วัยเดียวกัน ไม่ได้แปลว่าอ่านเหมือนกัน : การอ่านไม่ใช่การต้องตามทันใคร แต่คือการฟังโลกในจังหวะของตัวเอง

วัยเดียวกัน ไม่ได้แปลว่าอ่านเหมือนกัน : การอ่านไม่ใช่การต้องตามทันใคร แต่คือการฟังโลกในจังหวะของตัวเอง

แยกหมวดหมู่ด้วยวัยได้…แต่หัวใจเด็กมีจังหวะของตัวเอง

เราชินไปกับป้าย “0–3 ปี”, “3–5 ปี”, “5–7 ปี” ที่อยู่บนหนังสือสำหรับเด็กที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบในร้านหนังสือ มันทำให้เราคิดว่าเด็กอายุเท่ากันควรอ่านหนังสือระดับเดียวกัน ควรสนใจเรื่องแบบเดียวกัน ควรพัฒนาทักษะการอ่านไปในจังหวะที่เหมือนกัน เรายึดติดกับคำว่า “เหมาะกับวัย” จนลืมฟังเด็กแต่ละคน และลืมไปว่าเด็กก็คือมนุษย์ที่มีจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน

ผู้ใหญ่เฝ้าถามกันว่า “ลูกอ่านได้หรือยัง” “ลูกอ่านได้ถึงระดับไหนแล้ว?” “เปรียบเทียบกับเพื่อนแล้วเป็นอย่างไร?” “ควรจะอ่านได้กี่คำแล้วในวัยนี้?” แต่น้อยคนที่ถามว่า “เขารู้สึกยังไงกับสิ่งที่อ่าน?” “เขาชอบเรื่องแบบไหน?” “เขามีช่วงเวลาไหนที่อยากอ่านที่สุด?” เราต้องการหาตัวเลข ต้องการหาคำตอบที่ชัดเจน แต่กลับลืมไปว่าการอ่านคือประสบการณ์ส่วนตัว เป็นการเดินทางที่แตกต่างกันของเด็กแต่ละคน

คล้ายกับการบอกว่าผู้คนอายุเท่ากันควรหลับตื่นในเวลาเดียวกัน ควรกินอาหารเท่า ๆ กัน ควรรู้สึกกลัวและกล้าหาญในเรื่องเดียวกัน เราลืมไปว่าแม้จะอายุเท่ากัน แต่แต่ละคนมีประสบการณ์ มีบุคลิก มีจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และสิ่งที่เหมาะกับหนึ่งคน อาจไม่เหมาะกับอีกคน แม้เขาจะอายุเท่ากัน

เด็กบางคนไม่ได้ช้า…แค่อาจจะกำลังอ่านโลกอย่างตั้งใจ

เมื่อเราเห็นเด็กคนหนึ่งอ่านหนังสือภาพเล่มเดียวกันไปเรื่อย ๆ เราอาจคิดว่าเขาอ่านไม่ออก หรืออ่านช้า แต่ความจริงอาจเป็นว่าเขากำลัง “อยู่กับมันแบบยังไม่จบ” เขาอาจกำลังค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในภาพที่เขาเคยดู กำลังเชื่อมโยงเรื่องราวกับประสบการณ์ของตัวเอง กำลังใช้เวลาทำความเข้าใจกับอารมณ์ของตัวละคร หรือแค่กำลังสนุกกับการได้อยู่กับเรื่องที่เขาชอบ

เด็กบางคนยังไม่อยากอ่านเอง แต่อยากให้แม่อ่านให้ฟัง ไม่ใช่เพราะเขาอ่านไม่ออก แต่เพราะเขาชอบการได้ฟังเสียงของแม่ ชอบการได้นั่งในอ้อมแขน ชอบการได้แชร์ประสบการณ์กับคนที่เขารัก เขาไม่ได้ยึดติดกับการอ่าน เขายึดติดกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นผ่านการอ่าน

เด็กบางคนชอบอ่านภาพมากกว่าข้อความ เขาสามารถใช้เวลาหลายนาทีกับภาพเดียว เขาอ่านสีหน้าของตัวละคร อ่านท้องฟ้าในภาพ อ่านของเล่นที่กระจัดกระจายอยู่ในห้อง เขาไม่ได้อ่านช้า เขาแค่อ่านแบบที่ลึกซึ้ง อ่านแบบที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด อ่านแบบที่ใช้จินตนาการมากกว่าการจำคำ

การอ่านไม่ควรเป็นสนามแข่งขัน ไม่ควรเป็นการวัดว่าใครเก่งกว่ากัน ใครอ่านเร็วกว่ากัน ใครอ่านได้มากกว่ากัน การอ่านควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้ตีความชีวิต ได้สำรวจความรู้สึก ได้ค้นพบตัวเองผ่านเรื่องราวของผู้อื่น ไม่มีใครช้าเกินไป หรือเร็วเกินไป เมื่อได้อ่านในจังหวะของตัวเอง

อย่าถามว่าอ่านได้แค่ไหน ลองถามว่าอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร

การที่เรามักจะถามเด็กปฐมวัยว่า “หนูอ่านได้แล้วหรือยัง?” “อ่านได้กี่คำแล้ว?” “อ่านคำนี้ได้ไหม?” คำถามเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่มันเป็นคำถามที่มองการอ่านเป็นทักษะ เป็นการแข่งขัน เป็นการวัดผล ไม่ใช่คำถามที่มองการอ่านเป็นประสบการณ์ เป็นความสุข เป็นการเชื่อมต่อ

ลองเปลี่ยนคำถามใหม่ “หนูชอบเรื่องแบบไหน?” “หนูเคยอ่านเรื่องที่ทำให้หนูตื่นเต้นไหม?” “มีตัวละครไหนที่หนูอยากเป็นเพื่อนด้วยบ้าง?” คำถามเหล่านี้เปิดพื้นที่ให้เด็กได้พูดถึงความรู้สึก ได้แบ่งปันประสบการณ์ ได้แสดงให้เราเห็นว่าการอ่านมีความหมายกับเขาอย่างไร

การอ่านที่ดีไม่ได้วัดจากความเร็วหรือปริมาณ มันมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่ได้จากการอ่านนั้น เช่น ความสุข ความพึงพอใจ ความลึก การเชื่อมโยง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เด็กที่ใช้เวลานานกับหนังสือเล่มหนึ่งอาจจะได้ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งกว่าเด็กที่อ่านหนังสือได้หลายเล่มในเวลาเดียวกัน เด็กที่อ่านช้าอาจจดจำความรู้สึกของเรื่องได้มากกว่า จดจำรายละเอียดที่สวยงาม จดจำช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับเรื่องราวนั้น

Louise Rosenblatt เรียกกระบวนการนี้ว่า “Reading as Transaction” การอ่านไม่ใช่แค่การถอดรหัสตัวอักษร แต่เป็นการมีประสบการณ์ร่วมระหว่างผู้อ่านกับเรื่องราว เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่อ่านเข้ากับชีวิตของตัวเอง เป็นการสร้างความหมายใหม่ขึ้นมาจากการปะติดปะต่อเรื่องราวในหนังสือเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัว

เข้าใจพัฒนาการ แต่ไม่ต้องติดกับดักพัฒนาการ

การที่เราเข้าใจพัฒนาการการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ เราควรรู้ว่าเด็กส่วนใหญ่เริ่มจากการรู้จักเสียง (phonemic awareness) ก่อนจะเรียนรู้การเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร (decoding) แล้วค่อยไปสู่การเข้าใจเนื้อหา (comprehension) แต่การรู้ขั้นตอนเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องรีบเร่งให้เด็กทุกคนผ่านขั้นตอนเหล่านี้ในเวลาเดียวกัน

งานวิจัยระบุว่าเด็กที่รู้สึกกดดันกับการอ่านมักเชื่อมโยงการอ่านกับความกลัว ความวิตกกังวล ความรู้สึกไม่เพียงพอ แทนที่จะเชื่อมโยงกับความสุข ความอยากรู้ ความตื่นเต้น เมื่อเด็กเชื่อมโยงการอ่านกับอารมณ์เชิงลบ เขาจะหลีกเลี่ยงการอ่าน หาทางหนีจากหนังสือ แทนที่จะแสวงหาโอกาสที่จะได้อ่านมากขึ้น

องค์กร National Literacy Trust ของสหราชอาณาจักรเน้นย้ำความสำคัญของ “reading enjoyment” ที่มีต่อความสำเร็จในการอ่านระยะยาว เด็กที่มีความสุขกับการอ่านจะพัฒนาทักษะการอ่านได้ดีกว่า และคงความสามารถในการอ่านไว้ได้นานกว่า เด็กที่ถูกบังคับให้อ่าน หรือถูกกดดันให้อ่านให้เก่ง

การเข้าใจพัฒนาการจึงควรเป็นแนวทางในการช่วยเหลือเด็ก ไม่ใช่กรอบที่ใช้ตัดสินหรือเปรียบเทียบ เราควรใช้ความรู้เรื่องพัฒนาการเพื่อสังเกตว่าเด็กแต่ละคนต้องการความช่วยเหลือในด้านไหน ต้องการการสนับสนุนแบบไหน ไม่ใช่เพื่อรีบเร่งให้เขาทำได้เหมือนคนอื่น

บางคนอ่านออกเสียง บางคนอ่านด้วยตา แต่ทุกคนอ่านด้วยใจ

การอ่านมีหลายรูปแบบ และเด็กแต่ละคนมีวิธีการอ่านที่แตกต่างกัน บางคนชอบอ่านออกเสียงดัง ๆ พูดคุยกับตัวละครในเรื่อง ถามคำถามขณะอ่าน บางคนชอบอ่านเงียบ ๆ ในใจ ใช้เวลากับเรื่องราวอย่างส่วนตัว บางคนอ่านด้วยการวาดภาพ ด้วยการเล่าเรื่องใหม่ ด้วยการแสดงท่าทาง

เด็กบางคนอาจอ่านหนังสือโดยไม่พูดสักคำ แต่สีหน้าบอกว่าเขา “อยู่ในเรื่องนั้นเต็มที่” เขาอาจแสดงออกถึงความเข้าใจด้วยการยิ้ม ด้วยการหลับตา ด้วยการกอดหนังสือ เขาอ่านด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยเสียง เขาเข้าใจด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยคำพูด

การที่เราเปิดพื้นที่ให้เด็กแสดงออกว่าเขาเข้าใจเรื่องที่อ่าน “ในแบบของเขา” เป็นการยอมรับว่าการอ่านมีความหมายที่แตกต่างกันสำหรับคนที่มีความแตกต่างกัน

แนวคิดเรื่อง Multiple Literacies เน้นว่าความรู้หนังสือมีหลายรูปแบบ การอ่านภาพ การอ่านอารมณ์ การอ่านสัญลักษณ์ การอ่านผ่านการเคลื่อนไหว การอ่านผ่านเสียงเพลง ล้วนเป็นทักษะการอ่านที่มีค่า เด็กที่อาจจะ “อ่านตัวอักษรช้า” อาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านอารมณ์ของคนรอบข้าง หรือการอ่านความหมายจากสิ่งแวดล้อม

เราไม่ได้ปลูกนักอ่านที่เร็วที่สุด เรากำลังปลูกคนที่อยากอ่านต่อไป

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การเทียบว่าเด็กอ่านได้ระดับไหน เร็วแค่ไหน เก่งแค่ไหน แต่คือการที่เขายังอยากอ่านต่อไป ยังอยากค้นพบเรื่องราวใหม่ ๆ ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นหนังสือ ยังอยากแบ่งปันสิ่งที่อ่านกับคนอื่น

เด็กที่อ่านช้าแต่ชอบอ่าน จะไปได้ไกลกว่าเด็กที่อ่านเร็วแต่เกลียดการอ่าน เด็กที่อ่านน้อยแต่จดจำทุกเรื่องที่อ่าน จะได้ประโยชน์มากกว่าเด็กที่อ่านเยอะแต่ไม่เก็บอะไรไว้ในใจ เด็กที่ยังอ่านไม่คล่องแต่ยังคงหยิบหนังสือขึ้นมาดู จะมีโอกาสพัฒนาต่อไปมากกว่าเด็กที่อ่านเก่งแต่หลีกเลี่ยงหนังสือ

UNESCO Global Education Monitoring Report เสนอแนะว่าการวัดผลที่ยึดตาม “มาตรฐานเดียว” อาจไม่เหมาะกับเด็กทุกคน เพราะเด็กแต่ละคนมีจุดแข็ง มีจุดสนใจ มีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การใช้เกณฑ์เดียวกันวัดเด็กทุกคนเป็นการมองข้ามความหลากหลายทางการเรียนรู้ และอาจทำให้เด็กบางคนรู้สึกล้มเหลว แม้เขาจะมีความสามารถในด้านอื่น ๆ

วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการอ่านไม่ใช่การอ่านให้เก่ง แต่คือการปลูกฝังความอยากรู้ ความอยากฟัง ความอยากอยู่กับหนังสือ เราไม่ได้เลี้ยงเด็กเพื่อให้ทุกคนอ่านหนังสือได้เร็วเท่ากัน แต่เรากำลังปลูก “คนที่อยากอยู่กับหนังสือได้ยาวนาน” และแต่ละคนจะมีจังหวะของตัวเองในการเติบโตกับการอ่าน

การอ่านในจังหวะของตัวเองคือการอ่านที่ยั่งยืน

เมื่อเรายอมรับว่าเด็กแต่ละคนมีจังหวะการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เราจะได้เห็นความงามในความหลากหลาย เราจะได้เข้าใจว่าการอ่านไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการเดินทางส่วนตัวของแต่ละคน เป็นการค้นพบตัวเองผ่านเรื่องราวของผู้อื่น

เด็กที่ได้อ่านในจังหวะของตัวเอง จะเรียนรู้ที่จะไว้ใจในความสามารถของตัวเอง จะเข้าใจว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ จะรู้ว่าความลึกซึ้งสำคัญกว่าความเร็ว จะเชื่อว่าทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องเหมือนใครทั้งนั้น

การอ่านที่เกิดขึ้นในจังหวะของตัวเองคือการอ่านที่ยั่งยืน เป็นการอ่านที่จะคงอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะเขาถูกบังคับ แต่เพราะเขาเลือก ไม่ใช่เพราะเขาต้องการพิสูจน์อะไร แต่เพราะเขาต้องการค้นพบ ต้องการเรียนรู้ ต้องการเติบโต

และนั่นอาจจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราสามารถให้กับเด็ก ไม่ใช่การทำให้เขาอ่านเก่งที่สุด เร็วที่สุด หรือมากที่สุด แต่เป็นการให้เขาได้รู้ว่าการอ่านคือสิ่งที่สวยงาม น่าสนใจ และเป็นของเขาเอง ในจังหวะของเขาเอง ด้วยวิธีของเขาเอง

เพราะการอ่านที่แท้จริงไม่ใช่การตามทันใคร แต่คือการฟังโลกในจังหวะของตัวเอง และในจังหวะนั้น ทุกคนคือนักอ่านที่สมบูรณ์แบบในแบบของตัวเอง


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “การอ่านที่เริ่มต้นก่อนตัวอักษร” EP.4 ที่จะพาเราไปเข้าใจว่า การเคารพในจังหวะการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน คือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความรักในการอ่านที่จะคงอยู่ไปตลอดชีวิต

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts