เมื่อ ‘มิตร’ กลายเป็น ‘พิษ’ : เรื่องที่วัยรุ่นควรรู้เมื่อต้องอยู่กับคน ‘ท็อกซิก’
เมื่อ ‘มิตร’ กลายเป็น ‘พิษ’ : เรื่องที่วัยรุ่นควรรู้เมื่อต้องอยู่กับคน ‘ท็อกซิก’
- คนที่วัยรุ่นคบหาและใช้เวลาร่วมกันนั้นมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรม เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังสร้างตัวตนของตัวเอง
- ในบางกรณี คนที่เป็นพิษ (toxic people) ทำให้วัยรุ่นซึมซับทัศนคติและพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
- การแก้ไขหรือตัดสัมพันธ์คนที่เป็นพิษ รู้จักตัวเองและสร้างระยะห่างที่เหมาะสม คือกุญแจสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อใจ
โลกทางสังคมของวัยรุ่นถือเป็นมิติที่สำคัญสำหรับวัยที่กำลังประกอบสร้างตัวตน คนที่พวกเขาผูกมิตรและใช้เวลาร่วมกันนั้นมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรม โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงสื่อออนไลน์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส วัยรุ่นมีโอกาสพบเห็นเนื้อหาต่าง ๆ และพบเจอคนทุกประเภท ซึ่งคัดกรองได้ยาก ทำให้ผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังมากขึ้นอีกขั้น
ภัยเงียบที่แฝงมากับความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยคือคนแบบที่เรียกกันว่า ‘คนท็อกซิก’ (toxic people) ซึ่งหมายความตรงตัวว่าคนที่เป็นพิษ อยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจ พาลให้อารมณ์ขุ่นมัว หรือในบางกรณีทำให้ซึมซับทัศนคติและพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ คนเหล่านี้มักมีวิธีแยบยลในการเข้าหาและสานสัมพันธ์กับคนอื่น จนบางครั้งอาจบอกได้ยากว่าแท้จริงแล้วมิตรภาพนั้นแฝงด้วยพิษร้ายหรือเปล่า
จะบอกได้อย่างไรว่าใคร ‘เป็นพิษ’: สัญญาณเตือนของเหล่า Toxic People
คนที่เป็นพิษคือใครก็ตามที่มีพฤติกรรมที่เพิ่มพลังงานเชิงลบในชีวิตของเราอย่างสม่ำเสมอและรบกวนการใช้ชีวิตของคุณ โดยส่วนใหญ่ คนที่มีความเป็นพิษคือคนที่กำลังมีความเครียด แผลใจ หรือกำลังจัดการกับความเคารพตนเองที่ต่ำ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมให้พวกเขามีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตของเรา ทั่วไปแล้ว คนที่เป็นพิษจะชอบบงการ ไม่จริงใจ เห็นแก่ตัว และชอบรับบทเหยื่อ คนที่เป็นพิษอาจแทรกซึมเข้ามาในชีวิตเราด้วยการยกยอปอปั้น จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือคุณเสมอ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังช่วยเหลือเขา แต่ในบางครั้งเขากลับปฏิบัติต่อคุณอย่างแล้งน้ำใจ
หากลูกวัยรุ่นของคุณมีพฤติกรรมชอบตามใจผู้อื่นหรือใจกว้าง การสังเกตสัญญาณเตือนว่าเขากำลังพัวพันกับคนที่เป็นพิษอาจจะยากสักหน่อย นอกจากนั้น โดยธรรมชาติแล้ว ความสัมพันธ์ลักษณะนี้มักทำให้เขาสับสนหรือรู้สึกแตกสลาย หากเห็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ต้องติดต่อขอปรึกษาและรับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
‘ธงแดง’ ที่เตือนว่าคนคนนั้นเป็นพิษ มีดังนี้
- อยู่ด้วยแล้วมีแต่ปัญหาและความเครียด
- พวกเขาชอบบงการและกีดกันคนอื่นออกจากความสัมพันธ์นี้ และอิจฉาหากคุณมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
- เวลาชมหรือวิจารณ์มักพูดอ้อมค้อมและแฝงด้วยความก้าวร้าว รวมถึงปกป้องตัวเองเสมอ
- ชอบเปลี่ยนทุกเรื่องให้กลายเป็นเรื่องของตัวเอง
- คิดแง่ลบและคิดร้ายกับผู้อื่น นินทาคนอื่นตลอดเวลา
- เอาเปรียบ รับมากกว่าให้
- กดดันให้คุณทำสิ่งที่ไม่อยากทำ
- โทษคนอื่นเมื่อเกิดปัญหา
อีกแนวทางหนึ่งคือการตั้งคำถามตัวเองว่าในระหว่างอยู่ในความสัมพันธ์ คุณมีความรู้สึกเหล่านี้หรือไม่
