนี้ไม่ใช่การสอนเด็กๆ แต่เป็นการช่วยให้พวกเขาค้นพบจังหวะการหายใจของเขาอีกครั้ง”​

ในแต่ละศูนย์พักพิง พวกเขาไม่ได้วางโต๊ะเรียนก่อน แต่เลือกจัด มุมอ่านหนังสือภาพ ก่อนสิ่งอื่นใด มุมที่ไม่มีครู ไม่มีเกมคำถาม และไม่มีการตีความ เด็กเพียงหยิบหนังสือ แล้วอยู่กับมันอย่างที่หัวใจพอจะอยู่ไหว สำหรับบางคน หนังสือคือที่ที่พวกเขาไม่ต้อง “รีบเข้าใจ” อะไรเลย  และนั่นทำให้การหายใจกลับมามีจังหวะที่พอจะตั้งหลักได้

เมื่อผู้ใหญ่ไม่รู้จะพูดอะไร  IBBY แนะนำว่าให้เริ่มจากการ “อยู่เฉย ๆ”

ทีม IBBY พบว่า สิ่งที่ยากที่สุดในระยะแรก ไม่ใช่การเลือกหนังสือให้เหมาะกับเด็ก แต่คือความลังเลของผู้ใหญ่ เมื่อเด็กเงียบ หลายคนไม่รู้จะพูดอะไร IBBY จึงเริ่มอบรมครูและบรรณารักษ์ขึ้นในหลายจังหวัด แต่การอบรมนี้ไม่ได้สอนเทคนิคการใช้หนังสือภาพเลย

เป็นการอบรมที่สอนผู้ใหญ่เพียงว่า “เปิดโอกาสให้เด็กอยู่กับหนังสือ และผู้ใหญ่มีหน้าที่อยู่ข้างเด็ก และอยู่กับเวลานั้น”  โดยไม่ต้องสรุป ไม่ต้องเร่งหาคำพูด และไม่ต้องไปตีความแทนเด็ก เพราะในภาวะที่หัวใจยังตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น สมองจะยังไม่เริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ได้จริง ๆ 

เมื่อ ‘การอ่าน’ กลายเป็นจุดตั้งหลักของชีวิตหลังภัยพิบัติ

IBBY ไม่ได้เริ่มต้นด้วยคำว่า “เยียวยา” และไม่ได้เริ่มจากนโยบายใด ๆ แต่เกิดจากคำถามเล็กที่สุดว่า หากเด็กยังไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจว่าอะไร เราควรยื่นอะไรให้เขาก่อน? คำตอบแรกคือ Book Bus  ห้องสมุดเคลื่อนที่จากโตเกียวที่เดินทางซ้ำเส้นทางเดิมสู่ฟุกุชิมะและมิยางิหลังสึนามิปี 2011 ซึ่งไม่ใช่เพื่อสอนหนังสือ ไม่ใช่เพื่อเบี่ยงเบนความจริงให้เด็กสนุกชั่วครู่ แต่เพื่อทดลองว่า พื้นที่เล็ก ๆ ที่ปลอดภัยต่ออารมณ์ จะช่วยให้หัวใจเด็กกลับมาตั้งหลักได้จริงหรือไม่ แม้ในวันที่ชีวิตยังไม่กลับเข้าสู่ระบบใด ๆ เลยก็ตาม

หนังสือถูกวางไว้ในมุมธรรมดาที่สุดของศูนย์พักพิง  ไม่มีคำถามชวนคิด ไม่มีครูนำกิจกรรม และไม่ต้องมีบทสรุปใด ๆ เด็กบางคนที่ไม่พูดมาหลายเดือนเริ่มแค่ “มองภาพ” อย่างเงียบ ๆ เด็กบางคนเริ่มเปิดหน้าใหม่ด้วยตัวเองโดยไม่รู้ว่ากำลัง “กลับมาสนใจโลกอีกครั้ง” ครูและบรรณารักษ์จึงเริ่มจดบันทึก และพบว่า ความสนใจกำลังฟื้นตัว ก่อนที่ภาษาจะกลับมา นั่นคือจังหวะแรกของการฟื้นกลับสู่ชีวิตธรรมดา

การสังเกตเล็ก ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ สร้างระบบบันทึกภาคสนาม ก่อนจะกลายเป็น IBBY Bibliotherapy List รายการหนังสือที่ไม่ได้สอนว่าโลกควรเป็นอย่างไรหลังภัยพิบัติ แต่ให้ที่พักแก่ความรู้สึกที่ยังไม่มีชื่อ พื้นที่ที่หัวใจทำงานของมันได้โดยไม่ถูกเร่งให้ “เข้าใจ” หรือ “ก้าวผ่าน” เร็วเกินไป หลายรายงานยืนยันตรงกันว่า การฟื้นตัวของเด็กหลังเหตุการณ์รุนแรง มักเริ่มจาก การกลับมารับรู้ ไม่ใช่การเข้าใจ เพราะความรู้สึกต้องมี “จังหวะ” ของมันเอง จึงจะแลกเปลี่ยนกับภาษา บทสนทนา หรือบทเรียนชีวิตได้อีกครั้ง หนังสือภาพจึงไม่ใช่เครื่องมือเพื่อ ‘สอน’ เด็ก แต่เป็น narrative เล็ก ๆ ที่เด็กถือไว้ในมือเพื่อรู้สึกว่า โลกยังปลอดภัยพอให้เขาอยู่กับตัวเอง แม้เพียงชั่วคราว

หัวใจของแนวคิดนี้จึงเรียบง่ายมาก  picturebook ไม่ได้ช่วยให้หายเศร้า แต่ช่วยให้เศร้าด้วยจังหวะที่ตัวเองรับไหว และตรงนั้นเอง คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นกลับมาเป็นมนุษย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป

พลังเล็ก ๆ ของหนังสือภาพ

เมื่อมองภาพรวมของงาน IBBY ในช่วงหลังภัยพิบัติ เราจะพบสิ่งหนึ่งที่เรียบง่าย นั่นคือ หนังสือภาพไม่เคยถูกใช้เพื่อ “สอน” หรือ “ให้กำลังใจ” แต่ถูกใช้เพื่อให้เด็กได้อยู่กับตัวเอง โดยไม่ถูกกดดันให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป ในวันที่โครงสร้างชีวิตพังทลายลง จังหวะของหัวใจมักพังทลายไปด้วย การอ่านหนังสือเพียงช้า ๆ ในพื้นที่ปลอดภัยหนึ่งมุม จึงไม่ใช่กิจกรรมบำบัด หากเป็น “จุดตั้งหลักของการเป็นมนุษย์” ก่อนที่บทสนทนา เรื่องเล่า หรือบทเรียนใด ๆ จะเริ่มขึ้นได้อีกครั้ง

หนังสือภาพบางเล่มบอกเล่าเรื่องของเมืองที่ถูกกลืนโดยคลื่น บางเล่มไม่มีคำใดปรากฏเลย บางเล่มให้โลกค่อย ๆ ถูกประกอบขึ้นใหม่ผ่านมือของเด็ก พวกมันไม่ได้ชี้นำว่าเราต้องรู้สึกอย่างไร  แต่ยืนยันเพียงว่า ความรู้สึกที่ซับซ้อนก็มีสิทธิจะอยู่ โดยไม่ต้องรีบกลายเป็นบทเรียนชีวิตทันที การถือหนังสือหนึ่งเล่มจึงไม่ใช่การอ่านเรื่องของใคร แต่คือการได้ถือเรื่องเล่าเล็ก ๆ ในมือของตัวเอง ก่อนที่พวกเขาจะรวบรวมความกล้าถือมันในชีวิตจริงของเขา

นี่ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ของหนังสือ แต่นี่คือความสามารถของมนุษย์  ที่จะกลับมาตั้งหลักจากสิ่งเล็กมาก ๆ เมื่อได้จังหวะที่ปลอดภัยมากพอ และนั่นอาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายว่า เหตุใดญี่ปุ่นจึงยืนยันให้ “พื้นที่พักของหัวใจ” เป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ไม่ใช่ภารกิจรอง ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่คือเงื่อนไขที่จะทำให้การศึกษา การเรียนรู้ และการเติบโต กลับมามีความหมายได้จริง

เมื่อเรามองกลับมายังประเทศไทย เราอาจยังไม่มี Book Bus หรือ Bibliotherapy List ของเราเอง แต่สิ่งที่เราเริ่มมีแล้วคือความเข้าใจว่า การเยียวยาไม่ใช่จุดหมายปลายทาง  หากเป็นกระบวนการก่อนจะเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง และบางที หนังสือภาพเพียงไม่กี่เล่ม กับผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่ยอม “อยู่กับเด็ก” มากกว่า “เร่งให้เข้าใจ” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของระบบที่เราเฝ้ารอ ระบบที่จะคืนจังหวะชีวิตให้เด็กๆ ก่อนจะขอให้พวกเขาเติบโตต่อไปในโลกที่แสนซับซ้อนใบนี้

Related Posts

Related Posts