คู่มือ Modern Parenting : เมื่อคุณเป็นพ่อแม่ เด็กในตัวคุณก็ปรากฏขึ้นด้วย และเขาต้องการการดูแลไม่แพ้ลูกของคุณ
คู่มือ Modern Parenting : เมื่อคุณเป็นพ่อแม่ เด็กในตัวคุณก็ปรากฏขึ้นด้วย และเขาต้องการการดูแลไม่แพ้ลูกของคุณ
เราคิดว่าการเป็นพ่อแม่คือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เหมือนเปิดหน้ากระดาษว่าง ๆ แล้วเขียนเรื่องราวชีวิตลูกลงไปอย่างสดใส แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ทุกครั้งที่ลูกหัวเราะ ร้องไห้ ดื้อ หรือกลัว เรามักได้ยินเสียงสะท้อนบางอย่างจากข้างใน ตัวเราที่เคยเป็นเด็กคนหนึ่งยังอยู่ตรงนั้น รอการมองเห็น
คุณอาจนึกว่าตัวคุณโกรธลูกเพราะเขาไม่เชื่อฟัง แต่แท้จริงแล้วความโกรธนั้นผูกพันกับความทรงจำสมัยที่คุณไม่มีสิทธิ์จะเถียงหรือดื้อได้เลย คุณอาจสะดุ้งเมื่อได้ยินลูกพูดว่า “แม่ หนูไม่อยากอยู่คนเดียว” เพราะมันคือประโยคเดียวกับที่คุณเคยอยากพูด แต่ไม่เคยมีใครฟัง และเมื่อคุณพยายามปลอบลูกในวันนี้ ก็เหมือนคุณกำลังปลอบเด็กคนนั้นในตัวเองไปพร้อมกัน
งานวิจัยด้านจิตวิทยาพัฒนาการบอกเราว่า ประสบการณ์วัยเด็กที่ไม่ได้รับการเยียวยาจะไม่หายไปไหน มันซ่อนอยู่ในความทรงจำทางอารมณ์ และมักโผล่ขึ้นมาในช่วงเวลาที่เราอ่อนแอหรือถูกท้าทาย การเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่เพียงการเผชิญความจริงภายนอกของชีวิตลูก แต่ยังเป็นการเผชิญความจริงภายในของชีวิตเราเอง ทั้งสิ่งที่เคยได้รับ และสิ่งที่เราโหยหามาตลอด
นี่คือความจริงที่คู่มือการเลี้ยงลูกเล่มไหนก็ไม่ได้บอก
คุณไม่ได้เลี้ยงดูแค่ลูกของคุณ
แต่กำลังเลี้ยงดูเด็กในตัวคุณ ที่ยังต้องการการดูแลไม่แพ้กัน
แววตาที่ซ้อนทับ
เมื่อคุณมองลูก ไม่ว่าจะขณะเขาหัวเราะ ร้องไห้ หรือโต้เถียงกับคุณ สิ่งที่สะท้อนกลับมาในใจคุณไม่ใช่เพียงภาพของลูกตรงหน้าเท่านั้น แต่คือเงาของคุณในวัยเด็กที่ทับซ้อนอยู่โดยไม่รู้ตัว
คุณอาจเห็นลูกไม่ยอมทำการบ้าน แล้วใจสั่นเพราะนึกถึงวันที่คุณเคยถูกตัดสินว่า “ขี้เกียจ” และ “ไม่มีอนาคต” ความหวาดกลัวเก่า ๆ แทรกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งรับ จนทำให้คุณดุลูกแรงเกินไป ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ในตอนนั้นเอง ลูกแค่เหนื่อยและอยากพัก
งานศึกษาด้าน attachment ของ John Bowlby ชี้ว่า ผู้ใหญ่ที่มีบาดแผลทางความผูกพันในวัยเด็กที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา มักตีความพฤติกรรมลูกเกินจริง ไม่ใช่เพราะลูกทำผิดร้ายแรง แต่เพราะแววตาที่เราใช้มองนั้นถูกกรองผ่านประสบการณ์เจ็บปวดของตัวเองในตอนนั้น ผลที่ตามมาคือ ลูกไม่ได้ถูกเห็นในฐานะ “ตัวลูก” แต่ถูกตีตราผ่านความทรงจำของ “เรา”
นี่คือสิ่งที่ทำให้การเป็นพ่อแม่ยากกว่าที่คิด ไม่ใช่เพราะลูกยากจะเข้าใจ แต่เพราะเรายังไม่ทันได้เข้าใจตัวเองในวัยเด็กที่ยังคงนั่งรออยู่ในความทรงจำ
การตระหนักถึง “แววตาที่ซ้อนทับ” จึงเป็นก้าวแรกของการเป็นพ่อแม่ที่ซื่อตรงต่อตัวเอง ซื่อตรงว่าความรู้สึกบางอย่างไม่ได้มาจากลูก แต่มาจากตัวเรา และสิ่งที่ลูกต้องการอาจไม่ใช่การได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง แต่อาจเป็นการถูกมองเห็นด้วยสายตาที่ปราศจากเงาเก่า ๆ ของพ่อแม่
บาดแผลที่ไม่หายไปไหน
ความเจ็บปวดในวัยเด็กไม่ได้ถูกเก็บไว้เฉพาะในสมุดบันทึกความทรงจำ แต่มันถูกเก็บไว้ในร่างกาย ในระบบประสาท และในวิธีที่เราตอบสนองต่อโลกโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
เวลาลูกเถียง เราอาจรู้สึกเหมือนถูกท้าทายศักดิ์ศรี ทั้งที่ความจริงคือเสียงเถียงของลูกกำลังไปแตะบาดแผลเก่าของตัวเราเองในวันที่เราเองเคยไม่มีสิทธิ์เปล่งเสียงของตัวเองออกมา ความรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับในวันนั้นยังคงค้างอยู่ และมันผุดขึ้นมาในวินาทีที่ลูก “ทำให้เราเจอความจริงเดิมซ้ำ”
นักบำบัดจำนวนมากอธิบายว่าบาดแผลทางใจ (emotional wound) ไม่ได้หายไปเพราะเวลา แต่มัน “ถูกเก็บไว้” ในความทรงจำ งานของ Bessel van der Kolk (2014) ใน The Body Keeps the Score บอกว่า ร่างกายเก็บความทรงจำของบาดแผลทางใจ เอาไว้ในระดับสมองและระบบประสาท ทำให้แม้เพียงสิ่งเร้าเล็กน้อย เสียงร้องไห้ คำพูด หรือบรรยากาศ ก็สามารถปลุกความรู้สึกที่ฝังลึกกลับขึ้นมาได้
และไม่ใช่เพียงตัวเราเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ลูกเองก็อาจรับความทรงจำเหล่านี้ต่อไปจากเรา งานวิจัย epigenetics (กระบวนการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง การแสดงออกของยีน โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ (DNA) ที่เหมือนเดิม) ของ Rachel Yehuda (2014) พบว่า ความเครียดของพ่อแม่เปลี่ยนการทำงานของยีนจนมีผลต่อความสามารถของลูกในการจัดการกับความเครียดด้วย นั่นหมายความว่า ความเงียบ ความกลัว ความละอายที่ไม่ได้ถูกเยียวยา อาจเดินทางต่อไปในเลือดเนื้อและจิตใจของลูก โดยที่เราไม่รู้ตัว
สำหรับครอบครัวไทย บาดแผลเหล่านี้ถูกซ่อนภายใต้คำพูดง่าย ๆ เช่น “อย่าขี้แย” “อดทนหน่อย” “เรื่องเล็กน้อยอย่าไปคิดมาก” สิ่งเหล่านี้ฟังเหมือนการสอนให้เข้มแข็ง แต่จริง ๆ แล้วคือการปิดปากความเป็นเด็กในตัวเราไม่ให้พูดออกมา และเมื่อถึงวันที่เรามีลูก เด็กที่ถูกปิดปากคนนั้นก็กลับมาเรียกร้องเสียงของตัวเองอีกครั้ง
ดังนั้น เวลาเราพูดว่า “บาดแผลไม่หายไปไหน” มันไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรย แต่คือความจริงเชิงชีววิทยาและจิตวิทยา การเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่แค่การดูแลลูก แต่คือการได้เผชิญหน้ากับแผลที่เราไม่เคยมีโอกาสรักษาอย่างแท้จริง
มองเห็นบาดแผลของตัวเองโดยไม่กลัว
การยอมรับว่าบาดแผลยังอยู่ ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลวในฐานะพ่อแม่ แต่คือก้าวแรกของการทำให้เรื่องราวเก่า ๆ ไม่ถูกส่งต่อไปอย่างไม่รู้ตัว
งานวิจัยของ Peter Fonagy และ Mary Target (1997) ว่าด้วย Reflective Functioning ชี้ว่า พ่อแม่ที่สามารถสะท้อนและตระหนักถึงอารมณ์ของตัวเองได้ มีแนวโน้มเลี้ยงลูกที่มีสุขภาวะทางใจสูงกว่า เพราะเมื่อเรา “รู้เท่าทัน” ว่าความโกรธ ความกลัว หรือความเศร้าที่เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องของลูก แต่เป็นเศษเสี้ยวอดีตของเราเอง เราจะไม่เผลอโยนภาระนั้นให้ลูกแบกแทน
การมองเห็นบาดแผลของตัวเองไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการบำบัดเสมอไป (แม้การบำบัดจะช่วยได้มาก) แต่สามารถเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น
- หยุดหายใจลึก ๆ ก่อนตอบสนองเมื่อลูกกดปุ่มอารมณ์เรา
- เขียนจดหมายถึงตัวเองวัยเด็กโดยไม่ต้องส่งไปที่ไหน
- ถามตัวเองตรง ๆ ว่า “ฉันเคยอยากได้อะไรในวัยนั้น แต่ไม่ได้?
