Chosen Family ครอบครัวเลือกได้และสายสัมพันธ์ที่เราสร้างเอง

Chosen Family ครอบครัวเลือกได้และสายสัมพันธ์ที่เราสร้างเอง

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โครงสร้างครอบครัวไทยกำลังก้าวข้ามภาพจำแบบเดิม ครอบครัวขยายที่เคยมีหลายรุ่นอยู่ร่วมกันภายใต้ชายคาเดียว ค่อย ๆ กลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขนาดเล็ก หรือแม้แต่ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากขึ้นทุกวัน อัตราการหย่าร้างพุ่งสูง สวนทางกับความคาดหวังของสังคมที่ยังยึดโยงกับภาพ “ครอบครัวอบอุ่น” ที่ดูสมบูรณ์พร้อม

เบื้องหลังสถิติเหล่านี้ คือเรื่องราวของผู้คนที่เติบโตมาใน “บ้าน” ซึ่งอาจไม่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างที่ควรจะเป็น ปรากฏการณ์ “ครอบครัวแหว่งกลาง” กลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อพ่อแม่ต้องออกไปทำงานไกล ทิ้งลูกไว้กับญาติผู้ใหญ่ ส่วนคำว่า “Toxic Family” ก็ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์ในโลกออนไลน์อีกต่อไป หากแต่เป็นความจริงของเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ต้องอยู่กับความรุนแรงทางอารมณ์ การขาดความเข้าใจ หรือการถูกบีบคั้นจากค่านิยมดั้งเดิมที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ตัวตนของพวกเขาได้เติบโตอย่างอิสระ

ในบริบทเช่นนี้ แนวคิด “ครอบครัวที่เลือกได้” หรือ Chosen Family จึงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง มันไม่ใช่แค่คำสวยหรูที่พูดถึงในหมู่วัยรุ่นเมืองใหญ่ หรือเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ เท่านั้น แต่มันคือคำตอบของหัวใจสำหรับใครก็ตามที่รู้สึกว่าครอบครัวที่ตนเกิดมาไม่ได้มอบความรักและความมั่นคงทางใจอย่างที่ควรจะได้รับ

เมื่อ “บ้าน” ถูกพรากไป: กรณีศึกษาของการสร้างครอบครัวเลือกเองคนไร้บ้านและ LGBTQ+

“Chosen Family” คือกลุ่มคนที่แม้ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่มีความผูกพันลึกซึ้งและดูแลกันเสมือนครอบครัว พวกเขาแบ่งปันความรัก ความเข้าใจ และความห่วงใยอย่างไม่มีเงื่อนไข (Weston, 1991)

เรื่องราวของ “ครอบครัวที่เลือกเอง” ปรากฏให้เห็นชัดเจนในหมู่คนที่ถูกผลักออกจากกรอบของครอบครัวดั้งเดิม หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนภาพนี้ได้ลึกซึ้ง คือประสบการณ์ของกลุ่มคนไร้บ้าน โดยเฉพาะเยาวชน LGBTQ+ ที่มักถูกขับไสเพียงเพราะเพศวิถีหรือเพศสภาพไม่ตรงกับความคาดหวังของครอบครัวและสังคม บุณิกา จูจันทร์ (2021) ได้นำเสนอไว้อย่างน่าคิดว่า สำหรับคนไร้บ้านเหล่านี้ “ครอบครัว” ไม่ได้จบลงเมื่อพวกเขาถูกตัดขาดจากสายเลือด แต่กลับเริ่มต้นใหม่ ผ่านการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คนที่เข้าใจและยอมรับตัวตนของพวกเขาอย่างแท้จริง

บนท้องถนนหรือในศูนย์พักพิง ชุมชนเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นจากคนไร้บ้านด้วยกัน กลายเป็นพื้นที่แห่งความปลอดภัย พวกเขาดูแลกันทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ แบ่งปันอาหาร เสื้อผ้า ถุงนอน หรือแม้แต่ยืนเคียงข้างกันยามเผชิญอันตรายในพื้นที่สาธารณะ บางคนกลายเป็นเสมือนผู้ปกครอง คอยแนะนำวิธีเอาตัวรอด สนับสนุนทั้งสิ่งของและกำลังใจ ในโลกที่ตีตราพวกเขาว่าเป็น “ความล้มเหลวของสังคม”

ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ได้ยึดโยงกับระบบพ่อแม่ลูก หรือโครงสร้างชายเป็นใหญ่แบบครอบครัวจารีต หากแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ที่แต่ละคนต่างเปราะบาง และต้องการใครสักคนที่จะบอกว่า “คุณไม่ได้อยู่คนเดียว”

Chosen Family สำหรับคนไร้บ้าน หรือกลุ่ม LGBTQ+ ไม่ใช่เพียงที่พักใจ แต่คือเครือข่ายที่ช่วยให้พวกเขาไม่ร่วงหล่นไปสู่ความสิ้นหวัง เป็นรากฐานที่ช่วยต่อลมหายใจให้ดำเนินต่อไปในโลกที่ไม่เป็นมิตรนัก และเมื่อโรคระบาดโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม ความสำคัญของสายสัมพันธ์นี้ยิ่งทวีคูณ แม้การรักษาระยะห่างจะพรากความใกล้ชิดทางกายภาพ แต่ความผูกพันที่ถูกถักทอขึ้นกลับแน่นแฟ้นกว่าอะไรทั้งหมด

เมื่อมองย้อนกลับมายังสังคมไทย ภาพของ Chosen Family ในกลุ่มคนเปราะบางเหล่านี้ ชวนให้เราตั้งคำถามถึงนิยามของ “ครอบครัว” ที่เคยถูกกรอบไว้ด้วยสายเลือดและกฎหมาย แท้จริงแล้ว ความรัก ความห่วงใย และการดูแลกันต่างหากที่เป็นหัวใจของคำว่าครอบครัว ไม่ใช่ชื่อสกุล ทะเบียนสมรส หรือความสมบูรณ์พร้อมที่ถูกกรอบไว้ที่คำว่า พ่อ แม่ และลูก

ครอบครัวที่เลือกเอง: ทางออกของใจในวันที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ

นอกจากชุมชน LGBTQ+ แล้ว สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในครอบครัวไม่สมบูรณ์ หรือแม้แต่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาและความกดดัน คนรุ่น Gen Z กำลังค้นพบความสุขในการสร้างพื้นที่ของความสัมพันธ์ร่วมกับคนที่เข้าใจและเคารพในตัวตนของพวกเขาอย่างแท้จริง การได้อยู่ในกลุ่มคนที่มีค่านิยมหรือความฝันคล้ายกัน ทำให้พวกเขาได้เติบโตและเบ่งบานในแบบที่ควรจะเป็น (Bauman, 2013) 

Chosen Family กลายเป็นเส้นทางแห่งความหวัง พวกเขาเลือกสร้างสายสัมพันธ์ในแบบที่ตัวเองต้องการ เลือกคนที่พร้อมจะฟัง เข้าใจ และอยู่เคียงข้างในวันที่ชีวิตไม่ง่าย และเมื่อสังคมเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น แนวคิดนี้ไม่ได้มาทำลายค่านิยมครอบครัวเดิม แต่เป็นการขยายความหมายของคำว่า “บ้าน” ให้ครอบคลุมความหลากหลายของมนุษย์ในโลกยุคใหม่

แม้ว่าสถิติของไทย (2023) จะแสดงให้เห็นว่าอัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความรักและความผูกพันระหว่างมนุษย์จะลดน้อยลง ตรงกันข้าม Millennials และ Gen Z กำลังค้นพบรูปแบบความรักและความผูกพันแบบใหม่ที่งดงามไม่แพ้กัน “Chosen Family” คือทั้งบ้านที่อบอุ่นและสวนดอกไม้ที่เติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง (Boellstorff, 2007)

เทคโนโลยีเชื่อมใจในโลกไร้พรมแดน

ในโลกยุคดิจิทัลที่พรมแดนทางภูมิศาสตร์แทบไม่มีความหมายอีกต่อไป เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ได้กลายเป็นสะพานที่เชื่อมโยงหัวใจของผู้คนจากหลากหลายมุมโลกให้มาใกล้ชิดกันมากกว่าที่เคยเป็นมา

เทคโนโลยีเชื่อมใจในโลกไร้พรมแดน จึงไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรย หากแต่มันสะท้อนความจริงของชีวิตคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับหน้าจอ สมาร์ทโฟน และแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ไม่ได้ทำให้พวกเขา “เหงา” อย่างที่ใครหลายคนเคยกังวล ตรงกันข้าม มันกลับเปิดโลกแห่งมิตรภาพและความผูกพันที่ลึกซึ้งในรูปแบบที่ต่างออกไปจากเดิม

คนรุ่น Gen Z และ Millennials ค้นพบว่า “ครอบครัว” ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ หรือจำกัดอยู่เพียงคนในเมืองเดียวกัน พวกเขาสามารถสร้างสายใยแห่งความเข้าใจและความรักผ่านข้อความสั้น ๆ ในแชท การโทรหากันตอนตีสองในวันที่เหนื่อยล้า หรือแม้แต่การแชร์มีมตลก ๆ ที่ช่วยให้วันแย่ ๆ กลายเป็นวันที่พอจะยิ้มได้

งานวิจัยของ วรรณพร พงษ์เพ็ง (2023) ตอกย้ำความจริงข้อนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อพบว่าคนไทยวัย 18-29 ปี ถึง 63% สร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับเพื่อนหรือ “พี่น้องใจ” ผ่านโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Discord หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ บางคนเริ่มต้นจากการพูดคุยเรื่องงานอดิเรกที่ชอบเหมือนกัน บางคนพบกันในกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือแม้แต่เกมออนไลน์ที่กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ยาวนานกว่าหลายปี

เทคโนโลยีจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่มันได้กลายเป็น พื้นที่ทางใจ ที่ไร้ขอบเขตทางภูมิศาสตร์และไร้เงื่อนไขทางสังคม เปิดโอกาสให้ผู้คนได้พบเจอกับ “ครอบครัวที่เลือกได้” โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากโลกภายนอก ขอเพียงแค่หัวใจของพวกเขาเต้นไปในจังหวะเดียวกัน

Castells (2010) เคยกล่าวถึง “Network Society” หรือสังคมเครือข่าย ว่าเป็นยุคที่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ถูกถักทอผ่านเส้นใยดิจิทัล มากกว่าการพึ่งพาเพียงปฏิสัมพันธ์แบบดั้งเดิม ภายในเครือข่ายเหล่านี้ ผู้คนต่างแบ่งปันความรู้สึก ความหวัง และความฝัน แม้ร่างกายจะห่างกันคนละซีกโลก แต่หัวใจกลับใกล้ชิดกันยิ่งกว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ในห้องเดียวกัน

ปรากฏการณ์นี้ทำให้คำว่า “ระยะทาง” กลายเป็นเพียงตัวเลขในแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะอยู่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ โตเกียว หรือปารีส มิตรภาพและความผูกพันก็ยังคงเติบโตได้อย่างงดงามในโลกเสมือนจริง

สำหรับใครหลายคน กลุ่มแชทออนไลน์หรือคอลประจำวันกับเพื่อนในต่างประเทศ อาจมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่ามื้ออาหารร่วมกับครอบครัวที่บ้านเสียอีก เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขารู้สึกว่าได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง เป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องอธิบายตัวเองซ้ำ ๆ หรือพยายามเป็นในสิ่งที่ใครคาดหวัง

ในยุคที่เทคโนโลยีเชื่อมใจผู้คนได้มากขนาดนี้ Chosen Family จึงไม่ได้ถูกจำกัดด้วยระยะทางหรือการพบปะทางกายภาพอีกต่อไป แต่สามารถถือกำเนิดและเติบโตได้ในทุกแพลตฟอร์มที่เปิดพื้นที่ให้มนุษย์ได้ “พบกันและเข้าใจกัน”

และบางครั้ง… ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความสั้น ๆ บนหน้าจอ อาจกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่มั่นคงและยืนยาวที่สุดในชีวิตของใครบางคน

เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่หรือแคบลงเพียงใด หัวใจของมนุษย์ก็ยังโหยหาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และเทคโนโลยีในวันนี้… ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราสร้าง “บ้าน” หลังใหม่ แม้จะไม่มีเส้นทางถนนจริง ๆ เชื่อมถึงกันก็ตาม

การก้าวข้ามความท้าทายด้วยความเข้าใจ

ในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและความกตัญญู แนวคิด “Chosen Family” อาจสร้างความกังวลใจให้กับผู้ใหญ่บางคน (Prasithrathsint, 2019)

การศึกษาของ ธีรยุทธ บุญมี (2020) สะท้อนให้เห็นว่า 72% ของผู้ปกครองในไทยอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อลูกหลานใกล้ชิดกับเพื่อนมากกว่าครอบครัว แต่นี่คือโอกาสอันดีในการสร้างความเข้าใจระหว่างคนต่างรุ่น

ความจริงที่น่ายินดีคือ คนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการทิ้งครอบครัวเดิม แต่พวกเขากำลังขยายวงกลมแห่งความรักให้กว้างขึ้น “ครอบครัวเลือกเอง” ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเติมเต็มความรักที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น (Cantu, 2009) เมื่อทุกฝ่ายเปิดใจเข้าใจกัน ความขัดแย้งจะกลายเป็นโอกาสในการเติบโตร่วมกัน

การสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเท่าเทียม

แนวคิด “Chosen Family” กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม นำไปสู่การพัฒนากฎหมายและนโยบายที่เคารพความหลากหลายของความรักและความผูกพันมากขึ้น

หลายประเทศทั่วโลกเริ่มปรับเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เช่น การให้สิทธิแก่ “ผู้ดูแลที่ไม่ใช่ญาติ” ในแคนาดาและอเมริกา ถือเป็นก้าวสำคัญของการยอมรับว่าความรักและความผูกพันไม่จำเป็นต้องวัดด้วยสายเลือดเสมอไป (Polikoff, 2008)

ในไทย แม้การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็มีความหวังที่จะเห็นสังคมที่เปิดกว้างและเท่าเทียมมากขึ้น การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมและสิทธิคู่ชีวิต คือจุดเริ่มต้นของการยอมรับว่ารูปแบบครอบครัวในปัจจุบันมีความหลากหลายและทุกความรักล้วนมีคุณค่า (ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์, 2021)

อนาคตกำลังเปิดกว้างสำหรับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ Gen Alpha (เกิดหลังปี 2010) ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและแนวคิดที่เปิดกว้าง พวกเขาจะสร้างโลกที่ความรักและความผูกพันเบ่งบานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น (McCrindle, 2020)

นักสังคมวิทยามองเห็นอนาคตที่สดใส ที่เส้นแบ่งระหว่างครอบครัวทางสายเลือดและ “ครอบครัวเลือกเอง” จะเลือนลาง และสังคมจะยอมรับว่าทุกความรักล้วนมีคุณค่า ไม่ว่าจะเกิดจากสายเลือดหรือสายใยแห่งมิตรภาพ (Giddens, 2013)

ความรักที่เราเลือกสรรและสร้างมันขึ้นมาได้เอง

“Chosen Family” คือเรื่องราวแห่งความหวังและความอบอุ่นท่ามกลางโลกที่บางครั้งอาจรู้สึกเย็นชาและแปลกแยก การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นพยานว่ามนุษย์เรามีความสามารถอันน่าทึ่งในการสร้างพื้นที่แห่งความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับ แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทายที่สุด

ในสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดนี้ไม่ได้มาทำลายค่านิยมดั้งเดิม แต่มาเติมเต็มให้สมบูรณ์และสอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันมากขึ้น มันเชิญชวนให้เราทบทวนและขยายนิยามของ “ครอบครัว” และ “ความรัก” ให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว “Chosen Family” คือการเตือนใจว่าความรักไม่มีขอบเขต และความสัมพันธ์ที่มีความหมายสามารถเติบโตได้ในทุกที่ที่มีความเข้าใจและการยอมรับ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ความสามารถของเราในการสร้างบ้านแห่งหัวใจร่วมกันจะยังคงเป็นพลังอันงดงามที่ทำให้ชีวิตของเรามีความหมายและอบอุ่นเสมอ

อ้างอิง

Bauman, Z. (2013). Liquid Love: On the Frailty of Human Bonds. Polity Press.

Beck, U., & Beck-Gernsheim, E. (2002). Individualization: Institutionalized Individualism and its Social and Political Consequences. SAGE Publications.

Boellstorff, T. (2007). A Coincidence of Desires: Anthropology, Queer Studies, Indonesia. Duke University Press.

Cantu, L. (2009). The Sexuality of Migration: Border Crossings and Mexican Immigrant Men. New York University Press.

Castells, M. (2010). The Rise of the Network Society. Wiley-Blackwell.

Giddens, A. (2013). The Transformation of Intimacy: Sexuality, Love and Eroticism in Modern Societies. Polity Press.

Halberstam, J. (2005). In a Queer Time and Place: Transgender Bodies, Subcultural Lives. New York University Press.

McCrindle, M. (2020). Understanding Generation Alpha. McCrindle Research.

Pew Research Center. (2021). Gen Z and the Reshaping of American Social Life. Pew Research Center.

Polikoff, N. D. (2008). Beyond (Straight and Gay) Marriage: Valuing All Families under the Law. Beacon Press.

Prasithrathsint, A. (2019). Thai Family Values in Transition. Chulalongkorn University Press.

Rainie, L., & Wellman, B. (2012). Networked: The New Social Operating System. MIT Press.

Weston, K. (1991). Families We Choose: Lesbians, Gays, Kinship. Columbia University Press.

ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์. (2021). ความหลากหลายของครอบครัวไทยในศตวรรษที่ 21. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ธีรยุทธ บุญมี. (2020). ความขัดแย้งทางค่านิยมระหว่างคนต่างรุ่นในสังคมไทยร่วมสมัย. สำนักพิมพ์สยาม.

วรรณพร พงษ์เพ็ง. (2023). เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการสร้างชุมชนของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 49(2), 145-170.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2023). รายงานสถิติประชากรและสังคม ประจำปี 2023. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม.

สุพัตรา กอบกิจพานิชผล. (2022). ครอบครัวทางเลือกของคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพมหานคร. วารสารสังคมวิทยา, 36(1), 78-103.