- คุณต้องช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เขาเสมอ
- คุณต้องช่วยเขาปกปิดความลับ
- คุณไม่อยากเจอเขา
- คุณรู้สึกเหนื่อยล้ากายใจหลังจากใช้เวลากับเขา
- คุณโกรธ เสียใจ หรือหม่นหมองเวลาอยู่กับเขา
- เขาเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณนินทาหรือทำตัวแย่ใส่คนอื่น
- คุณรู้สึกว่าต้องทำให้เขาประทับใจ
- คุณได้รับผลกระทบจากปัญหาหรือเรื่องวุ่นวายของเขา
- เขาเพิกเฉยต่อความต้องการของคุณและไม่ยอมให้คุณปฏิเสธ
การหมั่นสังเกตพฤติกรรมของตัวเองและเพื่อนจะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์ รวมทั้งคิดหาแนวทางในการแก้ไขได้ทันท่วงทีหากมีปัญหา
ถ้าใช่จะทำอย่างไร: แนวทางการช่วยเหลือวัยรุ่นในการรับมือกับความสัมพันธ์เป็นพิษ
ก่อนพ่อแม่จะยื่นมือช่วยเหลือ ให้โอกาสลูกจัดการกับปัญหาในความสัมพันธ์ของเขาเอง ซึ่งจะเพิ่มพูนทักษะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เช่น การคลี่คลายความขัดแย้ง ความกล้าที่จะยืดหยัดในจุดยืนของตัวเอง และการแก้ปัญหา ทว่าหากรู้สึกว่าควรเข้าไปมีส่วนร่วม แนวทางการช่วยเหลือมีดังนี้
เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เป็นพิษให้ดีขึ้น
หากลูกอยากรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ ช่วยพวกเขาหาทางเปลี่ยนแปลงมันให้ได้
ยกตัวอย่างเช่น ลูกรู้ไหมว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร อาจเป็นเพราะเพื่อนคนนั้นมักจะวิจารณ์รูปลักษณ์ภายนอกของลูก จนลูกหมดความมั่นใจ แต่ไม่รับผิดชอบอะไรเพราะลูกไม่ได้พูดให้ชัดว่าไม่ชอบคำพูดลักษณะนั้น กระตุ้นให้ลูกบอกเพื่อนให้เลิกพูดแบบนี้ โดยอาจฝึกเล่นบทบาทสมมติกับคุณก่อน
บางครั้งเพื่อนที่เป็นพิษมีพฤติกรรมแย่ ๆ เพราะได้รับปฏิกิริยาตอบสนองที่ดี คุณอาจใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหาของเราในการระบุว่าพฤติกรรมที่เป็นปัญหามีอะไรบ้าง เพื่อที่ในขั้นต่อมาจะสามารถหาแนวทางให้เพื่อนคนนั้นเลิกพฤติกรรมดังกล่าว อาจจะตอบกลับด้วยไหวพริบ แน่วแน่ในความคิดของตัวเอง หรือเดินหนีออกมาโดยไม่พูดอะไรก็เป็นการเปลี่ยนพลวัตของความสัมพันธ์ได้เช่นกัน
การจบความสัมพันธ์เป็นพิษ
หากลูกพร้อมที่จะยุติความสัมพันธ์ เขาต้องตัดสินใจว่าจะบอกเพื่อนคนนั้นอย่างไร ลูกอาจจะต้องพูดทำนองว่า “ฉันไม่ชอบที่เธอนินทาฉันลับหลัง ถ้าเธอไม่เปลี่ยน ฉันคงเป็นเพื่อนเธอต่อไปไม่ได้แล้ว”
เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ของการจบความสัมพันธ์เป็นพิษ เพื่อนคนนั้นอาจพยายามกลั่นแกล้งลูก ระวังการคุกคาม กลั่นแกล้งรังแกทั้งในชีวิตจริงและทางออนไลน์ หากมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ติดต่อโรงเรียนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้การสนับสนุนลูกที่บ้าน
การหาเพื่อนใหม่
ลูกอาจต้องการเพื่อนคนใหม่ที่ดีกว่า
ลองชวนลูกทำรายชื่อเพื่อน ๆ คนอื่นที่เข้ากันได้ เช่น ในชั้นเรียน ลูกนั่งกับเด็กคนอื่นบ้างหรือเปล่า มีเพื่อนที่มาจากกลุ่มอื่นไหม ได้เข้าชมรมกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่นหลังเลิกเรียนหรือเปล่า ลองเสนอให้ลูกหาทางใช้เวลากับเด็กกลุ่มนี้ อาจจะร่วมโต๊ะอาหารกลางวัน ทำการบ้านด้วยกัน เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกัน
หาข้อมูลเกี่ยวกับชมรมต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น ละคร กีฬา หมากรุก ฯลฯ ไม่แน่ว่าลูกอาจจะเจอคนที่มีความสนใจร่วมกัน
หากเป็นไปได้ สนับสนุนมิตรภาพใหม่ ๆ ด้วยการเสนอไปส่งเพื่อน ๆ ของลูกที่โรงเรียน ชวนเพื่อนของลูกมาที่บ้าน หรือไปส่งลูกทำกิจกรรมนอกหลักสูตร
การหาเพื่อนกลุ่มใหม่ต้องใช้เวลา และกระบวนการเหล่านี้อาจก่อความเครียดได้ ลูกจะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงหากคุณให้การสนับสนุนและพร้อมพูดคุยกับเขาเสมอเมื่อเขาต้องการ ลูกอาจรู้สึกดีขึ้นที่ได้รู้ว่ามิตรภาพในช่วงวัยรุ่นอาจไม่คงอยู่ตลอดไป และในอนาคตพวกเขายังมีโอกาสมากมายที่จะผูกสัมพันธ์กับคนใหม่ ๆ
การรับมือกับพฤติกรรมเลวร้ายจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
คุณอาจสัมผัสได้ว่าพฤติกรรมของลูกได้รับอิทธิพลเชิงลบจากเพื่อนที่เป็นพิษ หากเห็นว่าควรกล่าวถึงปัญหานี้ ข้อสำคัญคือการพุ่งเป้าไปที่การกระทำ ไม่ใช่นิสัยของลูกหรือเพื่อน
ยกตัวอย่างว่า คุณอาจจะพูดว่า “เวลาลูกอยู่กับจอช ลูกหงุดหงิดกลับบ้านมาตลอดเลย” คำพูดเหล่านี้เน้นที่พฤติกรรมที่ควรเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อน ซึ่งดีกว่าการพูดว่า “พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกคบกับจอชแล้ว”
มิตรภาพที่เป็นพิษก็มี ‘ด้านบวก’ ของมันเช่นกัน เพื่อนอาจดูแลลูกดีและพวกเขาสนิทกันมาก แต่เพื่อนคนนั้นอาจชักนำเขาให้มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม เช่น ลักขโมย ดื่มสุรา เป็นต้น ในการกล่าวถึงประเด็นเหล่านี้ คุณอาจพูดว่า “ถ้าลูกคบกับเจนีน ลูกจะเจอปัญหาเยอะเลยนะ ถ้าขโมยของ ลูกอาจโดนตำรวจจับได้นะ” ประโยคเหล่านี้พูดถึงผลกระทบของพฤติกรรม และให้โอกาสลูกในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งดีกว่าการพูดว่า “เลิกคบกับเจนีนเถอะ”
การกำหนดขอบเขตและสร้างระยะห่างระหว่างบุคคล
การกำหนดขอบเขตเป็นเรื่องยากแม้แต่สำหรับผู้ใหญ่ ดังนั้น มันย่อมยากมากสำหรับวัยรุ่น การกำหนดขอบเขตทำได้ยากเพราะมันบังคับให้คุณทำความรู้จักและเรียนรู้ความต้องการของตัวเอง และอาจกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่พึงปรารถนาจากอีกฝ่าย
แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นต้องมีทักษะการกำหนดขอบเขตเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกควบคุมบงการ คุกคามหรือทำร้าย ขอบเขตจะช่วยให้เรารักษาคุณค่าในตัวเองไว้ได้ เป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ห่วงใย สร้างแรงบันดาลใจและเปี่ยมด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีโอกาสพบผู้คนหลากหลายมากขึ้น ทักษะการส่องสำรวจตัวเอง จำกัดขอบเขต และรับมือกับคนที่เป็นพิษต่อชีวิตจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อขจัดปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและชีวิตทางสังคม
การแก้ปัญหาความสัมพันธ์เป็นกระบวนการที่ยาก ต้องทำงานกับตัวเองค่อนข้างมาก เพราะความสัมพันธ์มีความซับซ้อนหลายชั้น แม้การตัดสินใจและตัดความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะที่สุดแล้ว การจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตใครให้อยู่ในชีวิตเป็นสิ่งที่อยู่ในความควบคุมของเรา เพื่อตัวเราเอง
“ปล่อยคนมองโลกแง่ลบไปเสีย พวกเขาแค่โผล่มาพร่ำบ่น พ่นปัญหาคับข้องใจ เรื่องเลวร้าย ความหวาดกลัว และการตัดสินผู้อื่น หากใครสักคนมองหากระโถนไว้ระบาย อย่าให้กระโถนใบนั้นเป็นจิตใจของคุณ” – ทะไลลามะ
อ้างอิง:
https://raisingchildren.net.au/pre-teens/behaviour/peers-friends-trends/frenemies
https://www.scarymommy.com/toxic-people-quotes
https://parentingteensandtweens.com/help-teen-with-toxic-friendship/
Writer
ศิริกมล ตาน้อย
อยากเกิดใหม่เป็นแมงกะพรุน
illustrator
ลักษิกา บรรพพงศ์
กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่เกิดและเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจเพลงเด็ก ติดซีรีส์ ชอบร้องเพลง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเป็นทาสแมว