บางครั้งการเผชิญหน้ากับบาดแผลไม่ใช่การพยายาม “ลบ” มันออก แต่คือการนั่งอยู่กับมันโดยไม่ตัดสิน เพื่อจะบอกเด็กในตัวเราว่า “เธอไม่จำเป็นต้องถูกซ่อนอีกต่อไป”
และนี่เองที่พาเราไปสู่คำถามใหญ่ที่หลายคนไม่เคยถามตัวเองเลย…
คำถามที่ถูกเลี่ยงมาตลอด
พ่อแม่จำนวนมากพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่กลับไม่เคยหยุดถามคำถามง่าย ๆ ที่อาจเปลี่ยนทุกอย่างได้ เช่น “ตอนฉันยังเป็นเด็ก…ฉันอยากได้อะไรจากพ่อแม่ แต่ไม่เคยได้รับ?”
คำถามนี้ดูเหมือนง่าย แต่กลับหนักหนาจนหลายคนไม่กล้าแตะ เพราะคำตอบอาจเผยให้เห็นความโหยหา ความผิดหวัง หรือความโดดเดี่ยวที่ยังไม่เคยถูกพูดออกมา บางคนอาจพบว่าตัวเองอยากได้เพียงการถูกกอดโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข บางคนอยากให้มีใครสักคนถามว่า “วันนี้เหนื่อยไหม” บางคนอยากได้แค่การถูกยอมรับว่า การร้องไห้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
นักจิตวิทยาด้านการพัฒนา Daniel Siegel เรียกสิ่งนี้ว่า “name it to tame it” หรือ เมื่อเรา “ตั้งชื่อ” ให้กับสิ่งที่เคยขาดหาย เราจะไม่ถูกควบคุมโดยความรู้สึกนั้นอีกต่อไป การตั้งคำถามกับตัวเองจึงไม่ใช่การขุดคุ้ยอดีตเพื่อโทษใคร แต่เพื่อปลดปล่อยเราจากการทำซ้ำโดยไม่รู้ตัว
ที่น่ากลัวคือ หากเราไม่เคยถามคำถามนี้ เรามักเผลอใช้การเลี้ยงลูกเป็นเครื่องมือชดเชยสิ่งที่เราไม่ได้รับ เช่น พ่อแม่ที่เคยถูกละเลย อาจกลายเป็นพ่อแม่ที่ควบคุมลูกอย่างเข้มงวดเกินไป เพียงเพราะไม่อยากให้ลูก “ถูกปล่อยปละเหมือนเรา” แต่ในความพยายามปกป้องนั้น บ่อยครั้งลูกกลับสูญเสียพื้นที่ในการเป็นตัวเอง
คำถามที่ถูกเลี่ยงจึงไม่ใช่แค่คำถาม แต่เป็นเหมือนประตู ถ้าเรากล้าเปิดออก เราจะได้พบความจริงว่า สิ่งที่ลูกต้องการจากเรานั้น อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขาดหายตอนเด็กเลยก็ได้ และนั่นทำให้เรามีโอกาสเลี้ยงลูก “อย่างที่เขาต้องการจริง ๆ” ไม่ใช่ “อย่างที่เราอยากให้ใครทำกับเราในอดีต”
กอดลูก กอดตัวเอง : พ่อแม่ก็ต้องการการดูแล
การเป็นพ่อแม่มักถูกวาดภาพไว้เหมือนบทบาทของผู้เสียสละ ผู้เข้มแข็ง ผู้พร้อมจะเป็นหลักให้กับลูกได้เสมอ แต่ความจริงคือ พ่อแม่เองก็เป็นมนุษย์ที่บอบบางได้ อ่อนล้าได้ และโหยหาการกอดพอ ๆ กับลูก
ทุกครั้งที่คุณอุ้มลูกที่ร้องไห้ กอดเขาแน่น ๆ เพื่อบอกว่า “หนูไม่ต้องกลัวแล้ว” สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกันคือ คุณกำลังกอดเด็กคนนั้นในตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยร้องไห้โดยไม่มีใครโอบกอด การเลี้ยงลูกจึงไม่ใช่เพียงการมอบความมั่นคงให้ลูก แต่คือการย้อนมอบสิ่งที่ตัวเองเคยขาดหายไปโดยไม่รู้ตัว
งานวิจัยด้าน co-regulation ของ Tronick (2007) แสดงให้เห็นว่า การโอบกอดและการสัมผัสไม่เพียงช่วยให้ระบบประสาทของเด็กสงบลง แต่ยังทำให้ระดับความเครียดของพ่อแม่ลดลงด้วย ฮอร์โมนออกซิโทซินที่หลั่งออกมาระหว่างการกอดทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกปลอดภัยขึ้นพร้อมกัน การกอดลูกจึงเป็นเหมือนประตูสองบานที่เปิดออก ลูกได้รับความอุ่นใจ และพ่อแม่ก็ได้รับการเยียวยาไปพร้อมกัน
สิ่งที่สังคมมักลืมคือ พ่อแม่ก็ต้องการการดูแล ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้ปกครอง” แต่ในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่มีแผล มีความกลัว และมีวันที่เหนื่อยเกินกว่าจะยืนคนเดียวได้ หากพ่อแม่ถูกบังคับให้ “แข็งแรงตลอดเวลา” เด็กจะได้เห็นแบบอย่างที่แข็งกระด้างเกินจริง แต่เมื่อพ่อแม่ยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตนเอง ยอมบอกว่า “วันนี้แม่ก็เหนื่อย” หรือ “พ่อเองก็เคยกลัวแบบนี้” เด็กจะได้เรียนรู้ความจริงสำคัญว่า ความเปราะบางไม่ใช่จุดอ่อน แต่คือเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์
Donald Winnicott เคยอธิบายว่า “พ่อแม่ที่ดีพอ” (good enough parent) ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ แต่คือพ่อแม่ที่กล้ายอมรับข้อจำกัดของตัวเอง และยังคงเลือกอยู่ตรงนั้นกับลูก ความซื่อตรงเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้ลูกเติบโตได้อย่างมั่นคง เพราะเขาเห็นตัวอย่างว่าคนเราสามารถอ่อนแอได้ แต่ยังคงคู่ควรกับความรัก
ดังนั้น การกอดลูกจึงไม่ใช่แค่การปลอบโยนเขา หากยังเป็นการกอดตัวเอง ทั้งเด็กคนนั้นที่เคยอยู่ในอดีตของเราและผู้ใหญ่ในปัจจุบัน เพื่อบอกว่า “ฉันเองก็สมควรได้รับการดูแลเช่นกัน”
ลูกคือบทเรียนลับ
เราอาจเคยเชื่อว่าเมื่อเป็นพ่อแม่แล้ว เราคือผู้สอน ส่วนลูกคือผู้เรียน แต่ชีวิตกลับมักพลิกบทเรียนของเรา ลูกต่างหากที่ทำให้เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เวลาที่ลูกโกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล เขาอาจกำลังสอนเราว่า ความโกรธไม่ใช่สิ่งต้องห้าม แต่คืออารมณ์ที่รอการรับฟัง เวลาที่ลูกงอแงไม่ยอมแยกจากเรา เขาอาจกำลังบอกว่า ความกลัวการถูกทิ้งคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน และเวลาที่ลูกหัวเราะเสียงดังโดยไม่สนใจสายตาใคร เขากำลังชวนเราให้ระลึกว่า การเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ใช่อาชญากรรม
Daniel Stern นักจิตวิเคราะห์ผู้ศึกษาเรื่อง “ช่วงขณะปัจจุบัน” (present moment) ในชีวิตพ่อแม่และลูก อธิบายว่า บทเรียนที่สำคัญที่สุดมักไม่ได้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ใหญ่โต แต่ซ่อนอยู่ในเสี้ยววินาทีที่เราตอบสนองลูกด้วยความตื่นตัว เช่น การเลือกกอดแทนที่จะตะคอก หรือการเลือกฟังแทนที่จะตัดบท เสี้ยววินาทีเหล่านี้เองที่สร้าง “บทเรียนลับ” ให้ทั้งเราและลูกไปพร้อมกัน
ความจริงแล้ว ลูกไม่เพียงต้องการการเลี้ยงดู เขายังทำหน้าที่เหมือนกระจกเงา สะท้อนบาดแผลที่เรายังไม่ได้เยียวยา และสะท้อนศักยภาพที่เรายังไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองใช้ เมื่อเรามองลึกลงไป เราจะพบว่า ลูกไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องดูแล แต่คือครูที่มอบบทเรียนซึ่งไม่มีห้องเรียนไหนสอนได้
และเมื่อยอมรับบทเรียนนี้ เราจะเริ่มเข้าใจว่า การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่แค่การสอนลูกให้เติบโต แต่คือการอนุญาตให้ตัวเราเองได้เติบโตอีกครั้งเช่นกัน
อยู่กับเด็กสองคนเสมอ
การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่เพียงการเลี้ยงดูชีวิตใหม่ แต่คือการอยู่พร้อมกันกับ “เด็กสองคน” เสมอ คือลูกที่อยู่ตรงหน้า และเด็กในใจเราที่ไม่เคยจากไปไหน
เมื่อลูกหัวเราะ เราได้ยินเสียงสะท้อนของความสุขที่เราเคยโหยหา เมื่อลูกร้องไห้ เราได้เจอความเปราะบางที่เราเคยซ่อน เมื่อลูกต่อต้าน เราได้เผชิญกับความกล้าที่เราไม่เคยมี สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราหวั่นไหว สับสน หรือเจ็บซ้ำ แต่ในความซ้ำซ้อนนั้นเอง มีบทเรียนอันละเอียดอ่อนที่ชีวิตกำลังมอบให้เรา
หากเรากอดลูก เราก็กำลังกอดตัวเองด้วย หากเราดูแลบาดแผลในใจ เราก็กำลังป้องกันไม่ให้มันถูกส่งต่อไปยังรุ่นถัดไป และหากเรายอมรับว่าตัวเองก็ต้องการการดูแลพอ ๆ กับลูก เรากำลังสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยความจริง ความจริงที่บอกว่า ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่สิ่งน่าละอาย แต่คือสภาพของมนุษย์ที่ควรได้รับความรัก
คู่มือการเลี้ยงลูกเล่มนี้จึงไม่อาจเขียนจบลงได้ เพราะมันถูกเขียนซ้ำทุกวัน ผ่านการมองลูก และการมองตัวเองในกระจกเงาเดียวกัน บางที ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการได้เป็นพ่อแม่ อาจไม่ใช่เพียงการได้เลี้ยงดูเด็กคนหนึ่ง แต่คือโอกาสให้เราได้กลับไปโอบกอดเด็กที่เราเคยเป็นอีกครั้ง อย่างที่ครั้งหนึ่งเราเคยรอคอย
อ้างอิง
- Bowlby, J. (1988). A Secure Base: Parent-Child Attachment and Healthy Human Development. Basic Books.
- Yehuda, R., et al. (2014). “Holocaust Exposure Induced Intergenerational Effects on FKBP5 Methylation.” Biological Psychiatry, 80(5).
- Van der Kolk, B. (2014). The Body Keeps the Score: Brain, Mind, and Body in the Healing of Trauma. Viking.
- Fonagy, P., & Target, M. (1997). “Attachment and Reflective Function: Their Role in Self-Organization.” Development and Psychopathology, 9(4).
- Siegel, D. J., & Hartzell, M. (2003). Parenting from the Inside Out. TarcherPerigee.
- Tronick, E., et al. (2007). The Neurobehavioral and Social-Emotional Development of Infants and Children. Norton.
- Winnicott, D. W. (1965). The Maturational Processes and the Facilitating Environment. International Universities Press.
- Stern, D. N. (2004).The Present Moment in Psychotherapy and Everyday Life. Norton.
Writer
Admin Mappa
illustrator
Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด