

“ก่อนจะรู้จักตัวอักษร เด็กก็อ่านโลกได้แล้ว”
“ก่อนจะรู้จักตัวอักษร เด็กก็อ่านโลกได้แล้ว”
จากชุดบทความ : อ่านให้เขาฟังวันนี้ เพื่อให้เขาอ่านโลกของตัวเองเป็นในวันหนึ่ง EP. 1/5
ก่อนที่เด็กจะรู้จัก ก–ฮ หรือ A–Z
ก่อนจะจับดินสอ หรืออ่านออกเสียง
เขาก็ “อ่าน” โลกอยู่แล้ว
และบางครั้ง เขาอ่านมันได้ชัดกว่าเราเสียอีก
เด็กยังไม่รู้จักคำ แต่เด็กกำลังอ่านทุกอย่าง
เด็กไม่ต้องรู้จัก ก–ฮ ก็อ่านโลกได้ เขาอ่านจากสีหน้าของแม่ที่เปลี่ยนจากเพลียไปเป็นยิ้มแย้มเมื่อเขาเข้าไปในวงแขน อ่านความตึงของไหล่พ่อที่แข็งขึ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อ่านความเงียบในจังหวะที่เรายังไม่พร้อมฟัง
เขาอ่านว่าเมื่อเขายิ้ม จะมีใครตอบกลับไหม เขาอ่านว่าการร้องไห้แบบไหนถึงจะได้รับอ้อมกอด การโบกไม้โบกมือแบบไหนที่จะทำให้แม่มาหา และการทำเสียงแบบไหนที่จะทำให้พ่อวิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้ากังวล เขาอ่านได้แม้ในวันที่ผู้ใหญ่ไม่พูดอะไรเลย แต่กลับสร้างความรู้สึกบางอย่างต่อจิตใจเขาได้มากกว่าคำพูดใด ๆ
เพราะ “การอ่าน” สำหรับเด็กเล็กไม่ใช่การแยกแยะตัวอักษร แต่คือการตีความสัญญาณรอบตัวทั้งที่เห็นและไม่เห็น เพื่อประเมินว่าโลกนี้ปลอดภัยแค่ไหน ใครไว้ใจได้ อารมณ์ไหนหมายถึงอะไร และเขาควรจะทำอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา มันเป็นการอ่านเพื่อเอาตัวรอด เป็นการอ่านเพื่อความผูกพัน และเป็นการอ่านเพื่อหาที่ยืนในโลกใบนี้
งานวิจัยของ Feldman (2007) และ Meltzoff & Moore (1977) ยืนยันว่าเด็กมีความสามารถในการตีความอารมณ์ผ่านน้ำเสียง สีหน้า และภาษากายตั้งแต่ช่วงเดือนแรก ๆ ของชีวิต แม้กระทั่งเด็กอายุ 2-3 เดือนก็สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสียงที่เป็นมิตรกับเสียงที่ไม่เป็นมิตรได้ และตอบสนองแตกต่างกันไปตามนั้น เขาไม่ได้รอให้ใครสอนอ่าน เขากำลังอ่านอยู่แล้วตลอดเวลา และอ่านตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลก
เด็กฝึกตีความ จากเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวัน
เด็กเรียนรู้ความหมายจากแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เช่น เมื่อแม่หยิบผ้าห่ม แปลว่าจะได้กอด เมื่อพ่อถอนหายใจแรง ๆ แปลว่าไม่ควรเข้าไปชวนคุย เมื่อคุณยายพูดเสียงเบา ๆ แปลว่าได้เวลานอนแล้ว เมื่อป้าถือโทรศัพท์แล้วหน้าบึ้ง แปลว่าอย่าไปขอขนมในตอนนี้ดีกว่า เด็กเชื่อมโยงพฤติกรรมกับผลลัพธ์ และใช้ข้อมูลเหล่านั้น “อ่าน” โลกของเขาอย่างเงียบ ๆ ทุกวัน
เขาสร้างพจนานุกรมส่วนตัวที่ไม่มีคำขึ้นมา แต่เต็มไปด้วยความหมาย เช่น “การจับตามองนาน ๆ = ใครบางคนกำลังคิดอะไรอยู่” หรือ “การปรับแว่นแต่ไม่ได้ดูหนังสือ = พ่อกำลังกังวล” หรือ “การเปิดตู้เย็นแล้วปิดเฉย ๆ = แม่กำลังอยากกินบางอย่างแต่ไม่รู้ว่าอะไร” เขาไม่เพียงแต่จำ pattern เหล่านี้ได้ แต่ยังสามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
งานวิจัยของ Whitehurst & Lonigan (1998) และ Bornstein et al. (2011) เรียกการเรียนรู้ลักษณะนี้ว่า emergent literacy หรือ ความสามารถก่อนการอ่านอย่างเป็นทางการ ที่ฝังแน่นในรากของอารมณ์และความสัมพันธ์ มากกว่าการฝึกจำตัวอักษรหรือสอนท่อง การเรียนรู้นี้เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่จากการนั่งท่องตัวอักษร
นี่คือการอ่านที่ไม่มีหนังสือ แต่เต็มไปด้วยความหมาย การอ่านที่ไม่ต้องการดินสอหรือกระดาษ แต่ต้องการสายตา หัวใจ และจิตใจที่เปิดกว้าง มันคือการอ่านที่สอนให้เขารู้ว่า การสื่อสารไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเสมอไป และความเข้าใจที่แท้จริงมักจะอยู่ในสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา
หนังสือภาพคือโลกจำลองที่ปลอดภัย
Wordless Picture Book หรือหนังสือที่ไม่มีคำพูดให้เด็กอ่าน แต่มีภาพให้สังเกต สีหน้าให้ตีความ และเรื่องราวให้จินตนาการ นั่นคือพื้นที่ที่เด็กได้ฝึก “อ่าน” โลกโดยไม่มีความกลัวว่าจะตอบผิด เขาสามารถดูภาพตัวละครที่กำลังเศร้าได้นานเท่าที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเร่งให้รีบสรุปความรู้สึก เขาสามารถกลับไปดูหน้าเดิมซ้ำ ๆ เพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่ซับซ้อน หรือเปลี่ยนใจเรื่องสิ่งที่เขาคิดว่าตัวละครรู้สึก
หนังสือภาพจึงกลายเป็นห้องทดลองขนาดย่อม ที่เด็กได้เรียนรู้การแปลอารมณ์ ความตั้งใจ ความเศร้า ความกลัวของตัวละคร โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่เร่งสรุป ไม่มีใครบอกว่า “เขาเศร้าเพราะอะไร” หรือ “เธอควรจะรู้สึกอย่างไร” เด็กได้มีอิสรภาพในการตีความ ได้ผิดบ้าง ถูกบ้าง และค้นพบด้วยตัวเองว่าความรู้สึกหนึ่งสามารถมีหลายชั้นได้ ซึ่งนั่นเรียกว่ามิติความซับซ้อนของอารมณ์ ที่ไม่ใช่โกรธ เท่ากับสีแดง ดีใจเท่ากับสีเหลือง
ในโลกจำลองนี้ เขาปลอดภัยจากการถูกตัดสิน เขาสามารถเดาว่าทำไมเด็กในภาพถึงหลบหน้า โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแก้ไข เขาสามารถคิดว่าสุนัขในภาพรู้สึกอย่างไร โดยไม่ต้องกังวลว่าจะตอบไม่ถูกต้อง หนังสือภาพให้เวลาแก่เขาในการทำความเข้าใจ ให้พื้นที่แก่เขาในการรู้สึก และให้อิสรภาพแก่เขาในการตีความ
Bologna Children’s Book Fair และงานวิจัยของ Nodelman (1988) และ Evans (2008) ต่างเน้นย้ำว่า wordless books คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนา emotional literacy และ critical thinking เพราะมันไม่ได้บอกว่าอะไรคือคำตอบ แต่มันถามเด็กๆ กลับไปว่า “เธอเห็นอะไรในเรื่องนี้” “เธอคิดว่าตัวละครรู้สึกอย่างไร” “ถ้าเป็นเธอ เธอจะทำอย่างไร”
มันเป็นหนังสือที่เชิญชวนให้เด็กเป็นผู้เล่าเรื่องเอง แทนที่จะเป็นผู้ฟังเรื่องเฉย ๆ และในการเป็นผู้เล่า เขาได้ฝึกฝนทักษะการอ่านโลกอย่างลึกซึ้งที่สุด
การอ่านของลูก เริ่มจากสายตาที่เรามองโลกให้เขาดูก่อน
เด็กไม่ได้เริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือคนเดียว เขาเริ่มจากการนั่งบนตักของใครบางคน และฟังเสียงที่เล่าเรื่องให้เขาฟัง ฟังจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเรื่อง ฟังการสั่นเครือของเสียงเมื่อเราพบกับตอนที่น่ากลัว ฟังความอบอุ่นที่แทรกซึมผ่านคำพูดเมื่อเราอ่านถึงตอนที่มีความรัก การเล่านิทานจึงไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเนื้อเรื่อง แต่มันคือการแปลโลกให้เขาฟัง ว่าโลกนี้มีความกลัว ความเศร้า ความกล้าหาญ ความสูญเสีย และความหวังปะปนกันไป
เมื่อเราบอกว่า “เขาคงรู้สึกเหงา” เราไม่ได้แค่อธิบายความรู้สึกของตัวละคร แต่เรากำลังบอกเด็กว่า “ความเหงาเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และมีคนอื่น ๆ ที่รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน” เมื่อเราตั้งคำถามว่า “หนูเคยรู้สึกแบบนี้ไหม” เราไม่ได้แค่พูดคุยสนทนา แต่เรากำลังเชื่อมโยงประสบการณ์ของเขากับโลกที่กว้างขึ้น กำลังบอกเขาว่าความรู้สึกของเขามีค่า มีความหมาย และเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์
การตอบสนองเหล่านี้คือการชวนให้เด็กอ่านโลกผ่านสายตาและหัวใจของตัวเอง แทนที่จะรับเอาคำตอบสำเร็จรูป เรากำลังสอนให้เขาหาคำตอบเอง กำลังฝึกให้เขามั่นใจในการตีความสิ่งที่เขาเห็น กำลังสร้างความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถเข้าใจโลกได้ด้วยตัวเอง
งานของ Rogoff (2003) และ Bowlby (1969) บ่งชี้ว่าการตอบสนองทางอารมณ์ที่อบอุ่นจากผู้ใหญ่ ช่วยพัฒนาเซนส์ของการตีความทางสังคมและอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง เด็กที่ได้รับการตอบสนองแบบนี้จะมีความมั่นใจในการเข้าใจโลก กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และไม่กลัวที่จะผิดพลาดในการเรียนรู้ เพราะเขารู้ว่ามีคนคอยรับฟังและเข้าใจเขาอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์คือพื้นฐานของทุกความเข้าใจ
ก่อนที่เด็กจะอ่านหนังสือได้ เขาต้องรู้ว่าโลกนี้ “สื่อสารกับเขา” หรือ “อ่านเขาออก” หรือไม่ เขาจะไม่พยายามเข้าใจโลก ถ้าเขารู้สึกว่าไม่มีใครพยายามเข้าใจเขา ลองนึกภาพเด็กที่พยายามบอกอะไรบางอย่างผ่านการร้องไห้ การชี้ หรือการทำท่า แต่ไม่มีใครสนใจที่จะแปลความหมาย เด็กคนนั้นจะเริ่มสงสัยว่าการสื่อสารมีประโยชน์หรือไม่ และจะลดความพยายามในการเข้าใจผู้อื่นลงไปด้วย
การตอบสนองของผู้ใหญ่ในปีแรก ๆ ของชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแล แต่มันคือการวางรากฐานของการอ่านใจ การอ่านสังคม และการอ่านตัวเอง เมื่อเราตอบสนองต่อเสียงร้องของเขาด้วยความเข้าใจ เราก็กำลังสอนเขาว่า “เสียงของเธอมีความหมาย และมีคนฟัง” เมื่อเราสบตากับเขาขณะที่เขากำลังสำรวจโลก เราก็กำลังบอกเขาว่า “สิ่งที่เธอสนใจ เราก็สนใจด้วย”
เมื่อเขาส่งสัญญาณมา และเราตอบสนองกลับไปอย่างสม่ำเสมอ เขาจะเรียนรู้ว่าการสื่อสารเป็นกิจกรรมแบบสองทาง เขาจะเริ่มเข้าใจว่าการส่งสัญญาณจะได้รับการตอบกลับ และเขาจะสนใจที่จะอ่านสัญญาณที่ผู้อื่นส่งมาให้เขาเช่นกัน นี่คือจุดเริ่มต้นของการ “อ่าน” อย่างแท้จริง
Family Literacy in Europe (2023) ย้ำชัดว่า ผู้ใหญ่ไม่ใช่แค่ “ผู้อ่านหนังสือ” แต่คือ “ผู้อ่านโลก” ให้เด็ก เราคือแบบจำลองในการทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เราคือตัวอย่างในการตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้อื่น เราคือครูคนแรกที่สอนว่าความเข้าใจนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อเราทำได้ดีพอ เด็กจะค่อย ๆ เริ่มอ่านโลกด้วยสายตาของเขาเอง แบบที่ไม่ต้องรอให้ใครสรุปให้เสมอไป แต่เขาจะมีความมั่นใจในการตีความ ความกล้าหาญในการสงสัย และความอบอุ่นในการเข้าใจผู้อื่น
เด็กอ่านโลกได้ก่อนจะอ่านหนังสือ และบางครั้ง เขาอ่านเราได้ชัดเจนกว่าที่เรารู้ตัว
ก่อนจะอ่านออกเสียง เด็กได้ฝึกอ่านใจเรา ฝึกอ่านสีหน้า ความลังเล ความแน่นของเสียง ความว่างในคำว่า “แป๊บนึง” และความสุขในคำว่า “มาอ่านกันไหม” นานแล้ว เขารู้ดีว่าเราหงุดหงิดแค่ไหนเมื่อเราพูดว่า “ไม่เป็นไร” ด้วยน้ำเสียงที่แข็ง เขารู้ว่าเรากำลังเศร้าแม้เราจะพยายามยิ้ม เขารู้ว่าเรากำลังรีบแม้เราจะบอกว่า “ไม่รีบหรอก”
เด็กสามารถอ่านความเมื่อยล้าในแววตาของเราได้ เขาอ่านความกังวลจากการที่เราดูโทรศัพท์บ่อยขึ้น เขาอ่านความสุขจากการที่เราทำอาหารขณะฮัมเพลง เขาอ่านความผิดหวังจากการที่เรานิ่งเงียบนานกว่าปกติ และเขาอ่านความรักจากการที่เราทำหน้าตลกให้เขาดูเมื่อเขาเศร้า
เขาไม่เพียงแต่อ่านเราได้ แต่เขายังปรับพฤติกรรมของตัวเองตามสิ่งที่เขาอ่านได้ด้วย เมื่อเขาอ่านได้ว่าเราเหนื่อย เขาอาจจะเล่นเงียบ ๆ หรือมานั่งอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ขออะไร เมื่อเขาอ่านได้ว่าเรากำลังเศร้า เขาอาจจะเอาของเล่นที่เขาชอบที่สุดมาให้เรา หรือมากอดเราโดยไม่ต้องใครบอก
เขาไม่ได้รอวันที่รู้จัก A–Z เขาแค่รอว่าโลกจะเป็นที่ปลอดภัยพอให้เขาอ่านมันออกหรือไม่ เขารอวันที่เขามั่นใจว่าเมื่อเขาพยายามอ่านและเดาผิด จะไม่มีใครหัวเราะเยาะ เขารอวันที่เขารู้ว่าเมื่อเขาไม่เข้าใจ จะมีใครคอยอธิบายด้วยความอดทน เขารอวันที่เขาแน่ใจว่าการอ่านคือการผจญภัย ไม่ใช่การสอบ
และถ้าเราจะเริ่มต้นสอนให้ลูกอ่านโลก สิ่งแรกที่ควรทำ อาจไม่ใช่ซื้อหนังสือเล่มใหม่ แต่คือการ “อยู่ตรงนั้น” กับเขา ให้เขาอ่านเราได้ชัดที่สุด ให้เขารู้ว่าเราเข้าใจเขา ให้เขามั่นใจว่าเขาสามารถเข้าใจเราได้ และให้เขาค้นพบว่าการอ่านโลกเป็นสิ่งที่สวยงาม น่าสนใจ และปลอดภัย
เพราะเมื่อเขาเริ่มรู้สึกแบบนั้น เขาจะอ่านไม่เพียงแต่หนังสือ แต่เขาจะอ่านชีวิต อ่านผู้คน อ่านโลก และที่สำคัญที่สุด เขาจะอ่านตัวเองได้ด้วยความเข้าใจและความรัก
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “อ่านให้เขาฟังวันนี้ เพื่อให้เขาอ่านโลกของตัวเองเป็นในวันหนึ่ง” ชุดบทความที่จะพาเราไปสำรวจโลกของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของชีวิต และทำความเข้าใจว่าเด็กเรียนรู้การ “อ่าน” โลกได้อย่างไร ก่อนที่พวกเขาจะรู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว
Writer

Admin Mappa
illustrator

Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด