

นิทานที่ดี ไม่ต้องลงท้ายด้วย “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” เพราะความเงียบหลังจบเรื่อง อาจมีพลังมากกว่าคำสอนหลายประโยค
นิทานที่ดี ไม่ต้องลงท้ายด้วย “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” เพราะความเงียบหลังจบเรื่อง อาจมีพลังมากกว่าคำสอนหลายประโยค
เมื่อเราปิดหนังสือและเด็กนิ่งเงียบ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเขาอาจไม่ใช่ “คำตอบ” แต่เป็น “คำถาม” ที่ยังไม่ได้ออกเสียง เขากำลังคิดว่าถ้าเป็นเขา เขาจะทำยังไงในสถานการณ์นั้น เขากำลังจินตนาการต่อว่าหลังจากจบเรื่อง ตัวละครจะไปทำอะไรต่อ เขากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่มีชื่อเรียก แต่มันคุ้นเคยกับสิ่งที่เขาเคยพบในใจตัวเอง
นิทานที่ดีไม่ได้จบลงด้วยประโยคสุดท้าย แต่จบลงด้วยการเริ่มต้นอะไรบางอย่างในใจของผู้ฟัง มันไม่ได้มาเพื่อปิดท้ายด้วยข้อคิด แต่มาเพื่อเปิดประตูสู่การคิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการถูกบอก แต่เกิดจากการได้สัมผัส ได้ร่วมรู้สึก และได้ค้นพบด้วยตัวเอง
Maria Nikolajeva (2014) ในหนังสือ Reading for Learning: Cognitive Approaches to Children’s Literature ชี้ว่า นิทานที่ดีควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ตั้งคำถามและตีความเรื่องราวด้วยตนเอง แทนที่จะถูกยัดเยียด “ข้อคิด” ที่ตายตัว เพราะเมื่อเราให้คำตอบสำเร็จรูป เราก็กำลังปิดกั้นโอกาสที่เด็กจะได้คิดและค้นหาคำตอบเอง
การอ่านแบบโต้ตอบสองทาง ไม่ใช่การสอบประเมิน แต่เป็นการสนทนาทางความคิด
“หนูคิดว่าเขารู้สึกยังไงนะ?” ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบที่ถูกต้อง แต่เป็นการเชิญชวนให้เด็กเดินเข้าไปในใจของตัวละคร การอ่านแบบ dialogic reading คือการที่ผู้ใหญ่และเด็กมีบทสนทนาโต้ตอบระหว่างอ่านหนังสือ โดยผู้ใหญ่ตั้งคำถามเปิดที่ไม่มีคำตอบเดียว เช่น “ถ้าเป็นหนู หนูจะรู้สึกยังไง?” หรือ “หนูเห็นอะไรในภาพนี้บ้าง?”
การตั้งคำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการทดสอบความจำ แต่ต้องการกระตุ้นให้เด็กใช้ประสบการณ์ของตัวเองมาตีความเรื่องราว ต้องการให้เขาเชื่อมโยงสิ่งที่เขาอ่านกับสิ่งที่เขาเคยรู้สึก และที่สำคัญที่สุด ต้องการให้เขารู้ว่าความคิดของเขามีค่า มีความหมาย และไม่มีใครจะบอกว่าเขาคิดผิด
งานวิจัยของ Whitehurst et al. (1988) พบว่า การอ่านแบบ dialogic reading ช่วยพัฒนาไม่เพียงแค่ทักษะภาษา แต่ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้การคิดวิเคราะห์และเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เด็กเรียนรู้ว่าคำถามไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว และการเข้าใจผู้อื่นเป็นการเดินทางที่ต้องใช้ทั้งใจและสมอง
ในบทสนทนาเหล่านี้ เด็กได้ฝึกการแสดงความคิดเห็น ได้ฝึกการฟังมุมมองของผู้อื่น ได้ฝึกการเปลี่ยนมุมมองเมื่อได้ข้อมูลใหม่ และที่สำคัญที่สุด ได้ฝึกการยอมรับว่าโลกนี้ซับซ้อนกว่าที่เราคิด และคนเราต่างมีมุมมองที่แตกต่างกัน
เรื่องที่ไม่มีตอนจบ คือเรื่องที่ไม่มีวันจบจริง ๆ
ลองนึกถึงนิทานที่จบด้วยประโยคว่า “และเขาก็อยู่อย่างมีความสุขตลอดไป” เมื่อเราได้ยินประโยคนี้ เรารู้สึกอย่างไร? รู้สึกว่าเรื่องจบแล้ว ปิดเล่มได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรต่อแล้ว แต่ถ้านิทานจบด้วยภาพเด็กน้อยที่ยืนมองท้องฟ้า โดยไม่มีใครบอกว่าเขากำลังคิดอะไร เรื่องราวนั้นจะคงอยู่ในใจเราต่อไป
ตัวอย่างหนังสือภาพระดับโลก เช่น The Heart and the Bottle ของ Oliver Jeffers ที่จบด้วยคำถามเปิด ทำให้เด็กได้ใช้จินตนาการและความรู้สึกของตนเองในการตีความเรื่องราว หรือ Where the Wild Things Are ของ Maurice Sendak ที่ปล่อยให้เราสงสัยว่าการผจญภัยของ Max เป็นความฝันหรือเป็นความจริง
การเล่าเรื่องแบบ open-ended narrative หรือเรื่องที่มีเนื้อเรื่องแบบปลายเปิดไม่มีบทสรุปชัดเจน ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้เชิงลึกของเด็ก เพราะเมื่อไม่มีคำตอบที่ตายตัว เด็กจึงต้องใช้ประสบการณ์ ความรู้สึก และจินตนาการของตัวเองมาเติมเต็มช่องว่างที่เรื่องราวทิ้งไว้
นิทานญี่ปุ่นหลายเรื่องเน้นการปล่อยให้ความรู้สึกเดินช้า ๆ โดยไม่บังคับให้สรุปว่าอะไรถูกผิด เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้แบบ implicit moral learning หรือการเรียนรู้คุณธรรมผ่านการร่วมรู้สึก มากกว่าการสอนแบบตรงไปตรงมา เด็กเรียนรู้ความเมตตาไม่ใช่จากการถูกบอกว่า “ต้องมีเมตตา” แต่จากการได้รู้สึกเมตตาต่อตัวละครในเรื่อง
หนังสือภาพคือกระจกเงาของใจ
เมื่อเด็กดูภาพตัวละครที่กำลังเศร้า เขาไม่ได้แค่ดูภาพ เขากำลังมองเข้าไปในความเศร้าของตัวเอง เขากำลังนึกถึงครั้งที่เขาเคยรู้สึกแบบนั้น กำลังเข้าใจว่าความเศร้าเป็นสิ่งที่คนอื่นก็รู้สึกได้เหมือนกัน หนังสือภาพจึงไม่ใช่แค่สื่อกลาง แต่เป็น “พื้นที่ของใจ” ที่เด็กได้พบกับตัวเองผ่านเรื่องราวของผู้อื่น
Nikolajeva & Scott (2001) อธิบายว่า หนังสือภาพช่วยสร้างบรรยากาศที่เด็กได้สัมผัสความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านสีหน้า น้ำเสียง และภาพประกอบ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบ “เห็น” มากกว่า “รู้” เด็กไม่ได้เรียนรู้ว่าความโกรธคืออะไรจากคำนิยาม แต่เขาเรียนรู้จากการเห็นใบหน้าที่โกรธ จากการได้รู้สึกโกรธไปกับตัวละคร จากการได้เข้าใจว่าความโกรธเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และผ่านไปได้
การเรียนรู้แบบนี้ลึกกว่าการเรียนรู้จากคำอธิบาย เพราะมันเก็บไว้ในความรู้สึก ไม่ใช่ในความจำ เด็กจะไม่ลืมความรู้สึกเมตตาที่เขาเคยรู้สึกต่อตัวละครในนิทาน แม้เขาจะลืมชื่อของตัวละครไป เขาจะไม่ลืมความรู้สึกกลัวและกล้าหาญที่เขาเคยผ่านมากับตัวเอกในเรื่อง แม้เขาจะลืมเนื้อเรื่องไป
ความเงียบหลังจบเรื่องคือเสียงของการเรียนรู้
“แล้วต่อไปเป็นยังไงนะ?” เป็นคำถามที่เด็กถามหลังจากได้ยินนิทานจบ และบางครั้ง คำตอบที่ดีที่สุดคือ “หนูคิดว่าต่อไปเป็นยังไงนะ?” การปล่อยให้เด็กคิดเองคือข้อคิดที่ดีที่สุด เพราะในการคิดนั้นเอง เขาได้ใช้ทุกอย่างที่เขามี ทั้งประสบการณ์ ความรู้สึก ความฝัน และความหวัง มาสร้างสรรค์คำตอบของตัวเอง
การไม่รีบสรุปหรือบังคับความหมายจากนิทาน ช่วยให้เด็กได้ฝึกตั้งคำถามและคิดอย่างอิสระ ความเงียบหลังจากจบเรื่องอาจมีพลังมากกว่าคำสอนหลายประโยค (Nikolajeva, 2014) เพราะในความเงียบนั้น สิ่งที่เขาได้ยินไม่ใช่เสียงของใคร แต่เป็นเสียงของความคิดและความรู้สึกของตัวเขาเอง
เมื่อเราให้เวลาเด็กในการคิด เราก็กำลังบอกเขาว่าความคิดของเขามีค่า เวลาของเขามีความหมาย และเขาไม่จำเป็นต้องรีบหาคำตอบ เขาสามารถใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ในการรู้สึก และในการเชื่อมโยงสิ่งใหม่เข้ากับสิ่งเก่าที่เขาเคยรู้
การอ่านนิทานคือการสร้างพื้นที่ว่างให้ใจได้เติบโต
ในสังคมที่เต็มไปด้วยข้อมูล คำตอบ และคำสอน การมีพื้นที่ว่างสำหรับการคิดกลายเป็นของหายาก การอ่านนิทานกับลูกไม่ใช่เพื่อให้ “จำให้ได้” แต่เพื่อให้ “ใจได้สัมผัสบางอย่าง” ที่ไม่มีชื่อเรียก หนังสือภาพจึงไม่ใช่แค่สื่อกลางในการเรียนรู้ แต่เป็นพื้นที่ที่เด็กได้รู้จักตัวเอง ผ่านเรื่องของคนอื่น
เมื่อเราเล่านิทานโดยไม่เร่งสรุป ไม่บังคับความหมาย ไม่ยัดเยียดข้อคิด เราก็กำลังสร้างสวนสำหรับใจของเด็ก ที่ความคิด ความรู้สึก และจินตนาการสามารถเติบโตได้ตามธรรมชาติ เราก็กำลังปลูกต้นไม้ที่จะให้ร่มเงาแก่เขาไปตลอดชีวิต แม้เขาจะลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนปลูก
นิทานที่ดีที่สุดไม่ใช่นิทานที่ให้คำตอบ แต่เป็นนิทานที่ปลุกเร้าให้เกิดคำถาม ไม่ใช่นิทานที่สอนให้รู้ แต่เป็นนิทานที่เชิญชวนให้สัมผัสความรู้สึก ไม่ใช่นิทานที่จบลงเมื่อปิดหนังสือ แต่เป็นนิทานที่เริ่มต้นเมื่อเด็กปิดตาแล้วจินตนาการต่อ
และบางครั้ง นิทานที่ดีที่สุดคือนิทานที่เราไม่เล่า แต่เป็นนิทานที่เราฟังเด็กเล่าให้เราฟัง เมื่อเขาเริ่มเชื่อมั่นว่าเสียงของเขามีค่า เรื่องราวของเขามีความหมาย และโลกพร้อมที่จะฟัง
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “การอ่านที่เริ่มต้นก่อนตัวอักษร” EP.2 ที่จะพาเราไปสำรวจว่า นิทานและหนังสือภาพสามารถเป็นพื้นที่แห่งการคิด การรู้สึก และการเติบโตของเด็กได้อย่างไร โดยไม่ต้องอาศัยการยัดเยียดข้อคิดหรือคำสอน
Writer

Admin Mappa
illustrator

Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด