

‘พะเยา’ หมู่บ้านที่ไม่ปล่อยให้เด็กโตลำพัง
‘พะเยา’ หมู่บ้านที่ไม่ปล่อยให้เด็กโตลำพัง
คุยกับครอบครัวยิ้ม โครงการที่ทำให้พื้นที่มั่นใจว่าเด็กทุกคนต้องถูกมองเห็นและทั้งครอบครัวจะต้องได้ยิ้มไปด้วยกัน
โลกที่เด็กไม่ควรโตคนเดียว
เด็กๆ กำลังเผชิญกับปัญหาที่พ่อแม่รุ่นก่อนไม่เคยจินตนาการ เด็กติดเกมออนไลน์จนไม่ไปโรงเรียน บุหรี่ไฟฟ้าที่หาซื้อง่ายกว่าขนมที่ชอบ ยาเสพติดราคาถูกที่ทำให้เด็กหาซื้อง่ายและเสพย์จนกลายเป็นโรคทางจิตเวชในชุมชน แต่ที่น่าสะเทือนใจคือ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมาตรการการแก้ไขของรัฐแม้สักเรื่อง
ในขณะเดียวกัน ระบบครอบครัวแบบดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนแปลง พ่อแม่วัยแรงงานต้องไปทำงานรับจ้าง เหลือให้ปู่ย่าตายายดูแลหลาน แต่โลกดิจิตัลก็มาเร็วเกินกว่าที่ผู้สูงอายุจะเท่าทัน
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ภาพที่ผุดขึ้นในหัวเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับเด็กและชุมชน คือระบบราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็ก แต่ตามข้อมูลของ UNICEF ประเทศไทยมีนักสังคมสงเคราะห์เพียง 4 คนต่อประชากร 100,000 คน และขาดแคลนนักสังคมสงเคราะห์ถึง 7,000 คนในระดับท้องถิ่น
ในจังหวัดพะเยามีกลุ่มคนที่ทำงานต่อเนื่องมากว่า 20 ปี ค้นพบสิ่งหนึ่งที่เรียบง่ายแต่ทำงานกับชุมชนอย่างแท้จริง เพราะเด็กต้องการพัฒนาทักษะใหม่ ต้องการผู้ใหญ่ที่มองเห็นเขาจริงๆ และมองเห็นอย่างสม่ำเสมอ ชุมชนรอบตัวเด็กจึงกลายเป็นระบบนิเวศที่ใกล้ชิดรองลงมาจากบ้าน ผู้ใหญ่ในชุมชนเองคือคนที่รู้จักเด็กในชุมชนของตัวเองดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบสอบถามหรือผู้เชี่ยวชาญมาบอกว่าใครคือ “เด็กกลุ่มเสี่ยง” เพราะพวกเขามองเห็นกันอยู่ทุกวัน
นี่คือเรื่องราวของการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากคนตัวเล็กๆ ในชุมชน และเปลี่ยนผ่านการแก้ปัญหาชุมชนจาก “expert-led” (ผู้รู้นำ) สู่ “community-led” (ชุมชนนำ) อย่างแท้จริง
เรื่องราวไม่ได้มีแค่คอนเซ็ปต์สวยๆ
เพราะในวันนี้ 70 ตำบลในโครงการครอบครัวยิ้ม เราสามารถอุ่นใจได้ว่า “เด็กทุกคนใน 70 ตำบลนั้น จะถูกมองเห็นด้วยผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งแน่นอน”
และโลกที่กำลังวุ่นวายและเปลี่ยนแปลงอย่างโกลาหลนี้
เด็กอาจต้องการผู้ใหญ่เพียง 1 คน ที่มองเห็นเขา
และไม่ทำให้เขาต้องผ่านความท้าทายเหล่านั้น…เพียงลำพัง
วันนี้ Mappa นั่งลงคุยกับ พี่หนุ่ม อนุวัฒน์ จันทร์เขต ผู้รับผิดชอบโครงการครอบครัวยิ้ม และพี่อึ่ง ทวีสิน วงศ์เรือง ผู้ประสานงานโครงการครอบครัวยิ้มจังหวัดพะเยา
แล้วพวกเราอยากให้ทุกคนได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้
และได้เห็นความพยายามของกลุ่มคนเล็กๆ ที่กำลังทำเรื่องเล็กๆ ที่รับประกันอนาคตและทิศทางของทุนที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย นั่นก็คือ ทุนมนุษย์
พื้นที่ที่ไม่รอให้เด็กพังแล้วค่อยซ่อม
Community-based Child Protection & Early Detection ในพะเยา
โครงการครอบครัวยิ้มเกิดขึ้นจากแนวคิดง่ายๆ สองข้อ ที่คุณณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. ออกแบบขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ที่มีเพียงสองข้อความ คือ “เลี้ยงเด็กหนึ่งคนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” และ “ชุมชนนำ”
“แนวคิดนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร จริงๆ มันง่ายและเป็นมนุษย์ที่สุด” พี่หนุ่มอธิบาย “ข้อแรก ลูกเราอยู่ในชุมชนเรา ถึงลูกเราจะดี ถ้าข้างๆ มีปัญหาเนี่ย มันก็ใช่ว่าลูกเราจะดีตลอด ข้อที่สอง สมัยก่อนเรามีต้นทุนเรื่องระบบเครือญาติที่คอยดูแลคอยประคับประคองลูกหลานเราในชุมชน แต่เดี๋ยวนี้มันถูกทำลายไป เราก็เอากลับมาใหม่”

การทำงานแบบ “ชุมชนนำ” ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ชุมชนแก้ปัญหาเองโดยไม่มีความรู้ แต่เป็นการพลิกวิธีคิดจากการที่ให้ผู้รู้ นักวิชาการ หรือเจ้าหน้าที่ไปสอนหรือให้ความรู้ก่อน มาเป็นการให้ชุมชนเริ่มจากสิ่งที่เขาทำได้ มองเห็นเด็กให้ได้ทุกคน และค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกัน
“ปัญหาเด็กตอนนี้ บางบ้านพ่อแม่ไม่ได้ตีลูกหรอก บางบ้านเรียกว่ากลัวลูกดีกว่า กลัวว่าเดี๋ยวพูดแรงไป เด็กจะเดินหนีออกจากบ้าน กลัวว่าเด็กจะขู่ทำร้ายตัวเอง หรือโพสต์อะไรบางอย่างให้คนอื่นเห็นว่าสภาพจิตใจที่บ้านกำลังพัง แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายคือพ่อแม่ไม่พูด ไม่สอน ไม่เข้าใกล้ ปล่อยให้ลูกอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้อง ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะไม่รู้จะรับมืออย่างไรกับโลกแบบใหม่ที่พ่อแม่ไม่ทัน แล้วก็ไม่เข้าใจมันอีกต่อไป มันเป็นความกลัวไปหมด และความกลัวนี้ทำให้ครอบครัวแยกขาดจากกัน” พี่หนุ่มเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่สิ่งที่พี่หนุ่มพูดไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาในชุมชนเท่านั้น ปัญหานี้คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหลายๆ ปัญหาครอบครัวที่ไม่ได้ถูกพูดออกมาของเด็กในเมืองด้วยเช่นกัน เด็กบางคน ‘หายไป’ แล้วเรียบร้อย ทั้งที่ยังอยู่ในบ้าน อยู่ในห้องเรียน และแม้จะยังนั่งอยู่ตรงนั้น มีตัวตนให้เราเห็น แต่เขา ‘หายไป’ พร้อมกับผู้ใหญ่และระบบที่ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังหายไปเมื่อไหร่
นี่คือ ข้อมูลและสิ่งที่ชาวบ้านทำกันเองในนาม “ครอบครัวยิ้ม”
โครงการที่หากเรารู้จุดเริ่มต้นของโครงการก็ออกจะฟังดูแปลกๆ สักหน่อย เพราะโครงการพัฒนาส่วนใหญ่ล้วนเริ่มจากข้อมูลขนาดใหญ่ (BIG DATA) ของภาครัฐ และมีผู้กำหนดนโยบายเป็นคนระบุปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา หานักวิชาการ นักพัฒนา และเครื่องมือต่างๆ มาแก้ปัญหาชุมชน แนวทางลักษณะนี้ทำให้ชุมชนถูกมองเป็น “ผู้รับ” และ “ผู้รอความช่วยเหลือ” หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข
แต่สำหรับโครงการครอบครัวยิ้ม BIG DATA ที่ว่า เก็บโดย “สายตา” และ “หัวใจ” ของชาวบ้าน และผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชน ไม่มีแบบบันทึกพิเศษ เพราะไม่มีแบบบันทึกไหน หรือฟอร์มไหนจะครอบคลุมการบันทึกปัญหาที่ซับซ้อนของเด็กได้มากพอ
ที่สำคัญคือ ไม่มีแบบบันทึกไหนไปพร้อมกับความเห็นอกเห็นใจ และสายตาที่ทำให้เด็กรู้ว่า “พวกเขาได้รับการมองเห็นแล้ว”
ผู้ระบุปัญหาก็เป็นคนในชุมชนเอง รวมถึงทางออกหลายๆ ทาง คนในชุมชนสามารถแก้ไขกันได้เอง และแก้ได้ทันใจ ทันท่วงที ตั้งแต่ปัญหาอย่างเช่น เด็กไม่มีอาหารเพียงพอ หรือการประสานงานเมื่อค้นเจอเด็กถูกทำร้าย หรือมีแม่เด็กบางคนกำลังเลือกจะจบชีวิต แม้แต่ภาครัฐบางหน่วยงานใหญ่ๆ ที่ต้องการข้อมูลเพื่อเร่งแก้ปัญหาอย่างน้ำท่วม หรือบ้านทรุดที่ต้องรีบซ่อมแซม ชาวบ้านก็สามารถส่งรูปหรือข้อมูลบ้านผ่านไลน์กลุ่มได้เลย
เป็นวิธีการทำงานแบบ “ง่ายๆ” “บ้านๆ” แต่กระบวนการทำงานแบบนี้ พลิกมุมมองต่อตัวเองของชาวบ้านในชุมชน ว่าเขาไม่ใช่ปัญหา แต่เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างทางออกจากปัญหา
เราอาจจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ลองคิดว่า ถ้ามีคนในชุมชนสัก 400-500 คนที่มีมุมมองว่าพวกเขาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ได้ต้องรอคอยความช่วยเหลือ นี่คือการมี Active Citizen เป็นประชากรที่ไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็ต้องการ
เด็กพะเยา: เติบโตกับตายายและกำลังเผชิญโลกที่ไม่เคยมีในวัยเด็กของยายและตา
ถ้าจะถามว่า “เด็กในจังหวัดพะเยาแตกต่างจากเด็กในเมืองใหญ่อย่างไร” คำตอบอาจไม่ได้เริ่มที่เรื่องเทคโนโลยีหรือระบบการศึกษา แต่เริ่มต้นจากคำเรียบง่ายอย่างคำว่า ‘ครอบครัว’—ซึ่งในพื้นที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่พ่อแม่ลูกเหมือนที่ตำราอธิบาย

“ที่นี่คำว่าครอบครัวมันไม่ใช่ว่าพ่อแม่ลูก บางคนมีพ่อแม่ บางครอบครัวก็แม่-ลูก บ้างก็พ่อ-ลูก ตา-หลาน ยาย-หลาน ปู่-หลาน ย่า-หลาน” พี่อึ่งเล่าอย่างชัดเจนว่าโครงสร้างของครอบครัวในพะเยานั้นแตกต่างจากเมืองใหญ่ “วัยแรงงาน ที่พ่อแม่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ในพะเยานี่มีน้อยมาก”
เด็กจำนวนมากจึงเติบโตกับปู่ย่าตายาย หรือญาติคนอื่นในเครือ นี่ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ไม่รักลูก แต่เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจบีบให้ผู้ใหญ่ต้องออกไปหางานต่างถิ่นเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด ในขณะที่ผู้ดูแลที่บ้าน มักเป็นผู้สูงอายุ ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ที่ซับซ้อนกว่าชีวิตวัยเด็กของพวกเขาเสียอีก
ปัญหาใหม่ในโลกที่ผู้ใหญ่เท่าทันไม่ทัน
แม้จะยังมีโครงสร้างเครือญาติหลวม ๆ คอยประคับประคอง แต่ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีกลับไหลเข้ามาเร็วเกินกว่าที่ผู้สูงอายุในชุมชนจะรับมือได้ทัน และความเร็วของเทคโนโลยี ก็มาพร้อมปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน

ในพะเยาเช่นเดียวกับอีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศปัญหาที่เด็ก ๆ เผชิญไม่ได้ต่างจากเมืองใหญ่ แต่กลับหนักแน่นขึ้นด้วยความเปราะบางของโครงสร้างครอบครัว อันดับหนึ่ง: เด็กติดเกมและมือถือ อันดับสอง: บุหรี่ไฟฟ้าที่หาซื้อง่ายกว่าข้าวเหนียว และอันดับสาม: ยาเสพติด ที่ไม่ได้จบลงแค่การเสพ แต่ลุกลามไปสู่โรคทางจิตเวช
“ผมเพิ่งไปที่กาฬสินธุ์ คือยาเสพติดตัวนี้ มันร้ายแรงถึงขั้นทำให้เด็กเป็นโรคทางจิตเวชแล้ว” พี่หนุ่มเล่า “หมออนามัยบอกว่า ตำบลเรามีเด็กป่วยด้วยโรคทางจิตเวช 9 คน ซึ่ง 9 คนผมถือว่าเยอะมากแล้วในหนึ่งตำบล แต่ชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นทันที บอกว่า ‘ไม่ใช่ ไม่ใช่ มีเยอะกว่านี้อีกเยอะ’”
การรับรู้ของชุมชน แม้จะไม่ได้มีตัวเลขในมือ แต่กลับแม่นยำในแบบที่ไม่มีแบบสำรวจไหนเข้าใจได้เท่า เพราะพวกเขาเห็นเด็กทุกวัน เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ระบบตรวจจับไม่ทัน เห็นแววตาที่เปลี่ยนไป เห็นการขาดเรียนที่เริ่มบ่อยขึ้น
และนั่นคือคำถามสำคัญว่า โครงการอย่าง ครอบครัวยิ้ม ที่มีอาสาสมัครนับพันกระจายอยู่ใน 70 ตำบลทั่วประเทศ จะทำอะไรได้บ้างกับปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้
เด็กทุกคนต้องได้รับการมองเห็น
“มันแปลกดีที่เรารู้หมดว่าใครปลูกข้าว ใครเปิดร้าน แต่กลับไม่รู้เลยว่าเด็กบ้านไหนกำลังเปลี่ยนไป ทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุมชน เป็นลูกเป็นหลานของพวกเราเอง” พี่หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ

สิ่งที่ ครอบครัวยิ้ม ทำ ไม่ได้เริ่มจากแบบฟอร์ม ไม่ได้เริ่มจากแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือไฮเทค แต่เริ่มจากคำถามง่าย ๆ ในวงคุยของชาวบ้าน “เห็นเด็กคนนั้นไหม เคยเจอกันทุกเช้า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหน้าเลย ใครอยู่ซอยนั้นบ้าง ลองแวะไปดูหน่อยไหม”
พี่อึ่งเล่าเสริมว่า บางครั้งแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบ้านแล้วตะโกนถาม “วันนี้ไปโรงเรียนไหมลูก?”ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่เด็กบางคนเปิดใจเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้าน ตั้งแต่เช้าจนถึงเมื่อคืน ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่พูดเก่ง แต่เพราะเด็กเห็นหน้าเขาทุกวัน และเพราะผู้ใหญ่คนนั้นคือคนในหมู่บ้าน ไม่ใช่ใครแปลกหน้า คือคนที่เคยแบ่งน้ำกิน คนที่แม่เขาเคยยืมเงิน คนที่ป้าข้างบ้านคุยด้วยทุกเช้า

“เรารู้ว่าแม่เขาเป็นยังไง พ่อเขาไปไหน ป้าข้างบ้านดูแลเขายังไง แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้ปกติหรือเปล่า มีอะไรผิดปกติหรือยัง” พี่อึ่งเล่า “สิ่งเหล่านี้เราต้องดูแลกันเอง เพราะที่นี่คือบ้านของเรา ไม่ใช่ของใครคนอื่น”
กลไกข้อมูลแบบชาวบ้าน: ระบบ Early Warning ที่รัฐก็คิดไม่ถึง
สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งในโครงการครอบครัวยิ้ม ไม่ใช่เพียงจำนวนอาสาสมัครที่กระจายอยู่ในหลายตำบล แต่คือ “ระบบข้อมูล” ที่เรียบง่ายแต่แม่นยำ และเร็วกว่าเครื่องมือดิจิทัลของภาครัฐ
ในแต่ละหมู่บ้าน ครอบครัวที่มีเด็กจะถูกจำแนกเป็น เขียว เหลือง แดง ตามระดับความเสี่ยงหรือปัญหาที่เกิดขึ้น การแบ่งเช่นนี้เพื่อให้การดูแลถูกส่งต่อไปได้ทันก่อนที่อะไรจะสายเกินไป
“มันจะมีเขียว เหลือง แดง คนในหมู่บ้านเขาจะรู้เลยว่า แดงหลังไหน เหลืองหลังไหน” พี่หนุ่มอธิบาย นี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุดในการให้ชาวบ้านเป็นทีม และที่น่าประทับใจไม่ใช่แค่คำตอบ แต่คือความไวของข้อมูล “เขารู้กระทั่งว่าใครย้ายไปไหน เวลาประมาณกี่โมง เขารู้อัปเดตตลอดเวลา เรื่องราวในชุมชนอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา”
นี่แหละคือสิ่งที่พี่หนุ่มเรียกว่า “ดาต้าแบบบ้าน ๆ” ระบบข้อมูลที่ไม่ได้ป้อนลงคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องรอรวบรวมรายงานรายปี แต่เกิดขึ้นจากสายตาและหัวใจของคนที่อยู่ตรงนั้นจริง ๆ

“ถ้าลงคอมอ่ะครับ ปีหนึ่งกว่าจะได้อัปเดต” พี่หนุ่มพูดพร้อมหัวเราะ “แต่อันนี้ไวมาก เพราะว่าเขาเห็นว่าบ้านหนึ่งมีอยู่ 4-5 หลัง เขาก็นึกออกแล้ว หลับตายังนึกออกเลยว่าบ้านหลังไหนเป็นหลังไหน”
และเพราะทุกคนมีข้อมูลที่อัปเดตอยู่ในใจ เมื่อมีโครงการจากรัฐ อย่างเช่น การซ่อมบ้าน ข้อมูลก็จะถูกส่งต่อผ่านไลน์แบบเรียลไทม์ “มันเด้งมาในไลน์พร้อมกับรูปภาพ มาแล้ว บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้ อันนี้ธรรมชาติที่สุดเลย และภาครัฐก็ยังมาขอข้อมูลจากชาวบ้านด้วย”
นี่ไม่ใช่ระบบที่ตั้งขึ้นเพื่อ “รายงานผล” หรือ “รายงานข้อมูล”
แต่คือระบบที่ตั้งอยู่บนการ “รับรู้ร่วมกัน” ของคนในชุมชน
เป็นข้อมูลที่ชุมชนทำเองได้และนำไปใช้ได้จริง หรือเรียกได้ว่า
“ดาต้าแบบบ้านๆ” นี้คือความห่วงใยและสายสัมพันธ์ที่คนในชุมชนมีให้กัน
เด็กยิ้มอย่างเดียวไม่ได้ ทั้งครอบครัวจะต้องยิ้มไปด้วยกัน
“เด็กจะยิ้มได้ไม่นาน ถ้าพ่อแม่ยังต้องสู้กันเอง ”
พี่หนุ่มพูดคำนี้ไว้แบบไม่ต้องใส่น้ำเสียงอะไรมาก แต่ทำให้เราต้องหยุดฟัง
เพราะในหลายโครงการที่เราเห็นภาพเด็กหัวเราะอยู่หน้ากล้อง ความจริงที่อยู่หลังบ้านอาจเป็นแม่ที่ทำงานล่วงเวลาจนไม่ได้กินข้าวกับลูก พ่อที่พยายามซ่อนหนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ หรือปู่ย่าที่ต้องดูแลหลานกันเองโดยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน “ถ้าเราไปโฟกัสแค่เด็ก แล้วพ่อแม่ยังอยู่ในวงจรเดิม ไม่กล้าพูด ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ มันก็ไปไม่รอด”พี่อึ่งบอกกับเรา เขาเล่าว่า หลายครั้งที่เจอเด็กมีปัญหา แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เด็ก แต่อยู่ที่พ่อแม่ อยู่ที่ครอบครัว อยู่ที่ฐานะทางเศรษฐกิจ
“ครอบครัวยิ้ม” จึงไม่ได้หมายถึงการฝืนยิ้ม แต่คือ การที่คนในชุมชน ไม่ใช่แค่ช่วยเด็กเท่านั้น แต่กล้ายื่นมือไปถามแม่ว่า “เป็นยังไงบ้างวันนี้ เหนื่อยไหม?” คือการที่โรงเรียนไม่โทรหาแค่เวลาลูกโดดเรียน แต่ถามกลับว่า “พ่อแม่โอเคไหมช่วงนี้?”
“ครอบครัวจะยิ้มได้นานแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่าชุมชนรอบตัวเขา ยอมเปิดใจเข้าหากันแค่ไหนด้วย” พี่หนุ่มสรุป
และนั่นแหละ คือหัวใจของโครงการนี้
ไม่ได้อยากให้ใครยิ้มได้เร็วแค่คนเดียว
แต่อยากให้ยิ้มได้นานไปด้วยกัน
อาสาสมัครได้เห็นครอบครัวยิ้ม แล้วคนทำงาน 20 ปี ได้อะไร
Mappa ฟังเรื่องราวของครอบครัวยิ้มอย่างตื้นตัน พวกเราเองเป็นคนเมืองหลวง เรารู้ดีว่าในเมืองหลวงเล็กๆ ไม่ได้เผชิญปัญหามากมายอย่างในชุมชนแบบที่พี่หนุ่ม กับพี่อึ่ง หรือ พี่ๆ ในโครงการครอบครัวยิ้มกำลังเผชิญอยู่เลย พวกเราฟังแล้วรู้สึกขอบคุณที่มีพี่ๆ และอาสาสมัครที่กำลังทำงานอยู่ตอนนี้จากหัวใจของเราจริงๆ ที่ช่วยกันเป็นกำลังสำคัญดูแลเด็กๆ ของพวกเรา
เราแอบสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือแรงบันดาลใจของบุคคลเหล่านี้
ในโลกของงานอาสาสมัครที่งบประมาณมีจำกัด และปัญหามีไม่จำกัด การยืนหยัดอยู่ได้นานนับสองทศวรรษ ไม่ใช่เพราะมีค่าตอบแทนสูง หรือระบบสนับสนุนเข้มแข็ง แต่เพราะพลังบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ด้วยคำว่า “อาชีพ”

“ได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ” พี่หนุ่มพูดประโยคนี้สั้นๆ แต่มันคือหัวใจทั้งหมดของการเดินทางนี้ “งานนี้ ต่อให้เราเหนื่อย ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์ มีไม่กี่งานหรอกนะที่เราเหนื่อยแล้วชาวบ้านได้ประโยชน์จริงๆ ถ้าเราไปทำงานบริษัท ยิ่งเราเหนื่อย นายทุนก็ยิ่งได้กำไร แต่งานนี้ ยิ่งเราเหนื่อย เด็กในชุมชนอาจได้กลับมาโรงเรียน คนในชุมชนอาจได้กลับมาเข้าใจกัน ผมรู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดที่มีโอาสได้ทำงานนี้”
แรงจูงใจที่ทำให้อยู่ต่อได้ไม่ใช่ความสำเร็จเป็นรายๆ แต่คือการได้เป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาสังคมแบบไม่มีคำว่าจบ พลังที่หล่อเลี้ยงกันและกันระหว่างผู้คนในเครือข่ายระหว่างชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำ อสม. และทีมอาสาสมัครทำให้ทุกการพบปะไม่ใช่แค่การประชุมงาน แต่คือ “เพื่อน” “มิตรภาพ” และคือ “พลังชีวิต” ที่ค่อยๆ เติมเข้ามา

“ความรู้สึกทางใจมันแรงมาก บอกเป็นคำไม่ได้หรอก แต่มันทำให้เราไม่วาง ไม่ทิ้ง” พี่อึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “เราก็อยากทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเงินครับ แต่ไม่มี ก็ขับเคลื่อนด้วยใจก็ได้” พี่หนุ่มพูดติดตลก
ฟังพี่ๆ แล้วเราพอเข้าใจว่า มันคือ “การได้อยู่อย่างมีความหมาย” กับใครบางคน กับชุมชนบางแห่ง กับสังคมบางส่วนในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ และนั่นอาจเพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตของ คน ชุมชน และเครือข่ายครอบครัวยิ้ม
ความหวังสำหรับอนาคต
เมื่อถามถึงอนาคต คำตอบของพี่หนุ่มไม่ได้เต็มไปด้วยแผนยุทธศาสตร์หรือความหวังใหญ่โต แต่กลับเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และเปี่ยมด้วยความเข้าใจต่อธรรมชาติของปัญหา
“ผมเชื่อว่าปัญหาพวกนี้มันไม่มีวันจบหรอกครับ ทำเรื่องนี้จบ เดี๋ยวก็มีเรื่องใหม่มาอีก เราต้องพัฒนาตามปัญหาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องแก้ได้ทุกอย่างหรอก แต่ค่อยๆ จัดการไป อย่างน้อยสังคมมันก็ดีขึ้น”
น้ำเสียงของเขาไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่การ “แก้ไขให้จบ” แต่คือการ “อยู่กับมันให้ได้อย่างมีความหวัง”
พี่อึ่งจึงหันไปวางเดิมพันไว้กับ “คน” ในชุมชน

“คาดหวังกับคนเลย กับกลไกในชุมชนท้องถิ่น อยากให้เขาเป็นพระเอกที่สุดเลย คาดหวังว่าทุกท้องถิ่นจะเอาธุระของสังคม อย่าเอาแต่ถนน ไฟฟ้า ประปา ขอให้เอาธุระกับลูกหลานของคุณ คนในตำบลของคุณ คุ้มครองดูแลเขาให้ได้”
เพราะในท้ายที่สุด อนาคตของเด็กไม่อาจฝากไว้กับโครงการระยะสั้น แต่อยู่ที่ว่าทุกตำบลจะมองเห็นเด็กเป็น “ธุระของส่วนรวม” มากแค่ไหน
เกือบจบแล้วขอแถมอีกนิด : เพราะอะไรแนวคิดง่าย ๆ ถึงเดินทางไม่ได้ในระบบใหญ่ ๆ และทำอย่างไรให้มันเดินทางไปด้วยกันได้
หากมองผ่านแว่นของการพัฒนาเชิงระบบ “ครอบครัวยิ้ม” คือแบบฝึกหัดสำคัญของการวางรากฐาน community-based early warning & protection system ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากข้อมูลขนาดใหญ่หรือเทคโนโลยีซับซ้อน แต่เกิดจากสายตาของคนในชุมชนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก่อนใครเสมอ การเฝ้าระวังแบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ระหว่างบ้านกับบ้าน ระหว่างคำถามธรรมดากับความไว้ใจที่สั่งสมมานาน
ข้อมูลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้จึงไม่ใช่แค่ “ข้อมูล” หากคือองค์ความรู้ที่มีชีวิต มีความต่อเนื่อง และอยู่ในบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ความรู้เช่นนี้ไม่อาจหาได้จากการเก็บแบบสอบถามเป็นครั้งคราว หรือการลงพื้นที่ปีละครั้ง แต่คือข้อมูลที่ถูกอัปเดตในทุกวันผ่านความสัมพันธ์จริง และมักจะ “เตือนภัย” ได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเกินแก้
ระบบเฝ้าระวังเช่นนี้จะมีความหมายมากขึ้นอีกหลายเท่า หากสามารถทำงานร่วมกับภาครัฐได้อย่างมีทิศทางและเป้าหมายร่วมกัน เพราะในขณะที่ชุมชนมีดาต้าแบบบ้านๆ ที่เกาะติดชีวิตเด็กอย่างใกล้ชิด ภาครัฐก็มีความรู้ เครื่องมือ และทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเยียวยาและแก้ไขปัญหาเชิงลึก หากทั้งสองระบบนี้สามารถออกแบบการเชื่อมต่อกันได้ดี ไม่ใช่แค่ส่งต่อข้อมูล แต่เป็นการร่วมคิด ร่วมออกแบบ และร่วมรับผิดชอบ จะทำให้เกิดกลไกปกป้องเด็กที่มีทั้งความแม่นยำ เท่าทัน และยั่งยืนมากกว่าเดิม
กล่าวให้ชัดขึ้นคือ เราจำเป็นต้องออกแบบพื้นที่กลางที่ชุมชนไม่ถูกมองเป็นเพียง “แหล่งข้อมูลเบื้องต้น” และรัฐไม่ถูกใช้เป็น “ผู้ลงมาแก้ไขเฉพาะจุด” แต่คือการสร้างพันธมิตรที่เดินร่วมกันอย่างเท่าเทียม ทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดแข็งและข้อจำกัด และหากสามารถออกแบบระบบที่ให้คุณค่ากับจุดแข็งของทั้งสองด้าน จะทำให้เกิดโครงสร้างการดูแลเด็กที่ไม่เพียงแค่ “ตอบสนอง” ต่อปัญหา แต่ “เท่าทัน” ก่อนปัญหาจะเกิด
การทำให้แนวคิด “community-led” เป็นจริง จึงไม่ได้หมายถึงการให้ชุมชนทำงานลำพัง แต่หมายถึงการเชื่อมั่นในศักยภาพของคนในพื้นที่ และสนับสนุนให้ชุมชนเป็นผู้ออกแบบแนวทางที่สอดคล้องกับชีวิตของตนเอง ในขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐก็ต้องปรับวิธีการคิด วิธีการฟัง และวิธีการร่วมมือ เพื่อให้ความรู้และทรัพยากรที่มีอยู่สามารถเสริมพลังให้กับการเฝ้าระวังเชิงชุมชนได้อย่างแท้จริง
นี่ไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินไป เพราะมันได้เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ และสิ่งที่เราต้องทำต่อจากนี้ อาจไม่ใช่การคิดระบบใหม่ทั้งหมด แต่คือการถามให้ชัดว่า เราพร้อมหรือยังที่จะทำให้ “ความสัมพันธ์” กลายเป็นกลไกการคุ้มครองอย่างเป็นระบบ และพร้อมหรือยังที่จะยอมให้เสียงของชุมชนมีที่ยืนเคียงข้างความรู้ของรัฐ “อย่างเท่าเทียม”
Writer
