ปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง:หนังสือภาพกับยาถอนพิษความไม่เท่าเทียมของยุคสมัย

ปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง:หนังสือภาพกับยาถอนพิษความไม่เท่าเทียมของยุคสมัย

หากย้อนกลับไปในภูมิทัศน์วรรณกรรมเด็กเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เราจะพบว่าโลกหลังสงครามที่เต็มไปด้วยความเข้มงวดและกฎระเบียบไม่พร้อมรับมือกับเด็กหญิงผมแดงที่สั่นคลอนระบบอำนาจอย่างปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง เด็กหญิงซึ่งมี ผมเปียสีแดงที่ชี้ออกไปในแนวนอน รองเท้าที่ใหญ่เกินไปหลายไซส์ และที่สำคัญที่สุด ปิ๊ปปี้มีพลังเหนือมนุษย์และทัศนคติที่ไม่เกรงกลัวผู้ใหญ่คนใดในโลก

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการวรรณกรรมเด็ก ในยุคที่หนังสือนิทานคือ “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” และผู้ใหญ่มักจะใช้นิทานเป็นเครื่องมือในการควบคุมและบอกให้เด็กๆ “ประพฤติตัวดี” “เชื่อฟังผู้ใหญ่” และ “เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะ” แอสตริด ลินด์เกรนได้สร้างตัวละครที่ไม่เพียงแค่ฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ แต่ยังทำให้มันดูเป็นเรื่องน่าหัวเราะและบางครั้งก็ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง อินเกอร์ นิลสัน หนึ่งในนักวิจารณ์สมัยนั้นเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การปฏิวัติในห้องนอนเด็ก” คำกล่าวนี้เป็นจริงอย่างยิ่ง เพราะปิ๊ปปี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่วรรณกรรมเด็ก แต่ยังสั่นคลอนมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ในสังคมอีกด้วย

การปรากฏตัวของปิ๊ปปี้ในปี 1945 มาพร้อมกับชุดค่านิยมที่ตั้งคำถามถึงความไม่เท่าเทียมต่างๆ เช่น มุมมองของเด็ก-ผู้ใหญ่ อิสรภาพของเด็ก การตั้งคำถามกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และการไม่ยอมจำนนต่อข้อจำกัดทางเพศสภาพ 

Mappa อยากชวนลงลึกในประวัติศาสตร์ 80 ปีแห่งการท้าทายอำนาจของปิ๊ปปี้ และอยากชวนวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของเธอในโลกปัจจุบัน และความสำคัญที่ยังคงอยู่ต่อเด็กรุ่นใหม่และครอบครัวที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทั้งยังจะสำรวจเบื้องหลังความคิดอันแหลมคมของลินด์เกรนที่แฝงไว้ในการสร้างตัวละครปฏิวัติตัวนี้ และผลกระทบระยะยาวที่มีต่อวิธีที่สังคมมองเด็กและอำนาจ

จากเรื่องเล่าก่อนนอนสู่ปรากฏการณ์ทางวรรณกรรม

ปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง (Pippy Longstocking) เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องเล่าที่แม่คนหนึ่งเล่าให้ลูกสาวฟังยามเจ็บป่วย ในปี 1941 ขณะที่คาริน ลูกสาววัย 7 ขวบของลินด์เกรน นอนป่วยด้วยโรคปอดบวม เธอขอให้แม่เล่าเรื่อง “ปิ๊ปปี้ ล็องสตรุมป์” ชื่อแปลกที่เธอคิดขึ้นมาเอง ลินด์เกรนเล่าว่า: “เนื่องจากเป็นชื่อที่น่าทึ่ง มันก็ต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าทึ่งด้วย” และเธอก็เริ่มด้นสดเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหญิงที่มีพลังมหาศาล อาศัยอยู่คนเดียว และไม่มีใครบอกให้เธอเข้านอนได้

เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้จนกระทั่งเมื่อลินด์เกรนประสบอุบัติเหตุข้อเท้าเคล็ดและต้องพักฟื้นอยู่บนเตียง เธอใช้เวลานี้เขียนเรื่องปิ๊ปปี้เป็นของขวัญวันเกิดให้คารินในวันครบรอบ 10 ปี ต้นฉบับถูกส่งไปยังสำนักพิมพ์บอนเนียร์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดในสวีเดน แต่กลับถูกปฏิเสธเพราะเนื้อหา “ขัดต่อขนบธรรมเนียมมากเกินไป” และอาจ “มีอิทธิพลเลวร้ายต่อเด็ก” การปฏิเสธนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมในขณะนั้นยังไม่พร้อมสำหรับการปฏิวัติในการนำเสนอแคแรคเตอร์ของเด็กที่แตกต่าง 

และนั่นหมายถึงว่าสังคม 80 ปีที่แล้วยังรับมือกับปิ๊ปปี้ไม่ได้นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม หลังจากปรับแก้ต้นฉบับบางส่วน ลินด์เกรนส่งผลงานเข้าประกวดและได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ซึ่งนำไปสู่การตีพิมพ์เรื่องราวของเด็กหญิงที่ปฏิเสธจะเติบโตตามครรลองและกฎเกณฑ์ของผู้ใหญ่กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในสวีเดน ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก

“แม่” ที่ดูแลลูกไปด้วยและ (แอบ) ท้าทายเผด็จการไปด้วย

การเกิดขึ้นของปิ๊ปปี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการตอบสนองโดยตรงต่อบริบททางการเมืองและสังคม ในช่วงทศวรรษ 1940 ซึ่งผู้คนกำลังเผชิญกับผลกระทบของเผด็จการและสงคราม โลกยุโรปเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์เข้มงวด การเชื่อฟังอย่างไร้เงื่อนไข และอำนาจที่ถูกใช้ในทางที่ผิด

สเตฟาน ยอห์นสัน นักประวัติศาสตร์วรรณกรรมเด็กชาวสวีเดน อธิบายว่า: “ปิ๊ปปี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความเชื่อฟังต่ออำนาจโดยไม่ตั้งคำถามได้นำยุโรปไปสู่หายนะ ลินด์เกรนสร้างตัวละครที่ปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจเพียงเพราะมันเป็นอำนาจ นี่เป็นข้อความที่ปฏิวัติมากสำหรับยุคนั้น”

ลินด์เกรนเองเติบโตในฟาร์มในสมอลันด์ สวีเดน ซึ่งเธอได้รับอิสระอย่างมากในวัยเด็ก สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมจินตนาการและการเล่นอย่างอิสระนี้ขัดแย้งกับระบบการศึกษาที่เข้มงวดและแนวคิดการเลี้ยงดูเด็กในยุคนั้น ที่มักเน้นระเบียบวินัยและการเชื่อฟัง เธอสร้างปิ๊ปปี้เป็นตัวแทนของความอิสระที่ตัวเธอเองเชื่อว่าเด็กๆ สมควรได้รับ

ที่สำคัญไปกว่านั้น ปิ๊ปปี้ยังเป็นการตอบโต้ต่อวรรณกรรมเด็กดั้งเดิมที่มักนำเสนอเด็กผู้หญิงเป็นตัวละครที่ว่านอนสอนง่าย สุภาพเรียบร้อย และเฝ้ารอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ในช่วงเวลาที่สิทธิสตรีกำลังเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น ปิ๊ปปี้เป็นการปฏิวัติเงียบๆ ในการนำเสนอเด็กผู้หญิงที่มีพลังและเป็นตัวของตัวเอง

กลยุทธ์แห่งการท้าทายอำนาจของปิ๊ปปี้

คุณลักษณะเด่นของปิ๊ปปี้ที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวละครปฏิวัติมีมากมาย แต่ละคุณลักษณะคือการท้าทายขนบธรรมเนียมและอำนาจในรูปแบบที่แตกต่างกัน เราลองมาดูกันไปที่ละเรื่อง 

1. พลังกายที่เหนือธรรมชาติ: การพลิกลำดับชั้นอำนาจทางกายภาพ

ปิ๊ปปี้ “แข็งแรงที่สุดในโลก” สามารถยกม้าได้ด้วยมือเดียว และเอาชนะนักมวยมืออาชีพได้โดยง่าย พลังนี้ไม่ใช่แค่ความสามารถพิเศษในนิทาน แต่เป็นการกลับด้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง ในโลกที่ผู้ใหญ่มักใช้ความเหนือกว่าทางกายภาพ เช่น สูงกว่า ตัวโตกว่ามาเป็นเครื่องมือควบคุมเด็ก ปิ๊ปปี้ทำลายข้อสมมติพื้นฐานนี้

มาเรีย นิโคลาเยวา นักทฤษฎีวรรณกรรมเด็ก อธิบายว่า: “การให้พลังเหนือมนุษย์แก่เด็กหญิงคือการปลดปล่อยผู้อ่านเด็กจากข้อจำกัดทางกายภาพที่พวกเขารู้สึกในชีวิตจริง เด็กๆ รู้ดีว่าพวกเขาไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ แต่ในปิ๊ปปี้ พวกเขาได้เห็นว่าโลกจะเป็นอย่างไรหากสมดุลอำนาจนี้ถูกพลิกกลับ”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปิ๊ปปี้คือเธอแทบไม่เคยใช้พลังของเธอทำร้ายผู้อื่น แม้จะมีบางครั้งที่เธอปกป้องเด็กคนอื่นจากการถูกรังแก แต่ส่วนใหญ่เธอใช้พลังเพื่อความสนุกสนานและเพื่อทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าถูกต้อง ลินด์เกรนกล่าวไว้ว่า: “ฉันต้องการให้เด็กๆ มีตัวละครที่มีอำนาจแต่ไม่เคยใช้มันในทางที่ผิด” นี่เป็นบทเรียนทางจริยธรรมที่ลึกซึ้งในวรรณกรรมเล่มนี้ คือ  พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การควบคุมผู้อื่น แต่อยู่ที่การใช้ความสามารถของเราเพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น

2. ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจและกายภาพ: การปลดปล่อยจากการควบคุม

ปิ๊ปปี้อาศัยอยู่คนเดียวในวิลล่า วิลเลคุลล่า เธอไม่มีผู้ปกครองคอยบอกว่าควรทำอะไรหรือเมื่อไร เธอมีกระเป๋าเต็มไปด้วยเหรียญทองคำที่ทำให้เธอไม่ต้องพึ่งพาทางการเงินจากใคร สถานการณ์นี้เป็นการท้าทายรูปแบบการควบคุมเด็กที่สำคัญที่สุดสองประการ: การพึ่งพาทางกายภาพและทางเศรษฐกิจ

ในสังคมที่เด็กๆ ถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบของบ้าน เวลาเข้านอน และรางวัลหรือการลงโทษทางการเงิน ปิ๊ปปี้เป็นตัวแทนของอิสรภาพที่สมบูรณ์ เธอปรุงอาหารเอง ตัดสินใจว่าจะนอนเมื่อไร และใช้เงินตามที่เธอเห็นสมควร ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขนมให้เด็กทั้งเมืองหรือการตอบแทนคนที่ช่วยเหลือเธอ

เยนส์ แอนเดอร์เซน นักจิตวิทยาเด็ก อธิบายว่า: “ความเป็นอิสระทางกายภาพและเศรษฐกิจของปิ๊ปปี้เป็นการตอบสนองความต้องการลึกๆ ของเด็กทุกคน คือความปรารถนาที่จะควบคุมชีวิตของตัวเอง เด็กๆ มีความสุขเมื่อได้อ่านเกี่ยวกับปิ๊ปปี้ เพราะการอ่านหนังสือเกี่ยวกับตัวละครนี้ เหมือนได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการผ่านตัวละครนี้ในจินตนาการ พวกเขาได้รับความเพลิดเพลินจากความอิสระที่พวกเขาไม่สามารถมีได้ในชีวิตจริง”

อย่างไรก็ตาม ความอิสระของปิ๊ปปี้ไม่ได้ทำให้เธอโดดเดี่ยว เธอสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ทอมมี่และแอนนิกา กับม้าและลิงของเธอ นี่เป็นข้อความที่สำคัญ อิสรภาพไม่ได้หมายถึงการโดดเดี่ยวตัวเอง แต่คือเสรีภาพในการเลือกความสัมพันธ์และการเชื่อมต่อที่มีความหมาย

บิวตี้ แสตนดาร์ด, อำนาจนิยม และความไม่เท่าเทียม: ไม่ใช่แค่ปฏิเสธกฎ แต่ตั้งคำถามกับตรรกะเบื้องหลังกฎทางสังคมเหล่านั้นของผู้ใหญ่

หนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของปิ๊ปปี้ในการต่อต้านอำนาจผู้ใหญ่คือความคิดที่ไม่เป็นไปตามขนบและตรรกะแบบเด็กๆ ของเธอ ปิ๊ปปี้ไม่ใช่แค่ปฏิเสธกฎ แต่เธอตั้งคำถามกับตรรกะที่อยู่เบื้องหลังกฎเหล่านั้น บ่อยครั้งที่เธอเผยให้เห็นความไม่สอดคล้องกันในกฎเกณฑ์ของผู้ใหญ่

ตัวอย่างเช่น ในหนังสือ “ปิ๊ปปี้ไปซื้อของ (แปลเป็นไทยโดยสำนักพิมพ์ Barefoot Banana) ในฉากหนึ่งเมื่อมีป้ายในร้านถามว่า “คุณทุกข์ทรมานจากกระด้วยหรือไม่?” ปิ๊ปปี้เข้าไปในร้านเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้ทุกข์ทรมานจากกระ ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่เป็นคนขายมองกลับมาที่เธอแล้วตอบกลับว่า “แต่หนูจ๊ะ หนูมีกระเต็มหน้าเลยนะ”​ ปิ๊ปปี้ ย้ำกลับไปว่า “ใช่แล้ว แต่ฉันไม่ทุกข์ใจนะ เพราะเธอชอบกระของฉัน” ปิ๊ปปี้ยังพูดต่ออีกว่า “แต่ถ้าบังเอิญมีครีมที่ทำให้รอยกระเพิ่มขึ้น ช่วยส่งมาให้ฉันสักเจ็ดแปดกระปุกทีนะ!” ความคิดนี้ท้าทาย บรรทัดฐานความงาม (Beauty Standard) ที่คนมักตั้งขึ้นว่าความสวยงามหรือใบหน้าที่ไร้ฝ้า กระ ซึ่งถ้าเป็นยุคนี้ก็อาจจะไม่แปลกใจ แต่อย่าลืมว่าปิ๊ปปี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 80 ปีที่แล้ว

ความใจดีและความเห็นอกเห็นใจที่ไร้เงื่อนไข: การแสดงให้เห็นอำนาจที่แท้จริง

แม้จะท้าทายอำนาจและไม่ยอมปฏิบัติตามกฎที่ไร้เหตุผล แต่ปิ๊ปปี้มีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา เธอมีความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกรังแก คนยากจน หรือแม้แต่สัตว์ที่ถูกทารุณ

ในเรื่อง เมื่อปิ๊ปปี้เห็นม้าถูกเฆี่ยนตี เธอยกม้าและควบคุมชายที่ทารุณสัตว์โดยไม่ให้เขาทำร้ายสัตว์อีก เมื่อเธอได้รับของขวัญจากทอมมี่และแอนนิกา เธอตอบแทนพวกเขาด้วยของขวัญที่เธอคิดว่าพวกเขาจะชอบ และเมื่อเธอพบกับเด็กกำพร้าในเมือง เธอใช้ทรัพย์สมบัติของเธอเพื่อจัดงานเลี้ยงสำหรับพวกเขา

มาเรีย ทาตาร์ นักวิจารณ์วรรณกรรมเด็ก อธิบายว่า: “ความเห็นอกเห็นใจของปิ๊ปปี้แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ต่อต้านอำนาจเพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อสังคมที่เป็นธรรมมากขึ้น เธอไม่ได้แค่ปฏิเสธกฎที่ไร้เหตุผล แต่แสดงให้เห็นว่าระบบคุณค่าทางเลือกที่ตั้งอยู่บนความเมตตาและความยุติธรรมเป็นไปได้”

นี่คือบทเรียนที่ลึกซึ้งที่สุดประการหนึ่งจากปิ๊ปปี้: การท้าทายอำนาจไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำแห่งความเห็นแก่ตัว แต่สามารถเป็นการกระทำแห่งความรักและความเมตตาที่มีต่อผู้อื่นได้

สังคมตอบกลับความท้าทายอำนาจของปิ๊ปปี้อย่างไรเมื่อ 80 ปีที่แล้ว

การตอบสนองต่อปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง เผยให้เห็นวิวัฒนาการของทัศนคติสังคมที่มีต่อเด็กและอำนาจตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การต่อต้านอย่างรุนแรงไปจนถึงการยอมรับให้เป็นไอคอนทางวัฒนธรรม

เมื่อหนังสือปิ๊ปปี้เผยแพร่ครั้งแรกในสวีเดน มันได้รับการตอบรับเชิงบวกอย่างท่วมท้นจากผู้วิจารณ์หลายคน นักวิจารณ์ชั้นนำในสวีเดน ยกย่องตัวละครปิ๊ปปี้ว่าเป็น “พลังแห่งการปลดปล่อย” พวกเขาชื่นชมที่ปิ๊ปปี้สามารถให้ทางออกแก่เด็กทั่วไปที่ไม่มีอิสระอย่างที่เธอมี

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากการตีพิมพ์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มดังขึ้น ในเดือนสิงหาคม 1946 ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยลุนด์ เขียนบทความวิจารณ์อย่างรุนแรง เขาโต้แย้งว่าหนังสือนี้เขียนได้ไม่ดี เป็นอันตรายต่อเด็ก และตัวปิ๊ปปี้เองมีความผิดปกติทางจิต บทวิจารณ์นี้จุดประกายการถกเถียงที่กว้างขวางในสวีเดนเกี่ยวกับว่าตัวละครที่ไม่เคารพกฎเช่นนี้เหมาะสมสำหรับเด็กหรือไม่

เมื่อปิ๊ปปี้แพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ การตอบสนองยิ่งแตกต่างกันมากขึ้น ในฝรั่งเศส หนังสือของปิ๊ปปี้ถูกตัดทอนเนื้อหาไปถึงหนึ่งในสาม เนื่องจากพฤติกรรมของปิ๊ปปี้ถูกมองว่า “เกเร” เกินไปสำหรับหนังสือเด็ก ในช่วงเวลานั้น 

แน่นอน สำหรับในประเทศเผด็จการและรัฐอนุรักษ์นิยม ปิ๊ปปี้ผู้ต่อต้านอำนาจถูกเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวด เนื่องจากรัฐบาลกังวลว่าแนวคิดการตั้งคำถามกับอำนาจจะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างทางสังคมของพวกเขา

แม้กระทั่งในประเทศบ้านเกิดของเธอ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงมีอยู่ นักวิจารณ์สังคมชาวสวีเดนรายหนึ่งเคยโต้แย้งในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ว่า ‘ลัทธิปิ๊ปปี้’ มี “ผลกระทบเชิงลบอย่างสูงต่อทั้งเด็กนักเรียนและเด็กก่อนวัยเรียน” ในสวีเดน นักวิจารณ์รายนี้เขียนใน Dagens Nyheter หนังสือพิมพ์รายวันชั้นนำของสวีเดนว่า “การบูชาปิ๊ปปี้ได้พลิกทุกอย่างจากหัวจรดเท้า ทั้งในโรงเรียน ชีวิตครอบครัว และในแง่ของพฤติกรรมปกติ”

แต่กระแสแห่งการต่อต้านก็ไม่สามารถหยุดยั้งอิทธิพลของปิ๊ปปี้ได้ ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ในขณะที่ขบวนการปลดปล่อยผู้หญิงและเสรีภาพของเด็กกำลังเติบโต ปิ๊ปปี้กลายเป็นไอคอนของการต่อต้านขนบและการเสริมพลังให้ผู้หญิง นักวิชาการด้านสตรีศึกษาเริ่มวิเคราะห์ตัวละครของเธอในฐานะแบบอย่างแห่งการปลดปล่อยเด็กผู้หญิงจากบรรทัดฐานทางเพศที่จำกัด

ในปัจจุบัน ปิ๊ปปี้ได้รับการยอมรับทั่วโลกในฐานะตัวละครที่ปฏิวัติวงการและเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสวีเดน 

การตีความตามยุคสมัย: ปิ๊ปปี้ในฐานะกระจกสะท้อนสังคม

น่าสนใจที่ปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง ได้รับการตีความแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่:

ยุค 1940-1950s: ในช่วงแรก ปิ๊ปปี้ถูกมองว่าเป็นตัวละครที่สนุกสนานแต่เป็นอันตรายที่อาจชักนำเด็กให้ประพฤติตัวไม่ดี เป็นยุคที่ค่านิยมผู้ใหญ่เป็นใหญ่ถือเป็นสิ่งสำคัญ และการไม่เชื่อฟังของเด็กถูกมองว่าเป็นปัญหาทางสังคม

ยุค 1960-1970s: ในยุคการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองและการปลดปล่อยผู้หญิง ปิ๊ปปี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติและการต่อต้านขนบ นักสตรีนิยมมองว่าเธอเป็นแบบอย่างของการปฏิเสธบทบาททางเพศดั้งเดิม และการถกเถียงเรื่องสิทธิเด็กนำไปสู่การตีความใหม่ว่าปิ๊ปปี้เป็นตัวแทนของเสียงที่ถูกเพิกเฉยมานาน

ยุค 1980-1990s: นักจิตวิทยาและนักการศึกษาเริ่มวิเคราะห์ปิ๊ปปี้ในแง่ของทฤษฎีพัฒนาการเด็ก เธอถูกมองว่าเป็นตัวอย่างของแนวคิดของเพียเจต์เกี่ยวกับการคิดแบบเด็กและความสำคัญของการเล่นอย่างอิสระ การต่อต้านอำนาจของเธอถูกตีความว่าเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการอัตลักษณ์ที่ดี

ยุค 2000-ปัจจุบัน: ในยุคดิจิทัลที่มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นเด็กที่หายไป ปิ๊ปปี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกผจญภัยและจินตนาการที่เด็กกำลังสูญเสียไป เธอยังถูกวิเคราะห์ในบริบทของความหลากหลายทางครอบครัว เนื่องจากเธอเป็นตัวอย่างของเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ครอบครัวแบบดั้งเดิม แต่ยังคงมีความสุขและพัฒนาการที่ดี

แมทธิว เอพส์เทน นักวิชาการด้านวรรณกรรมเด็ก กล่าวว่า: “ปิ๊ปปี้เป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนความกังวลและความปรารถนาของแต่ละยุคสมัย ในช่วงเวลาที่อำนาจถูกใช้ในทางที่ผิด เธอเป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อย ในยุคที่กังวลเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอเป็นตัวอย่างของอันตราย ความยืดหยุ่นในการตีความนี้คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอยังคงเกี่ยวข้องกับผู้อ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่า”

ปิ๊ปปี้ในยุคปัจจุบัน: ความเกี่ยวข้องที่ไม่เคยเลือนหาย

แม้ว่าปิ๊ปปี้จะถูกสร้างขึ้นเมื่อ 80 ปีที่แล้ว ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างมากจากปัจจุบัน แต่ตัวละครและข้อความของเธอยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้:

1. ความหลากหลายของรูปแบบครอบครัว

ปิ๊ปปี้อาศัยอยู่ในบ้านของเธอเองโดยไม่มีพ่อแม่ แต่กลับสร้างครอบครัวในแบบของเธอเองกับม้า ลิง และเพื่อนบ้าน คือ ทอมมี่และแอนนิกา ในยุคที่โครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวความคิดที่ว่าครอบครัวที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร กำลังถูกตั้งคำถามมากยิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน มีเด็กจำนวนมากที่เติบโตในสภาพครอบครัวที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวผสม ครอบครัวที่มีพ่อแม่เพศเดียวกัน หรือครอบครัวที่ขยายออกไปมากกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด ปิ๊ปปี้เป็นแบบอย่างที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าความรักและการสนับสนุนไม่จำเป็นต้องมาจากครอบครัวแบบดั้งเดิม

ซาร่า เบนเนตต์ นักจิตวิทยาเด็ก กล่าวว่า: “เรื่องราวของปิ๊ปปี้เป็นข้อความที่ทรงพลังสำหรับเด็กที่อาจรู้สึกแตกต่างเพราะสภาพครอบครัวของพวกเขา เธอแสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่มีครอบครัวแบบดั้งเดิม คุณก็สามารถเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข มั่นใจ และมีความสามารถได้ ในยุคที่ความหลากหลายของครอบครัวกำลังเพิ่มขึ้น”

2. การเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัลที่พ่อแม่ปกป้องเด็กๆ มากเกินไป

หนึ่งในความกังวลที่เพิ่มขึ้นในยุคปัจจุบันคือการที่เด็กๆ ถูกปกป้องมากเกินไปและขาดความเป็นอิสระในการเล่นและสำรวจโลก นี่คือที่มาของคำว่า “การเลี้ยงดูแบบเฮลิคอปเตอร์” ที่พ่อแม่คอยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และ “การเลี้ยงดูแบบรถไถ” ที่พ่อแม่กำจัดอุปสรรคทุกอย่างในเส้นทางของเด็ก

ในบริบทนี้ ปิ๊ปปี้เป็นเสียงที่สำคัญที่เตือนให้เราตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นอิสระและการเผชิญความเสี่ยงที่คำนวณได้ในพัฒนาการของเด็ก เธอเล่น ผจญภัย และเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ไม่ใช่จากการชี้แนะของผู้ใหญ่ตลอดเวลา

ริชาร์ด ลูฟ นักเขียนหนังสือ “Last Child in the Woods” กล่าวว่า: “ในยุคที่เด็กๆ มีเวลาเล่นอิสระน้อยลงเรื่อยๆ ถูกกำหนดตารางเวลา และถูกควบคุมมากขึ้น ปิ๊ปปี้เตือนเราถึงความสำคัญของอิสรภาพในการสำรวจ การคิด และการสร้างประสบการณ์ของตัวเอง เธอไม่เคยได้รับอันตรายจากการผจญภัยของเธอ แต่กลับเติบโตผ่านประสบการณ์เหล่านั้น”

3. ความเป็นธรรมทางสังคมและการเสริมพลัง: การต่อสู้ที่ยังคงดำเนินอยู่

ปิ๊ปปี้มักใช้พลังของเธอเพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกรังแก ม้าที่ถูกทารุณ หรือเด็กกำพร้าที่ต้องการความช่วยเหลือ การยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมของเธอมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งในยุคที่เราเผชิญกับความท้าทายทางสังคมหลายประการ ตั้งแต่การรังแกในโรงเรียนไปจนถึงความไม่เท่าเทียมทางสังคม

มาลาลา ยูซัฟไซ นักเคลื่อนไหวด้านการศึกษาและผู้ได้รับรางวัลโนเบล เคยกล่าวถึงความชื่นชอบที่มีต่อปิ๊ปปี้: “ฉันชอบวิธีที่เธอไม่กลัวที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองและผู้อื่น เธอสอนเด็กผู้หญิงให้กล้าหาญและมีความมั่นใจ นี่เป็นข้อความที่เด็กผู้หญิงทั่วโลกต้องการได้ยินเพื่อให้รู้ว่าพวกเขามีพลัง”

แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การเหมารวมทางเพศและความคาดหวังที่แตกต่างกันระหว่างเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงยังคงมีอยู่ ตัวละครอย่างปิ๊ปปี้ยังคงมีความสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กทุกคนตระหนักว่าพวกเขาไม่ถูกจำกัดด้วยความคาดหวังทางเพศ

4. การต่อต้านการแข่งขันในวัยเด็ก: ทางเลือกสำหรับวัฒนธรรมความสำเร็จ

ในยุคที่เด็กๆ เผชิญกับความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ประสบความสำเร็จทางวิชาการ กีฬา และกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆ ปิ๊ปปี้เป็นเสียงที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมแห่งการแข่งขัน เธอไม่สนใจการทำให้ผู้อื่นประทับใจ ไม่วิตกกังวลกับการเปรียบเทียบหรือการวัดผล และมีความสุขกับการเป็นตัวเอง

ปีเตอร์ เกรย์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ เขียนว่า: “ปิ๊ปปี้เป็นตัวอย่างของความสุขที่เกิดจากการไม่สนใจความคาดหวังของคนอื่น ในโลกที่เด็กๆ ถูกกดดันให้ต้องเก่งทุกอย่าง ต้องมีผลการเรียนที่ดีที่สุด และต้องมีทักษะที่หลากหลาย เธอเตือนเราว่าความสุขที่แท้จริงมาจากการทำสิ่งที่เราชอบเพราะเราชอบมัน ไม่ใช่เพื่อรางวัลภายนอก”

ความเป็นตัวของตัวเองอย่างไม่ประนีประนอมของปิ๊ปปี้อาจเป็นยาแก้พิษสำหรับความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นในเด็กและวัยรุ่นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

80 ปีแล้ว ปิ๊ปปี้ เธอเป็นอยู่อย่างไรในโลกยุคใหม่

ขณะที่ในปี 2025 เราเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง ประเด็นที่นิทานภาพเล่มนี้นำเสนอยังคงสดใหม่ และในบางประเทศ แนวคิดที่เด็กมีอิสระ ท้าทายอำนาจและตรรกะของผู้ใหญ่ ยังเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายอยู่ดี 

ตัวละครนี้ยังคงตั้งคำถามที่ท้าทายต่อสังคมปัจจุบันของเรา คำถามเหล่านี้อาจเป็นประเด็นให้ครุ่นคิดในขณะที่เรายังคงพยายามสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมเพื่อการเติบโตของเด็กๆ:

1. เราให้อำนาจเด็กอย่างถูกต้องแล้วหรือยัง? แม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้าในการรับรู้สิทธิเด็ก แต่ในด้านใดบ้างที่เรายังคงปฏิบัติต่อพวกเขาโดยอิงกับอำนาจมากกว่าเหตุผลหรือความเคารพ? ในระบบการศึกษาของเรา ในบ้าน และในสังคมทั่วไป เด็กๆ ยังคงถูกเพิกเฉยเมื่อต้องการตัดสินใจในเรื่องที่กระทบชีวิตของพวกเขาหรือไม่?

2. เราสนับสนุนครอบครัวทุกรูปแบบอย่างเท่าเทียมหรือไม่? ปิ๊ปปี้สร้างครอบครัวในแบบของตัวเอง แต่สังคมปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับครอบครัวแบบดั้งเดิมมากกว่าหรือไม่? เราจัดสรรทรัพยากรและการสนับสนุนให้กับโครงสร้างครอบครัวที่หลากหลายอย่างเพียงพอหรือไม่?

3. เรายังสอนเด็กให้เชื่อฟังมากกดวิเคราะห์หรือไม่? แม้ว่าเราจะกล่าวว่าเห็นคุณค่าของความคิดวิพากษ์ แต่ระบบการศึกษาและการเลี้ยงดูเด็กของเรายังคงเน้นการเชื่อฟังและการปฏิบัติตามมากกว่าการตั้งคำถามและการท้าทายอย่างสร้างสรรค์หรือไม่?

4. เรามุ่งเน้นความสำเร็จมากกว่าความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่? ในวัฒนธรรมที่เน้นการแข่งขันและความสำเร็จ เราอาจลืมคุณค่าของความสุข ความคิดสร้างสรรค์ และความเห็นอกเห็นใจ ปิ๊ปปี้เตือนเราว่าค่านิยมเหล่านี้อาจสำคัญมากกว่าการบรรลุเป้าหมายภายนอก

ฟรานซิสกา นอร์ดสตรอม นักวิชาการด้านการศึกษาเด็ก กล่าวว่า: “ปิ๊ปปี้ยังคงเป็นกระจกเงาที่ท้าทายสังคมของเรา ทุกครั้งที่เราอ่านเรื่องราวของเธอ เราถูกเชิญชวนให้พิจารณาว่าเรากำลังฟังเสียงของเด็กๆ อย่างแท้จริงหรือไม่ เรากำลังเคารพสิทธิของพวกเขาในการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างแท้จริงหรือไม่ และเราปล่อยให้พวกเขาตั้งคำถามกับอำนาจอย่างสร้างสรรค์หรือไม่”

มรดกที่ยั่งยืนของปิ๊ปปี้: สอนเด็กและผู้ใหญ่เกี่ยวกับอำนาจและการต่อต้าน

บทเรียนจากการต่อต้านอำนาจของปิ๊ปปี้: การสังเคราะห์หลักคิดสำคัญ

เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง วิธีที่ปิ๊ปปี้ท้าทายและมีปฏิสัมพันธ์กับอำนาจผู้ใหญ่มอบบทเรียนที่สำคัญสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บทเรียนเหล่านี้ยังมีความเกี่ยวข้องในโลกปัจจุบัน:

1. อำนาจต้องมาคู่กับความรับผิดชอบ: ปิ๊ปปี้แสดงให้เห็นว่าการมีพลังไม่ได้หมายถึงการควบคุมผู้อื่น แต่หมายถึงการใช้ความสามารถของคุณเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าและสร้างโลกที่ดีขึ้น

2. กฎที่ดีต้องมีเหตุผล: ไม่ใช่ทุกกฎที่ควรถูกเชื่อฟัง ถ้ากฎนั้นไม่มีเหตุผลที่ดีหรือส่งเสริมความไม่ยุติธรรม ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องในการตั้งคำถามหรือท้าทายมัน

3. การเคารพต้องได้รับ ไม่ใช่เรียกร้อง: ปิ๊ปปี้ให้ความเคารพกับผู้ใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและความซื่อสัตย์ ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เธอสอนเราว่าการเคารพต้องตั้งอยู่บนความประพฤติมากกว่าตำแหน่ง

4. ความใจดีมีความสำคัญมากกว่าการเชื่อฟัง: ในหลายสถานการณ์ ปิ๊ปปี้เลือกที่จะไม่เชื่อฟังกฎเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าความเห็นอกเห็นใจบางครั้งอาจสำคัญกว่าการทำตามระเบียบโดยเคร่งครัด

5. มีหลายวิธีในการเป็นและการคิด: ปิ๊ปปี้ไม่พยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่นหรือคิดแบบเดียวกับผู้อื่น เธอแสดงคุณค่าของมุมมองที่แตกต่างและความคิดที่ไม่ต้องเป็นไปตามขนบ ในการแก้ปัญหาและการเผชิญกับความท้าทาย

6. ยืนหยัดเพื่อตัวเองและผู้อื่น: การท้าทายอำนาจของปิ๊ปปี้ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เธอเป็นแบบอย่างของการยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมและการใช้เสียงของเธอเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้

เหล่านี้ไม่ใช่บทเรียนที่ส่งเสริมการไม่เชื่อฟังอย่างไร้ความรับผิดชอบ แต่เป็นการส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ ความเป็นอิสระ และจริยธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญสำหรับพลเมืองที่มีความรับผิดชอบและมีจริยธรรมในสังคมประชาธิปไตย

อิทธิพลต่อวรรณกรรมเด็กและวัฒนธรรม: การเปลี่ยนแปลงขนบ

อิทธิพลของปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้งต่อวรรณกรรมเด็กและวัฒนธรรมโดยรวมไม่อาจประเมินค่าได้ เธอไม่เพียงเปลี่ยนแปลงวิธีที่ตัวละครเด็กถูกเขียนขึ้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงความคาดหวังทางสังคมที่มีต่อเด็กจริงๆ ด้วย:

ตัวละครเด็กหญิงที่เข้มแข็ง: ปิ๊ปปี้เปิดทางให้กับตัวละครเด็กหญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีความสามารถ ที่กลายเป็นแบบอย่างสำหรับนักเขียนรุ่นต่อๆ มา ตั้งแต่ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไปจนถึง เคทนิส เอเวอร์ดีน ในเดอะ ฮังเกอร์ เกมส์

วรรณกรรมเด็กที่ชาญฉลาดมากขึ้น: ปิ๊ปปี้แสดงให้เห็นว่าหนังสือสำหรับเด็กไม่จำเป็นต้องสั่งสอนหรือง่ายเกินไป แต่สามารถแก้ไขประเด็นทางสังคมที่ซับซ้อน แสดงอารมณ์ขัน และท้าทายขนบธรรมเนียมได้

มุมมองใหม่ในการเลี้ยงดูเด็ก: การปรากฏตัวของปิ๊ปปี้และความนิยมที่ตามมาส่งผลต่อแนวคิดการเลี้ยงดูเด็กในหลายประเทศ โดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย ทำให้มีการเคลื่อนไหวไปสู่รูปแบบการเลี้ยงดูที่เคารพความเป็นอิสระและความเห็นของเด็กมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะ: ในสวีเดน ความนิยมของปิ๊ปปี้และงานเขียนอื่นๆ ของลินด์เกรนมีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับเด็ก รวมถึงกฎหมายที่ห้ามการตีเด็กในปี 1979 ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายเช่นนี้ (ในประเทศไทยเรามีกฎหมายไม่ตีเด็กในปี 2025) 

โยเซฟ เกอร์ดน์ ศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมเด็ก กล่าวว่า: “ก่อนปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง ตัวละครเด็กผู้หญิงในวรรณกรรมมักเป็นแบบอย่างของความว่าง่ายและการเชื่อฟัง การปรากฏตัวของเธอเปิดทางให้กับตัวละครเด็กที่ซับซ้อนและมีพลังมากขึ้น รวมถึงประเด็นที่ท้าทายมากขึ้นในหนังสือสำหรับผู้อ่านอายุน้อย”

สืบทอดการท้าทายอำนาจที่มีความรับผิดชอบของปิ๊ปปี้ ลองสต็อคกิ้ง

ในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา ปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้งได้เปลี่ยนจากตัวละครที่ถูกมองว่าอันตรายและขัดต่อขนบธรรมเนียม มาเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยกย่องทั่วโลก การเดินทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมในการยอมรับความสำคัญของเสียงเด็ก และการตระหนักว่าการท้าทายอำนาจบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความก้าวหน้าทางสังคม

ปิ๊ปปี้สอนเราว่าการต่อต้านอำนาจที่มีความรับผิดชอบไม่ใช่เพียงแค่การปฏิเสธกฎหรือการกบฏอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าอำนาจนั้นถูกใช้อย่างไร และเพื่อผลประโยชน์ของใคร เธอแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กก็สามารถแยกแยะระหว่างกฎที่มีเหตุผลกับกฎที่ไร้เหตุผล และระหว่างบุคคลที่ใช้อำนาจอย่างมีจริยธรรมกับบุคคลที่ใช้อำนาจอย่างกดขี่

ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน บทเรียนเหล่านี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เราต้องการพลเมืองที่กล้าตั้งคำถามกับสถานะเดิม ท้าทายอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และพูดแทนผู้ที่ไม่มีเสียง

มาร์กาเร็ตต้า แอสเปนเกรน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Junibacken กล่าวว่า: “สิ่งที่ทำให้ปิ๊ปปี้ยังคงเกี่ยวข้องและมีพลังหลังจาก 80 ปีคือความจริงที่ว่าเธอไม่ใช่แค่ตัวละครที่ขบถ แต่เป็นตัวละครที่มีค่านิยมที่เข้มแข็ง: ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ ความเมตตา และการเคารพในศักดิ์ศรีของทุกคน เธอไม่ได้ต่อต้านอำนาจเพียงเพื่อต่อต้าน แต่เพื่อโลกที่ดีกว่าและเท่าเทียมกันมากขึ้น นี่เป็นข้อความที่ไม่เคยล้าสมัย”

ขณะที่เราเตรียมเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของปิ๊ปปี้ ล็องสต็อคกิ้ง เราควรคิดเกี่ยวกับมรดกที่แท้จริงของเธอ: ไม่ใช่แค่การปลดปล่อยเด็กจากกฎที่ไร้เหตุผล แต่เป็นวิสัยทัศน์ของสังคมที่เคารพเสียงของทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไรหรืออยู่ในตำแหน่งใด ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายใหม่ๆ เราทุกคนอาจได้รับประโยชน์จากการมีความกล้าหาญ ความเป็นอิสระ และความเห็นอกเห็นใจเหมือนปิ๊ปปี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยุติธรรมและเท่าเทียมมากขึ้นสำหรับทุกคน

ไม่มีใครสรุปอิทธิพลของปิ๊ปปี้ที่มีอยู่ตลอดกาลได้ดีไปกว่าแอสตริด ลินด์เกรนเอง ผู้ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า: “ให้เด็กมีความรัก ความรัก และความรักมากขึ้น และโลกจะดีขึ้นทันที”

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts