จินตนาการส่งด่วน: ช่องว่างของจินตนาการ ความยากจน และเหตุผลที่เด็กคนหนึ่งสามารถพาชีวิตตัวเองไปได้ไกลกว่าเด็กอีกคนหนึ่ง

จินตนาการส่งด่วน: ช่องว่างของจินตนาการ ความยากจน และเหตุผลที่เด็กคนหนึ่งสามารถพาชีวิตตัวเองไปได้ไกลกว่าเด็กอีกคนหนึ่ง

เมื่อซีรีส์  “สงครามส่งด่วน” ทำให้เราตั้งคำถามว่าอะไรทำให้เด็กบางคนฝันไปได้ไกลกว่าข้อจำกัดของชีวิต

เมื่อ “Mad Unicorn” หรือ “สงครามส่งด่วน” ซีรีส์ไทยเรื่องใหม่ขึ้นอันดับ 1 ใน Netflix ประเทศไทยและติดอันดับ 4 ของโลกออกฉาย หลายคนต่างชื่นชมเรื่องราวของ “สันติ” หนุ่มจากครอบครัวยากจนในดอยวาวี จังหวัดเชียงใหม่ที่สร้างธุรกิจจนกลายเป็น สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น รายแรกของประเทศไทย ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้พวกเราชาว Mappa ดูแล้วเกิดคำถามว่า “อะไรทำให้เด็กบางคนสามารถฝันและจินตนาการไปได้ไกลกว่าข้อจำกัดของชีวิต”

แม้ว่า “ความคิด” หรือ “จินตนาการ” อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือร่ำรวยขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า คนที่ฝ่าฟันข้อจำกัดในชีวิตได้ พวกเขาต้องมีความสามารถในการจินตนาการถึงชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่  

น่าตั้งคำถามร่วมกันว่า เพราะอะไร ‘สันติ’ ที่บ้านอยู่บนดอย ฐานะยากจน มีแม่ผู้เสียสละแต่ก็เศร้าสร้อย มีพ่อใช้ความรุนแรง อยู่ในชุมชนที่เพื่อนพ้องยกพวกตีกัน ถึงสามารถจินตนาการได้ไกลกว่าข้อจำกัดเหล่านั้นของชีวิต 

ในทางกลับกัน เด็กอีกหลายคนในสังคมไทยกลับติดอยู่ใน “ช่องว่างของจินตนาการ” หรือที่เรียกว่า Imagination Gap คือการที่พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะคิดถึงชีวิตที่ดีไปกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยเห็นหรือได้รับมาแล้ว ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพรสวรรค์หรือความขยัน แต่มันคือเรื่องของความสามารถในการจินตนาการถึงอนาคตที่แตกต่าง ซึ่งถูกจำกัดด้วยสภาพแวดล้อม สังคม และระบบการศึกษา (Thomas, 2019; Reich, 2017)

มีตัวอย่างของเด็กชายขอบบางคนที่หน่วยก้านดี มีความสามารถ และเรียนหนังสือดี แต่เมื่อถามถึงความฝันหรือเป้าหมายชีวิต เขากลับตอบว่าอยากเป็นแค่คนขับรถบรรทุก เหตุผลก็คือเขาไม่เคยเห็นชีวิตหรืออาชีพที่แตกต่างจากนี้เลย จินตนาการสูงสุดที่เขามีอยู่จึงเป็นเพียงสิ่งที่เคยสัมผัสผ่านสายตาของตัวเอง นี่แสดงให้เห็นว่าช่องว่างของจินตนาการไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทฤษฎี แต่เป็นปัญหาที่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวันของเด็กไทยหลายล้านคน

การที่เด็กไม่ได้รับ “พื้นที่ให้จินตนาการ” อย่างเพียงพอ (ฐิติกาญจน์ และคณะ, 2567) หลายครอบครัวและโรงเรียนในไทยเต็มไปด้วยการอบรมสั่งสอนที่หนักแน่น แต่แคบเกินกว่าที่เด็กจะได้คิดนอกกรอบ สถานการณ์เช่นนี้เองที่ทำให้เด็กไม่สามารถจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ได้

งานวิจัยจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ., 2567) ชี้ชัดว่าเด็กไทยที่มีฐานะยากจนมักติดอยู่ในกับดักของความคิดที่ว่า “ชีวิตคงไม่ดีไปกว่านี้” เด็กเหล่านี้ขาดความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงชีวิต และระบบการศึกษาก็มักไม่ได้ช่วยเติมเต็มความเชื่อมั่นนี้ และกลับยิ่งตอกย้ำให้เด็กคิดว่าตัวเองเป็น “คนด้อยโอกาส” ซึ่งต่างจากสันติที่ถึงแม้ครอบครัวยากจนแต่ตัวเขายังคงหล่อเลี้ยง “ทุนจินตนาการ” เอาไว้ในชีวิตตัวเองได้

เรามาอ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “Imagination Gap” หรือช่องว่างของจินตนาการ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่อธิบายว่า จินตนาการสำคัญอย่างไรกับความพยายามของชีวิต และเพราะอะไรเด็กที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน กลับมีอนาคตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวของเด็กสองคน: ความแตกต่างที่เปลี่ยนชะตาชีวิต

ลองจินตนาการเด็กสองคนที่เกิดในหมู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวยากจนเหมือนกัน:

เด็กคนแรก เติบโตมาพร้อมกับการได้ยินคำถาม “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” แล้วตอบว่า “อยากเป็นคนขับรถบรรทุก” เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเห็นรอบตัว แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ มีหน่วยก้านดี แต่ภาพคิดฝันที่ไปได้ไกลที่สุดเหล่านั้นคือขีดจำกัดของจินตนาการที่เขามี

เด็กคนที่สอง เหมือนสันติในซีรีส์ แม้จะเติบโตมาท่ามกลางความรุนแรงจากพ่อ ความยากลำบากของแม่ แต่เขากลับมี “ความสามารถในการจินตนาการถึงชีวิตที่ดีกว่าครอบครัว และเรื่องเล่าเดิมๆ ของสังคม”

อะไรทำให้เด็กสองคนนี้แตกต่างกัน?

สันติ: เด็กที่ทะลุผ่าน “เรื่องเล่าเดิมๆ ของสังคม”

สันติในซีรีส์ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งพิเศษใดๆ ไม่ได้มีความสามารถมากกว่าคนอื่น เขาไม่ได้ฉลาดกว่าใคร แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป คือเขาพร้อมที่จะมองเห็นโอกาส และมีความกล้าที่จะไม่เชื่อ ‘เรื่องเล่า’ ที่สังคมขีดขอบเขตไว้ให้เขา 

ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ รับเอาคำบอกเล่าแบบเป็นนัยๆ จากสังคมโดยไม่รู้ตัวว่า “เด็กอย่างเรา ควรมีความฝันแค่นี้” “ถ้าพ่อแกเคยติดคุก ชีวิตแกก็อยู่ในคุกนั่นแหล่ะ” หรือสารพัดคำพูดบั่นทอนกำลังใจที่กรอบชีวิตเด็กและเยาวชนหลายคนในปัจจุบัน ตัวละครอย่างสันติกลับใช้เวลาในชีวิตคิดฝันถึง​ “โลกที่ดีกว่าเดิม” โลกใบนี้อาจไม่ใช่ โลกจริงๆ อย่างที่รู้กัน แต่เป็นโลกของเขา โลกของแม่ โลกของน้องชาย และขยับขยายไปถึงการที่โลกมีบริษัทรับส่งของในราคาที่คนเข้าถึงได้ และใครก็สามารถส่งของไปให้กันและกันได้ 

เงินในกระเป๋าและรูปลักษณ์ภายนอกไม่ทำให้เขาหดความฝันตัวเองเลย เมื่อต้องไปอยู่ท่ามกลางคนฐานะดี  หรือเมื่อผู้ใหญ่รอบข้างออกจะดูแคลนว่า “อย่าฝันใหญ่เกินไป จะผิดหวัง” และแม้เขาจะเผชิญกับความรุนแรงจากพ่อและความยากลำบากในครอบครัว สันติไม่ได้ยอมให้มันกลายเป็นข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะยอมแพ้ เขากลับเลือกที่จะใช้ความเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นพลังในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า

งานวิจัยที่บอกว่า “จินตนาการไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน” 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสันติไม่ใช่เรื่องบังเอิญ งานวิจัยหลายชิ้นอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ชัดเจน หนึ่งในนั้นคือประเด็นเรื่อง 

ภาวะขาดความมุ่งหวัง : Aspirations Failure งานวิจัยที่บอกว่า ความยากจนขโมยความฝัน

งานวิจัยใน The Economic Journal โดย Dalton, Ghosal และ Mani พบว่า ความยากจนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเงิน แต่เป็นปัญหาของการจินตนาการ 

เด็กที่เกิดมามีฐานะยากจนมักมี “หน้าต่างความคิด” (Cognitive Window) ที่แคบกว่าเด็กที่มีฐานะ พวกเขาใช้ประสบการณ์ของคนจำนวนน้อยที่อยู่รอบๆ ตัวเขาในการกำหนดความฝัน และความมุ่งหวังของตัวเอง ส่งผลให้เกิด “Aspirations Failure” หรือ ความล้มเหลวในการตั้งความมุ่งหวังให้เท่ากับศักยภาพที่แท้จริง

งานวิจัยพบว่า Aspirations Failure เป็นผลลัพธ์ของความยากจน ไม่ใช่สาเหตุ นั่นหมายความว่าเด็กไม่ได้เกิดมาโดยไม่มีความฝัน แต่ความยากจนได้ “ขโมย” ความฝันของพวกเขาไป

งานวิจัยของ Jamie Hanson ยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้น โดยยกเอาการวิจัยสมองของเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน มักมีพัฒนาการของสมองส่วน hippocampus ต่ำกว่าปกติ

ทำไมสิ่งนี้สำคัญ? เพราะ hippocampus คือส่วนของสมองที่ควบคุมความสามารถในการจินตนาการและวางแผนอนาคต ซึ่งนี่คือหลักฐานทางชีววิทยาที่อธิบายว่าทำไมเด็กจากครอบครัวยากจนจึง คิดฝันถึงอาชีพได้ไกลไม่เกินพ่อแม่หรือคนในชุมชนของเขา 

การศึกษาทำลายจินตนาการ

“คะแนนแค่นี้ น่าจะไปเรียนสายอาชีพดีกว่า” 

“เด็กเงียบๆ แบบนี้ไม่เหมาะเป็นผู้นำหรอก”

“ไม่ค่อยเก่งคณิต ไม่ต้องไปคิดเรื่องวิทยาศาสตร์”

“เด็กผู้หญิงไม่ต้องเรียนเก่งเกินไป จะแต่งงานยาก”

“ดูเพื่อนสิ เก่งกว่าเยอะ เรายังไงจะไปแข่งกับเขาได้”

“อย่าฝันใหญ่เกินไป เดี๋ยวจะผิดหวัง”

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความยากจนเพียงอย่างเดียว ระบบการศึกษาไทยเองก็มีส่วนในการสร้างช่องว่างทางจินตนาการเช่นกัน 

ลองคิดดูว่าแต่ละวัน คำพูดจากความผิดหวังของวัยผู้ใหญ่ทำให้เด็กมีความคิดต่อตนเอง (Self Concept) อย่างไรบ้าง

นอกจากนั้น ตารางเวลาของชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยการบ้าน การสอบ ชั้นเรียน การวัดผลด้วยวิธีการเดียวกัน หรือวัดศักยภาพว่าชีวิตของเด็กหนึ่งคนจะไปได้ไกลแค่ไหน ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับระบบการศึกษาเพียงเท่านั้น 

ผู้เขียนนึกถึงเรื่องจริงจากกุมารแพทย์ท่านหนึ่งที่เคยเขียนถึงเด็กวัย 7 ขวบคนหนึ่งชอบวาดรูป วันหนึ่งเขาวาดภาพทะเลที่มีหมาว่ายน้ำ เมื่อครูเห็นเข้าก็ตำหนิ “ในทะเลต้องมีแต่กุ้งหอยปูปลา ทะเลมีหมาไม่ได้” เด็กพยายามอธิบายว่าเขาเคยพาหมาไปเที่ยวทะเลจริงๆ แต่ครูกลับว่าเด็กดื้อและตีลงโทษ 

หลังเหตุการณ์นั้น เด็กคนนั้นก็เลิกวาดรูปไปเลย

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “กรอบความคิดผู้ใหญ่ที่ตายตัว” สามารถทำลายโลกแห่งจินตนาการในใจเด็กได้อย่างรุนแรง

แล้วลองย้อนกลับไปอ่านคำพูดข้างต้น ที่เด็กๆ ได้ยินอยู่ทุกวัน 

ว่าคำพูดเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาคิดกับชีวิตของตัวเองแบบไหน

DEMOCRATIZING IMAGINATION : ทำให้ความสามารถในการจินตนาการเป็นเรื่องของทุกคน 

ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าอะไรทำให้เกิดช่องว่างนี้ แล้วเราก็รู้ด้วยว่า “จินตนาการ” คือความสามารถที่มนุษย์ทุกคนมีได้ แล้วเราจะทำให้เด็กๆ ทุกคนมีสิ่งนี้ได้อย่างไร? 

มาดู 3 ทางเลือกนี้ไปด้วยกัน 

  1. การสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้จินตนาการ 

บางครั้งสิ่งที่เด็กต้องการไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยพอให้กล้าฝัน เมื่อเด็กได้อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครตัดสิน ไม่มีใครบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” พวกเขาเริ่มปลดปล่อยจินตนาการที่ถูกกักขังมานาน เริ่มพูดถึงความฝันที่แปลกใหม่ เริ่มวางแผนอนาคตที่กว้างไกลกว่าที่เคยคิด พื้นที่แบบนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ใหญ่โต อาจเป็นแค่การที่ผู้ใหญ่หยุดใช้คำว่า “เป็นไปไม่ได้” และเริ่มถามว่า “แล้วถ้าเป็นไปได้ล่ะ จะเป็นยังไง?” ยกตัวอย่างเช่น ในยุคปัจจุบันที่ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต และการทำงาน แทนที่ผู้ใหญ่จะพูดถึงความน่ากลัว ภาวะการเลิกจ้างงานและแทนที่ด้วย AI เราอาจจะต้องเรียนรู้ใหม่ แล้วชวนพวกเขามองถึงโลก ถึงโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตของพวกเขา เราเรียนรู้มาจากอดีตนักต่อนักแล้วว่า การใช้คำขู่และความกลัว ไม่ได้สร้างแรงจูงใจ หรือบางครั้งมันก็ทำได้ แต่ผลที่ความกลัวทิ้งไว้ก็รุนแรงไม่แพ้กัน 

  1. Cultural Content เรื่องเล่าเร้าพลัง เมื่อเรื่องเล่าในสังคมเปลี่ยน narrative ใหม่ให้กับเด็กไทย 

เมื่อเด็กได้เห็น “คน” ไม่ว่าอาชีพไหน พื้นฐานชีวิตเป็นอย่างไร ก็ประสบความสำเร็จ อะไรบางอย่างได้ เรื่องราวที่วนเวียนอยู่ในหัวของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป งานวิจัยเรื่อง Child Sponsorship พบว่าการให้เด็กได้เห็น “ตัวอย่างความสำเร็จ” เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง 0.25 การมองโลกในแง่ดี 0.26 และความมุ่งหวัง 0.29 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นี่คือพลังของ cultural content ที่สร้างขึ้นอย่างมีเจตนา ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือในการขยาย “หน้าต่างความคิด” ของผู้ชม “Mad Unicorn” “สงครามส่งด่วน” ทำหน้าที่คล้ายกัน เมื่อเด็กไทยที่กำลังชมซีรีส์เรื่องนี้ ดูสันติผู้มาจากครอบครัวยากจน สามารถสร้างธุรกิจระดับประเทศได้ พวกเขาเริ่มเห็นว่าตัวเองก็สามารถเป็นเหมือนสันติได้ เรื่องเล่าที่เคยจำกัดพวกเขาไว้ เริ่มถูกแทนที่ด้วยเรื่องเล่าใหม่ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ 

  1. สิ่งสำคัญที่สุด :หยุดทำลายจินตนาการ 

บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การ “ทำ” อะไร แต่อาจเป็นการ “หยุดทำ” อะไรด้วย หยุดพูดว่า “คะแนนแค่นี้ น่าจะไปเรียนสายอาชีพดีกว่า” เริ่มถามว่า “นอกจากคะแนน แล้วเราเก่งเรื่องอะไรอีกบ้าง?” หยุดพูดว่า “อย่าฝันใหญ่เกินไป จะผิดหวัง” เริ่มพูดว่า “ฝันใหญ่ดีนะ แล้วเราจะเริ่มจากไหนดี?” บางครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ง่ายและเร็วที่สุด เริ่มต้นจากการที่ผู้ใหญ่ตระหนักถึงการกระทำ และคำพูดของตัวเองของเด็กๆ เลิกเล่าเรื่องจากข้อจำกัดเดิมเพื่อให้เด็กมีชีวิตเพียงเพื่อได้มองเห็นแค่กรอบของชีวิตพวกเขา เพราะเมื่อเด็กและเยาวชนมีความสามารถในความฝันและจินตนาการที่ไปพ้นจากเรื่องเล่าในโลกของผู้ใหญ่ เมื่อพวกเขาไม่ยอมให้ใครมากำหนดขอบเขตของความฝัน พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมองโลกด้วยดวงตาของตัวเอง ไม่ใช่ดวงตาของคนรุ่นก่อน 

วันนี้ “สงครามส่งด่วน” ที่ต้องส่งไปท่ัวประเทศไทยอาจไม่ใช่พัสดุ แต่เป็น “จินตนาการ” ไปสู่อนาคตที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ พวกเรามารีบส่งให้ทั่วไทยแบบ Next Day Delivery เลยนะคะ ^^

แหล่งอ้างอิง:

  • Kara Yorio (2019). “Ebony Elizabeth Thomas on Magic, the Imagination Gap and ‘The Dark Fantastic’.” School Library Journal. slj.com
  • ปวริศา ตั้งตุลานนท์ (2564). “อย่าปล่อยให้การศึกษาของเด็กไทยจบอยู่แค่ในจินตนาการ – Limited Education 2021.” สำนักข่าว The Standard.thestandard.co
  • เบญจพร สันตสูติ (ประมาณ 2562). “ความคิดที่ถูกตีกรอบทำให้จินตนาการของเด็กหายไป.” เน็ตป๊าม้า (บทความออนไลน์).netpama.com
  • Passanan Assavarak (2025). “การสร้าง Growth Mindset ในเด็กไทยจากชีวิตจริงของนักเรียนช้างเผือก.” KMUTT Contributor Platform.contributor.lib.kmutt.ac.th
  • ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ (2568). บทความอ้างถึงงานวิจัยเรื่องผลของ Growth Mindset ในโรงเรียนไทย. (สรุปเผยแพร่บน KMUTT Contributor)contributor.lib.kmutt.ac.th
  • Equitable Education Fund – EEF (2567). “เมื่อความยากจนส่งผลต่อ Growth Mindset ของเด็ก.” (รายงานเผยแพร่ 30 ม.ค. 2024)research.eef.or.th
  • Constance de Saint Laurent & Vlad Glăveanu (2022). “How to use ‘possibility thinking’ to solve problems creatively.” Psyche (Aeon).psyche.copsyche.co
  • ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล และคณะ (2567). “จินตนาการใหม่ของเยาวชนไทยสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสังคม.” ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว 101 PUB (ตีพิมพ์ 8 ส.ค. 2024)101pub.org
  • Brian Reich (2017). The Imagination Gap: Stop Thinking the Way You Should and Start Making Extraordinary Things Happen. (Emerald Publishing) – อ้างถึงใน Porchlight Books Blogporchlightbooks.com