

Nakanoshima Children’s Book Forest
Nakanoshima Children’s Book Forest
ป่าหนังสือกลางเมืองที่เด็กๆ จะถูกโอบล้อมด้วยหนังสือและสถาปัตยกรรมที่เคารพความเป็นเด็ก
แม่บีอยากเล่าถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับครอบครัว และคนรักหนังสือภาพทุกคนในเมืองโอซาก้า นั่นก็คือ “Nakanoshima Children’s Book Forest” หรือ “ป่าหนังสือสำหรับเด็กนากาโนะชิมะ” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แม่บีประทับใจมากๆ นอกจากสถาปัตยกรรมที่ตั้งใจออกแบบพื้นที่มาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เหมาะกับการอ่านหนังสือของเด็กๆ และเคารพธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กๆ การเดินเข้ามายังพื้นที่นี้ยังเหมือนเข้าสู่โลกอีกใบที่อบอวลด้วยความตั้งใจดีของผู้ใหญ่ที่เข้าใจ ที่ไม่มองเด็กเป็นเพียงผู้รับ แต่เป็น “ผู้อ่าน” ที่มีหัวใจและสายตาเฉพาะตัว
เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นห้องสมุดในความหมายเดิมๆ ไม่มีป้ายเขียนว่า “ห้ามเสียงดัง” ไม่มีตู้หนังสือวางเรียงเป็นระเบียบจัดตามเลขดิวอี้ เด็กๆ สามารถเดินเตาะแตะ ปีนขึ้นลง นั่งเอกเขนกตามขั้นบันได หรือแอบอยู่ในมุมลับใต้ดิน เพื่ออ่านหนังสือเล่มที่ดึงดูดพวกเขา หรือจะเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางหัวข้อที่น่าสนใจอย่าง “เรื่องกินเรื่องใหญ่” หรือ “สัตว์โลกผองเพื่อน” โถงสูงสามชั้นที่บรรจุหนังสือที่หลากหลายไม่ได้ถูกจัดตามหมวดหมู่ของผู้ใหญ่ แต่ตามโลกภายและความสงสัยของเด็กๆ ที่อาจจะอยากรู้เรื่องของแมวในสวน การตายของคุณตา การวิ่ง การกระโดด หรือแม้แต่คำถามว่า “อนาคตจะเป็นอย่างไรนะ?” ทุกสิ่งที่นี่ถูกออกแบบให้เคารพธรรมชาติของเด็กในการอ่าน จนแม่บีสงสัยว่าเขาเก็บข้อมูลการออกแบบทั้งพื้นที่และหมวดหมู่หนังสือยังไง
นั่นคือเหตุผลที่สถานที่นี้ดึงดูดแม่บีที่มีอาชีพเป็นนักออกแบบการเรียนรู้ และต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม และเอามาแบ่งปันชาว Mappa ด้วยกันค่ะ
จากแรงบันดาลใจของสถาปนิกสู่ป่าหนังสือ
ที่มา: Architectural Record
โครงการ Nakanoshima Children’s Book Forest ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดของสถาปนิกชื่อดัง ทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) ชาวโอซาก้า ผู้ต้องการ “ตอบแทน” บ้านเกิดด้วยการสร้างสถานที่ที่เด็กๆ จะได้สัมผัสความสุขของการค้นพบและการอ่านหนังสืออย่างอิสระ เขาระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อสร้างพื้นที่นี้และบริจาคอาคารทั้งหมดให้เทศบาลนครโอซาก้าโดยไม่เก็บค่าเข้าชม เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
วัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งคือเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้และจินตนาการสำหรับเด็ก ที่ซึ่งพวกเขาได้ “พบกับหนังสือ สนุกกับหนังสือ และเรียนรู้จากหนังสือ” ตามธรรมชาติ สถานที่นี้มุ่งหวังจะปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความรักการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ ให้เด็กๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความหวังและแรงบันดาลใจในอนาคต ชื่อ “Book Forest” หรือ “ป่าแห่งหนังสือ” สื่อถึงแนวคิดที่ว่าหนังสือมากมายถูกจัดวางราวกับป่าให้เด็กๆ ได้เดินสำรวจอย่างเสรี โดยมีบรรยากาศเป็นกันเองที่แตกต่างจากห้องสมุดแบบดั้งเดิม มุ่งเน้นประสบการณ์เชิงบวกในการอ่านและเรียนรู้นอกห้องเรียน
สถาปัตยกรรมที่เปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็น “พื้นที่เรียนรู้” สำหรับเด็ก
บรรยากาศภายใน Nakanoshima Children’s Book Forest ที่ออกแบบเป็นโถงสูงสามชั้น มีบันไดไม้ขนาดใหญ่และชั้นหนังสือเต็มผนัง เด็กๆ สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ทุกที่อย่างอิสระ
ที่มา: Arquitectura Viva
ตามที่เล่าให้ฟัง อาคารแห่งนี้ออกแบบโดย ทาดาโอะ อันโด สถาปนิกที่มีชื่อเสียงด้านการใช้คอนกรีตเปลือยและแสงธรรมชาติสร้างความรู้สึกสงบเรียบง่าย คอนเซ็ปต์การออกแบบมุ่งเน้นให้ “เด็กเป็นศูนย์กลาง” (children-centered design) ทั้งในแง่มิติของพื้นที่และบรรยากาศ ภายนอกอาคารมีรูปทรงโค้งอ่อนช้อยขนานไปกับริมแม่น้ำโดจิมะ (Dojima) ที่ไหลผ่านสวนนากาโนะชิมะ ทำให้ตัวอาคารดูกลมกลืนกับภูมิทัศน์ริมน้ำ ด้านทิศตะวันออกของอาคารต่อเชื่อมกับชานระเบียงริมน้ำ เป็นลานกว้างโปร่งพร้อมหลังคาชายคาสูง 5 เมตร บริเวณทางเข้ามีประติมากรรมรูปแอปเปิลสีเขียวขนาดยักษ์ ชื่อ “Youth” ซึ่งอันโดสร้างขึ้นเพื่อสื่อข้อความว่า “ตราบใดที่เรามีความหวังในใจ เราก็ยังเยาว์วัยอยู่เสมอ” ประติมากรรมนี้กลายเป็นจุดสนใจที่กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ (และผู้ใหญ่) ว่า “ทำไมถึงมีแอปเปิลเขียวอยู่ที่นี่กันนะ?” “ความเยาว์วัยนิรันดร์หมายความว่าอะไร?”
ภายในอาคารเป็นพื้นที่โถงสูง สามชั้น โปร่งโล่งที่เปิดถึงกัน (“atrium”) มีผนังโดยรอบสูงจรดเพดานที่กลายเป็นชั้นวางหนังสือทั้งหมด ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลาง “ป่าแห่งหนังสือ” จริงๆ สถาปนิกได้ผนวกชั้นหนังสือเข้ากับโครงสร้างอาคารอย่างแนบเนียน ทำให้หนังสือกว่า 20,000 เล่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งภายในที่มีชีวิตชีวา ปกหนังสือหลากสีที่หันหน้าออกมาทำหน้าที่ทั้งดึงดูดสายตาเด็กๆ ตรงกลางมีบันไดไม้ขนาดใหญ่ความกว้างเต็มห้องที่เชื่อมแต่ละชั้น และมีทางเดินสะพานเล็กๆ พาดเชื่อมระหว่างชั้นในบางจุด ภาพรวมทำให้พื้นที่ภายในคล้าย เขาวงกตสามมิติ ที่เด็กๆ สามารถปีนป่ายและเดินสำรวจไปตามบันไดและทางเดินต่างระดับได้อย่างสนุกสนาน การออกแบบนี้ตั้งใจให้เด็กเกิดความรู้สึกของการผจญภัยและการค้นพบขณะเดินผ่าน “ป่าแห่งหนังสือ” เช่น ระหว่างที่เดินไปก็จะเห็นวิวแม่น้ำลอดผ่านช่องหน้าต่างแคบๆ ระหว่างชั้นหนังสือเป็นระยะ สร้างความประหลาดใจและเชื่อมโยงโลกภายนอกเข้ากับโลกของหนังสือบางจุดมีชานพักเล็กๆ ยื่นออกมาคล้าย “ฐานกระโดดน้ำ” ให้เด็กๆ แอบมองลงมาเห็นโถงด้านล่าง ซึ่งชวนให้สงสัยและอยากลองไปสำรวจดู นอกจากนี้ยังมีซอกมุมลับต่างๆ เช่น ห้องอ่านหนังสือทรงกระบอกใต้ดิน ห้องนี้มีแสงธรรมชาติส่องผ่านช่องวงกลมบนเพดานลงมา ให้บรรยากาศสงบเงียบเหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือใช้ความคิด (ภายในห้องนี้จัดหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ชีวิตและความตาย” เพื่อให้เด็กๆ ได้ใคร่ครวญประสบการณ์ชีวิตอย่างลึกซึ้งในบรรยากาศสบายๆ) พื้นที่ใช้งานต่างๆ ถูกออกแบบอย่างใส่ใจต่อสเกลของเด็ก เช่น บันไดขั้นเตี้ยๆ ที่เด็กสามารถนั่งหย่อนขาได้พอดี โซฟาริมหน้าต่างสำหรับนั่งอ่านสบายๆ พร้อมชมวิวแม่น้ำ และมุมเสื่อสำหรับนั่งพื้น เป็นต้น พื้นที่เหล่านี้รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การจัดกิจกรรมเล่านิทานหรืออ่านหนังสือเป็นกลุ่ม ไปจนถึงมุมนั่งอ่านเงียบๆ คนเดียว ผู้ใช้สามารถเลือกนั่งอ่านหนังสือได้ทุกที่ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นบนขั้นบันได ทางเดิน หรือม้านั่งภายนอกอาคาร หากวันไหนอากาศดี เด็กๆ ยังสามารถถือหนังสือออกไปนั่งอ่านบนสนามหญ้าหรือม้านั่งในสวนข้างนอกได้ด้วย (ทางห้องสมุดมีบริการเสื่อปิกนิกไว้ให้ยืมสำหรับปูนั่งอ่านบนสนามหญ้า) กล่าวได้ว่าสภาพแวดล้อมทั้งหมดทั้งภายในและพื้นที่โดยรอบอาคารล้วนส่งเสริมให้เด็กๆ รู้สึกอิสระและเพลิดเพลินกับการอ่านอย่างเป็นธรรมชาติ
ที่มา : Karimoku New Standard
แม่บีนึกถึงคำพูดของ Loris Malaguzzi นักการศึกษาชาวอิตาลี ผู้ก่อตั้งแนวคิดการศึกษาปฐมวัยแบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia Approach) ที่บอกว่า “สภาพแวดล้อมเป็นครูคนที่สาม” (The environment is the third teacher) Malaguzzi เชื่อว่าสภาพแวดล้อมมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กเทียบเท่ากับครูและเพื่อนร่วมชั้น เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้รับประสบการณ์ตรงจากการปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบตัว สถาปัตยกรรมที่นี่เหมือนถูกออกแบบมาด้วยความรู้สึกนั้นจริงๆ ทุกองค์ประกอบทางกายภาพล้วนเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเป็นตัวของตัวเอง การจัดวางแบบเปิดโล่งและการมีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอดสามชั้นกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็นและอยากสำรวจ การซ่อน “ขุมทรัพย์” ไว้ตามมุมต่างๆ เช่น ห้องลับหรือชั้นหนังสือที่มีช่องมองวิว ช่วยกระตุ้นให้เด็กตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง (inquiry-based learning) ขนาดสเกลของเฟอร์นิเจอร์และพื้นที่ที่เหมาะกับเด็ก ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจเสมือนเป็น “เจ้าของพื้นที่” สามารถนั่งนอนอ่านได้ตามอัธยาศัย ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีอิสระและลดความเป็นทางการที่อาจขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ การเปิดรับแสงธรรมชาติและมองเห็นต้นไม้แม่น้ำภายนอกยังช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย กระตุ้นประสาทสัมผัสและสมาธิไปพร้อมกัน ตัวแม่บีเองเวลาที่ตื่นเต้นมองหนังสือภาพที่อยู่ด้านหน้าจนตาล้า พอสักพักหนึ่งก็สามารถมองออกไปที่ธรรมชาติและกลับมาโฟกัสหนังสือใหม่ได้
ที่มา : Design Boom
ถ้าจะให้พูดถึงสถาปัตยกรรมของ Nakanoshima Children’s Book Forest แม่บีมองเห็นว่านักออกแบบได้หลอมรวมแนวคิดด้านการศึกษาเข้าไว้กับการออกแบบพื้นที่ ทำให้การอ่านหนังสือกลายเป็นประสบการณ์ที่สนุก น่าค้นหา และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจสำหรับเด็กๆ ทุกคน
ไม่ใช่ห้องสมุดเก็บหนังสือ แต่คัดเลือกหนังสืออย่างละเอียดละออโดยภัณฑารักษ์
นอกจากสถาปัตยกรรมและพื้นที่ที่น่าตื่นเต้นแล้ว แม่บีจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย ภายใน Nakanoshima Children’s Book Forest มีคลังหนังสือภาพขนาดใหญ่ประมาณ 20,000 เล่ม ครอบคลุมหนังสือหลากหลายประเภทและเนื้อหา เพื่อเปิดโลกการเรียนรู้ของเด็กๆ อย่างกว้างขวางที่สุด หนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือเด็กและเยาวชน ภาษาญี่ปุ่น ทั้งนิทานภาพ วรรณกรรมเยาวชน และสารคดีสำหรับเด็ก แต่ก็มีหนังสือต่างประเทศอยู่จำนวนหนึ่งด้วย เพื่อให้เด็กได้สัมผัสภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น หนังสือนิทานภาษาอังกฤษ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหนังสือบางส่วนที่แม้ผู้ใหญ่เองก็สนใจได้ เช่น นวนิยาย บทกวี หรือหนังสือศิลปะ ที่คัดสรรมาเพื่อกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของทุกวัย โดยหนังสือทั้งหมดนี้เปิดให้ผู้อ่านหยิบอ่านได้อย่างเสรีภายในพื้นที่ บรรดาหนังสือจำนวนมากได้รับบริจาคหรือมอบให้โดยประชาชนทั่วไปที่ร่วมตอบรับคำเชิญชวนของอันโดในการสร้าง “ป่าแห่งหนังสือ” แห่งนี้ จึงถือได้ว่าเป็นคลังความรู้ที่เกิดจากพลังการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง แม่บีได้ถามเจ้าหน้าที่ที่นั่น เขาเล่าว่าปัจจุบันทางห้องสมุดมีนโยบายคัดเลือกหนังสืออย่างเข้มงวดและยังไม่เปิดรับบริจาคหนังสือเพิ่มเติมโดยตรง เพื่อควบคุมคุณภาพเนื้อหาตามแนวทางที่วางไว้
12 หมวดหมู่หนังสือที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็ก “ค้นพบหนังสือ”
จุดเด่นของการจัดหนังสือที่นี่คือ แนวทางการจัดหมวดหมู่ที่ไม่ยึดตามระบบห้องสมุดทั่วไป พื้นที่นี้ไม่ได้จัดตามหมวดดิวอี้หรือแบ่งตามกลุ่มอายุอย่างตายตัว แม่บีประทับใจเรื่องนี้มาก เพราะหนังสือภาพควรเป็นสิ่งที่เด็กสามารถเลือกได้โดยไม่ได้ต้องจำกัดอายุ ที่นี่ใช้วิธีจัดหนังสือตาม “หัวข้อความสนใจ” ทีมภัณฑารักษ์ (แม่บีถามย้ำแล้วเขาใช้คำว่า “Curator” ไม่ใช่ “Librarian”) นำโดย คุณโยชิทาคา ฮาบะ (Yoshitaka Haba) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหนังสือ มาคัดสรรหนังสือหลากหลายประเภท โดยไม่จำกัดยุคสมัยหรือแนวเรื่อง แต่เน้นเลือกหนังสือที่สามารถพูดคุยกับสายตาไร้เดียงสาและความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเด็กๆ
โดยจัดเรียงหนังสือออกเป็น 12 หมวดหมู่หัวข้อใหญ่ กระจายอยู่ตามชั้นต่างๆ ของ “ป่า” แห่งนี้
หัวข้อทั้ง 12 นี้น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ
- ธรรมชาติและการละเล่น (Nature and Play)
รวมหนังสือที่ชวนให้เด็กสำรวจโลกธรรมชาติ ดอกไม้ แมลง ป่า ทะเล ไปจนถึงเรื่องราวของการเล่น การปีนป่าย และโลกกลางแจ้ง และความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ - ร่างกายเคลื่อนไหว (Moving Bodies)
หนังสือเกี่ยวกับกีฬา การเต้นรำ การเคลื่อนไหวของร่างกาย ไปจนถึงชีววิทยาเบื้องต้น ช่วยให้เด็กเข้าใจร่างกายของตนเองและเพลิดเพลินกับพลังของการเคลื่อนไหว สำหรับเด็กที่ชอบกิจกรรมแต่อาจไม่ค่อยอ่านหนังสือ เขาก็จะแนะนำให้ลองอ่านเรื่องฮีโร่นักกีฬา กติกา เทคนิคกีฬา เป็นต้น - สัตว์โลกผองเพื่อน (Animals)
รวบรวมสารานุกรมและนิทานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวไปจนถึงสัตว์ป่านานาชาติ รวมทั้งไดโนเสาร์และสัตว์ในตำนาน เด็กที่รักสัตว์จะนั่งจมอยู่ในหัวข้อนี้อย่างแน่นอน - ชีวิตประจำวัน (Everyday Life)
เรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งใกล้ตัว เช่น ครอบครัว โรงเรียน ความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต ช่วยสะท้อนและตั้งคำถามกับโลกที่เด็กอยู่ทุกวัน - เรื่องกินเรื่องใหญ่ (Food and Eating)
นิทานและสารคดีเกี่ยวกับอาหาร การทำอาหาร พืชผัก การกินอย่างรู้เท่าทัน สื่อสารเรื่องวัฒนธรรมผ่านรสชาติและประสบการณ์ - โอซาก้า → ญี่ปุ่น → โลก (Osaka → Japan → World)
เรียงลำดับความใกล้ไกลจากเมืองบ้านเกิดไปยังโลกกว้าง เพื่อให้เด็กเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวแล้วค่อยๆ เปิดรับความหลากหลายของวัฒนธรรม - สิ่งสวยงาม (Beauty)
ศิลปะ ดนตรี สี เสียง และภาพ พื้นที่ที่ปลูกฝังความชื่นชมในความงามและกระตุ้น art appreciation ตั้งแต่วัยเด็ก - เรื่องเล่าและภาษา (Stories and Words)
นิทาน บทกวี กลอน คำศัพท์ ภาษา การเล่นคำ – หนังสือที่สานสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพลังของถ้อยคำและการสื่อสาร - อนาคตจะเป็นอย่างไรนะ? (What Will the Future Be Like?)
หนังสือที่กระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เช่น นิยายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หุ่นยนต์ สิ่งประดิษฐ์ - คิดเรื่องอนาคต (Thinking about the Future)
ตั้งคำถามเกี่ยวกับสังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี หรือความยั่งยืน เป็นพื้นที่ฝึก critical thinking และ global citizenship - การมีชีวิตอยู่ / การตาย (Living / Dying)
นิทานที่พูดถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพราก หรือการเปลี่ยนผ่านชีวิต ด้วยวิธีที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับวัยเด็ก เพื่อพัฒนาความเข้าใจทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เด็กเข้าใจการมีชีวิต และการจากลาอย่างเป็นธรรมชาติและมีความหวัง - สำหรับผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็ก (For Adults Around Children)
หมวดนี้เป็นพิเศษที่แตกต่างจากหมวดอื่น และทำให้แม่บีรู้สึกว่าเขาออกแบบมาอย่างละเอียดจริงๆ เพราะพื้นทีอ่านหนังสือภาพสำหรับเด็ก เด็กจะมาเองไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องพามา ดังนั้นพื้นที่นี้เขาจึงรวบรวมหนังสือสำหรับพ่อแม่ ครู และผู้ดูแลเด็ก เช่น หนังสือแนะนำการเลี้ยงดูเด็ก การศึกษา จิตวิทยาเด็ก ฯลฯ เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้วิธีส่งเสริมเด็กๆ อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ควบคู่กับเด็ก ช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
แนวทางจัดหมวดหมู่เชิงแนวคิดเช่นนี้ ทำให้เด็กๆ สามารถเดินไปยังชั้นหนังสือหัวข้อที่ตนเองสนใจได้ทันที เด็กที่รักสัตว์ก็จะถูกดึงดูดด้วยป้าย “สัตว์” เด็กที่ชอบวิ่งเล่นก็อาจตรงไปที่หมวด “ร่างกายเคลื่อนไหว” ส่งเสริมการเลือกอ่านตามความสนใจใฝ่รู้ของเด็ก (interest-based learning) แทนการบังคับให้เด็กเลือกตามระดับหรือหมวดแบบเดิมๆ ผลคือเด็กมีแนวโน้มจะพบหนังสือที่ “โดนใจ” ตนเองจริงๆ และเกิดแรงบันดาลใจในการอ่านมากขึ้น
ที่มา Shinsuke Ito
นอกจากนี้ การที่หนังสือหลายเล่มถูกจัดวางแบบโชว์ปกหันออก (outward-facing) เต็มผนัง ก็ช่วยดึงความสนใจเด็กเล็กๆ ที่ยังอ่านหนังสือไม่คล่องให้เลือกหยิบหนังสือจากภาพหน้าปกที่ตนสนใจได้ง่าย ในขณะที่บางส่วนก็ถูกซ่อนให้ดูลึกลับและสงบนิ่งเล็กน้อยอย่างหมวดหมู่ชีวิตและการตาย จะอยู่ในห้องทรงกระบอกเป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า การออกแบบคลังหนังสือและการจัดวางของ Book Forest ถูกออกแบบมาอย่างแยบคายเพื่อสร้างประสบการณ์ “ค้นพบหนังสือ” ที่สนุกและเปี่ยมความหมาย เมื่อเดินเข้ามาใน “ป่า” แห่งนี้พวกเขาสามารถเดินดูไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้ความสนใจของตนเองนำทางไปสู่หนังสือเล่มถัดไป ชั้นหนังสือที่เรียงรายด้วยปกที่ดึงดูดสายตาและหัวข้อที่กระตุ้นความอยากรู้ ทำให้การหาอ่านหนังสือกลายเป็นการผจญภัยที่เด็กๆ เป็นผู้กำหนดเส้นทางเอง สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาที่ว่า “เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเขามีแรงจูงใจจากภายในและได้เลือกเรียนสิ่งที่ตนสนใจ” ห้องสมุดแห่งนี้จึงแตกต่างจากห้องสมุดทั่วไปตรงที่ไม่ได้มุ่งให้เด็กอ่านหนังสือตามรายการบรรณารักษ์หรือหลักสูตร หากแต่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กจะ “สนุกกับการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน” ด้วยตัวเอง อันเป็นรากฐานของการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านระยะยาว
หมวดหมู่ 00 “ชั้นหนังสือของคนนั้น” กับกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้
นอกจากสถาปัตยกรรมและหนังสือที่เป็นแรงดึงดูดแล้ว ภายใน Nakanoshima Children’s Book Forest ยังมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบจัดขึ้นเป็นประจำ เพื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ของเด็กๆ ในมิติที่กว้างยิ่งขึ้น กิจกรรมเหล่านี้ออกแบบมาให้สอดคล้องกับความสนใจของเด็กและสนุกสนาน ได้ทั้งความรู้และประสบการณ์ทางสังคม ไปพร้อมกับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ตัวอย่างกิจกรรมที่จัดขึ้น ได้แก่ กิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างความคิดสร้างสรรค์ เช่นการประดิษฐ์กจิกรรมส่งเสริมการอ่านกลางแจ้ง ที่ใช้พื้นที่สวนรอบๆ ห้องสมุด กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมที่เชื่อมกับหนังสือ เช่นการเชิญนักวาดภาพประกอบนิทานมาวาดภาพสด (Live Painting) ประกอบการเล่านิทาน หรือการจัดแสดงละครหุ่น กิจกรรมเล่านิทาน (Storytelling) หรือกิจกรรมเสวนาที่ทางห้องสมุดเชิญบุคคลสร้างแรงบันดาลใจจากวงการต่างๆ มาพูดคุยกับเด็ก เช่น “Session in the Forest” ที่เคยจัดให้ ทาดาโอะ อันโด (สถาปนิกผู้ออกแบบสถานที่นี้) สนทนากับ ฮารุโอมิ โฮโซโนะ (Hosono Haruomi ศิลปินนักดนตรีระดับตำนานของญี่ปุ่น) ในหัวข้อ “สิ่งที่อยากบอกกับเด็กๆ” ผู้เข้าร่วมกิจกรรมซึ่งมีทั้งเด็กโตและผู้ปกครองได้ฟังมุมมองและประสบการณ์ชีวิตจากทั้งสองท่านอย่างใกล้ชิด
ที่มา Design Boom
แม่บีได้มีโอกาสเหลือบไปเห็น หมวดหมู่ 00 หรือ มุม “ชั้นหนังสือของคนนั้น” (Ano hito no hondana) ที่จัดขึ้นใกล้ทางเข้า ซึ่งตอนนั้นมีการนำหนังสือที่ศ.ชินยะ ยามานากะ (Shinya Yamanaka) นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของที่นี่ เคยอ่านในวัยเด็กหรือหนังสือที่ท่านแนะนำมาจัดแสดงไว้
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้พื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่เก็บหนังสือ แต่กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและดึงดูดให้เด็กอยากกลับมาอีกบ่อยๆ
คุณตาคามิชิไบกับห้องทรงกระบอกที่เปิดการอ่านในรูปแบบใหม่ในยุคดิจิตัล
ที่มา Design Boom
นอกจากนี้ เมื่อเดินลงไปยังชั้นล่างสุดของ พื้นที่นี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์การอ่านรูปแบบใหม่ อย่างตอนที่แม่บีไปมีการติดตั้งผลงานสื่อผสมของทีม Rhizomatiks Design ที่สร้างสรรค์เป็น “หนังสือภาพเคลื่อนไหว” ฉายบนผนังห้องทรงกระบอกโดยหยิบยกคำศัพท์หรือฉากสำคัญจากหนังสือนิทานมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหวคล้ายละครภาพเงา ในรูปแบบ kamishibai ซึ่งถ้าใครเคยอ่านหนังสือคุณตาคามิชิไบ (หนังสือแปลโดยมูลนิธิเอสซีจี) ที่เป็นคนพานิทานเงาผ่านกล่องตู้สี่เหลี่ยมขี่จักรยานไปเล่าให้เด็กๆ ฟังในพื้นที่ต่างๆ จะเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่วิธีการนี้ถูกปรับให้มาเป็นรูปแบบดิจิตอล เด็กๆ ที่เข้าไปในห้องนี้จะได้สัมผัสบรรยากาศเสมือนหลุดเข้าไปอยู่ในนิทาน ช่วยกระตุ้นจินตนาการและเชื่อมโยงการอ่านกับภาพและเสียง เป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อที่หลากหลาย
พื้นที่เคารพธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
Nakanoshima Children’s Book Forest สร้างขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อว่า “เด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาได้มีอิสระในการสำรวจและค้นพบสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง” แนวทางการออกแบบสภาพแวดล้อมและกิจกรรมทุกอย่างที่นี่จึงมุ่งสนับสนุน “การเรียนรู้ตามธรรมชาติ” (natural learning) หรือการเรียนรู้อย่างเป็นไปเองของเด็กๆ แต่ละคน แม่บีขอสรุปแบบ learning designer’s nerd มาให้อ่านกันเล็กน้อย
ที่มา Nikei Asia
- ส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเอง (self-directed learning): เด็กที่มาที่ Book Forest สามารถเลือกเส้นทางการอ่านและการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การเดินเลือกหนังสือตามหมวดที่ตนสนใจ การตัดสินใจหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านเพราะหน้าปกหรือหัวข้อถูกใจ ไปจนถึงการเลือกที่นั่งอ่านที่รู้สึกสบายใจ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยกำหนดหรือบังคับทิศทางอย่างเข้มงวด การจัดหนังสือเป็นหมวดหมู่หัวข้อเปิดกว้าง แทนการจัดแบบห้องสมุดดั้งเดิม ช่วยกระตุ้นให้เด็ก “ลองหยิบ” หนังสือได้ง่ายขึ้น และเกิดการเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นในการออกแบบที่กระตุ้นให้เด็กอยากสำรวจ เช่น ลิ้นชักลับในขั้นบันไดในมุมเด็กเล็ก ที่เด็กๆ สามารถเปิดออกมาเจอหนังสือนิทานซ่อนไว้ข้างในได้ เมื่อเด็กน้อยพบหนังสือในลิ้นชักก็ดีใจร้อง “อ๊ะ!” แล้วหยิบออกมาดูทีละเล่มๆ อย่างตื่นเต้น ประสบการณ์เล็กๆ นี้คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็ก คือตัวอย่างของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
- การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการเคลื่อนไหว (play-based & kinesthetic learning): ที่นี่เข้าใจเปนอย่างดีว่าเด็กอยู่นิ่งได้ไม่นาน ^^ การออกแบบพื้นที่แห่งนี้จึงต่างจากห้องสมุดทั่วไปที่มักเน้นให้เด็กนั่งเงียบๆ อยู่กับที่ ที่ Book Forest เด็กๆ ได้ขยับร่างกายและเล่นระหว่างการเรียนรู้ ตลอดเวลา เช่น การเดินวิ่งขึ้นลงบันไดใหญ่เพื่อหยิบหนังสือ การปีนขึ้นมุมบันไดเตี้ยๆ ในโซนเด็กเล็กที่ออกแบบให้เหมือนบ้านต้นไม้หลังเล็ก เด็กจะรู้สึกสนุกและไม่อุดอู้อยู่กับที่ สิ่งแวดล้อมนี้ตอบสนองธรรมชาติของเด็กที่ชอบเคลื่อนไหว จึงช่วยให้การอ่านและการเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ
- บรรยากาศที่กระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์: ทั้งสถาปัตยกรรมและสื่อการเรียนรู้ในห้องสมุดนี้ล้วนจุดประกายจินตนาการ เด็กๆ ได้เห็นภาพปกหนังสือหลากหลายสีสันรอบตัว ได้ยินเรื่องเล่าจากกิจกรรม ได้ชมภาพเคลื่อนไหวจากนิทานบนผนัง สิ่งเหล่านี้สร้างประสบการณ์หลายประสาทสัมผัส ซึ่งเอื้อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและติดตรึงในความทรงจำ
- เรียนรู้แบบองค์รวมที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง: แนวทางของ Book Forest รวมเอาการเรียนรู้ด้านต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เด็กไม่ได้แค่เรียนรู้จากตัวหนังสือเท่านั้น แต่ยังได้ซึมซับทักษะชีวิตและคุณค่าทางสังคม เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมเล่านิทานฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ฝึกการฟัง การตั้งคำถาม การเข้าร่วมเวิร์กช็อปได้ฝึกการทำงานเป็นกลุ่มและเคารพความคิดเพื่อน และการมีหมวดหนังสือสำหรับผู้ปกครองช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในครอบครัว (children-and-parent learning) พ่อแม่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกหรือการศึกษา ทำให้เข้าใจการเรียนรู้ของเด็กและสามารถสนับสนุนได้ดีขึ้น เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ตามธรรมชาติ
และนี่คือความประทับใจต่อ Nakanoshima Children’s Book Forest ที่แม่บีมองเห็นว่าพื้นที่นี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเรียนรู้ของเด็กในทุกมิติ ทั้งกาย ใจ และสังคม เด็กๆ ได้เรียนรู้ตามจังหวะของตนเองอย่างสนุกและผ่อนคลาย พวกเขาได้สำรวจโลกกว้างผ่านหนังสือหลากหลาย ได้เล่นและเคลื่อนไหวควบคู่การอ่าน ได้ซึมซับแรงบันดาลใจจากผู้ใหญ่ใจดีและวัฒนธรรมการอ่าน ซึ่งจะช่วยปลูกฝังให้เด็กๆ เหล่านี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่รักการอ่าน รักการเรียนรู้ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต
อยากให้มีพื้นที่แบบนี้ที่ประเทศไทยบ้างจัง ^^
Writer

Admin Mappa
illustrator

Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด