The Night Kindergarten อนุบาลกลางคืน: ทางออกสำหรับครอบครัวยุคใหม่ในโลกที่เปลี่ยนแปลง

The Night Kindergarten อนุบาลกลางคืน: ทางออกสำหรับครอบครัวยุคใหม่ในโลกที่เปลี่ยนแปลง

ภาพยนตร์สารคดีที่สะท้อนปัญหาและทางออกของครอบครัวญี่ปุ่น

“The Night Kindergarten” หรือ “โรงเรียนเตรียมอนุบาลกลางคืน” เป็นภาพยนตร์สารคดีจากประเทศญี่ปุ่นที่ฉายในปี 2017 กำกับโดย โคอิจิ โอมิยะ (Koichi Ohmiya) นำเสนอเรื่องราวของ “โรงเรียนเตรียมอนุบาลเอบีซี” ศูนย์รับดูแลเด็กเล็กที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในย่านโอคุโบะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับย่านคาบุกิโจอันเป็นย่านท่องราตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงโตเกียว

สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกการทำงานของสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญกับวิกฤตอัตราการเกิดต่ำสุดในรอบหลายสิบปี รวมถึงสภาพการทำงานที่บีบคั้นของคนในเมืองใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพ่อแม่ที่ต้องทำงานในเวลากลางคืน ผู้กำกับยังได้เดินทางไปสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากศูนย์ดูแลเด็กในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น เช่น ฮอกไกโด นีงาตะ และโอกินาวา เพื่อให้เห็นภาพรวมของการดูแลเด็กในสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเปลี่ยนแปลง

จากความต้องการที่ถูกมองข้ามสู่บริการที่เป็นรูปธรรม

“โรงเรียนเตรียมอนุบาลเอบีซี” มีจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ จากการเป็นสถานที่ที่ต้องเปิดแบบหลบๆ ซ่อนๆ ในช่วงทศวรรษ 1980 เนื่องจากผิดกฎหมาย จนกระทั่งได้มีการเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐรับฟังความต้องการของประชาชนที่ต้องการมีสถานที่ดูแลเด็กที่สอดคล้องกับรูปแบบการทำงานในสังคมเมืองที่เปลี่ยนไป

ที่นี่ไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็กหรูหรา แต่เป็นศูนย์ดูแลเด็กธรรมดาที่พนักงานทุกคนทุ่มเทให้กับการพัฒนาวิธีการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เรื่องโภชนาการผ่านอาหารออร์แกนิก การดูแลเด็กที่มีอาการสมาธิสั้น หรือการให้บริการดูแลเด็กหลังเลิกเรียน

ความสำคัญของสถานรับเลี้ยงเด็ก 24 ชั่วโมง

ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง (จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ ในปี 2564 ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในรอบกว่าร้อยปี อยู่ที่ 811,604 คน ลดลง 3.5%) การมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่ให้บริการครอบคลุมความจำเป็นของครอบครัวสมัยใหม่ไม่เพียงแต่เป็นสวัสดิการที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นมาตรการทางอ้อมในการส่งเสริมให้คนมีบุตรมากขึ้น

คำกล่าวของ Frederick Douglass ที่ว่า “การสร้างเด็กที่แข็งแรง ง่ายกว่าการซ่อมผู้ใหญ่ที่พังไปแล้ว” เป็นแนวคิดที่สารคดีเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานของสถานรับเลี้ยงเด็กเอบีซี ที่ไม่เพียงแต่ดูแลเด็กในเวลากลางคืนเท่านั้น แต่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัวหลากหลายรูปแบบ

หนึ่งในประโยคที่สะเทือนใจที่สุดในสารคดีมาจากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กล่าวว่า “ฉันต้องทำงานหนักมาก ทำบ่ายเลิกเย็น กลับบ้านมาอาบน้ำ ออกไปทำงานใหม่ กลับบ้านอีกทีตอนเช้า ครูเลยบอกว่าไม่ต้องห่วง ฝากลูกไว้ที่นี่ก่อนฉันนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีที่นี่ เราแม่ลูกจะมีชีวิตอยู่กันได้ยังไง”

เสียงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งของสถานบริการประเภทนี้ที่ไม่เพียงแต่ช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลเด็ก แต่ยังเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีของครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงานหลายอย่างเพื่อให้มีรายได้เพียงพอ

บริบทเศรษฐกิจและสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลง: ผลกระทบต่อรูปแบบครอบครัวและการเลี้ยงดูเด็ก

สังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต โครงสร้างครอบครัวไทยที่เคยเป็นครอบครัวขยาย (Extended Family) ซึ่งมีคนหลายรุ่นอาศัยอยู่ร่วมกัน ได้เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) มากขึ้น การอพยพย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ ทำให้คู่สามีภรรยาต้องอยู่ห่างไกลจากเครือญาติและขาดเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมแบบดั้งเดิมที่เคยช่วยในการเลี้ยงดูบุตร

ในด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตเมือง ทำให้สมาชิกในครอบครัวทั้งสามีและภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ไม่สามารถอยู่บ้านเลี้ยงดูบุตรได้อย่างเต็มเวลาเหมือนในอดีต นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว (Single-parent Families) จากอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ภาระในการหารายได้และเลี้ยงดูบุตรตกอยู่กับพ่อหรือแม่เพียงคนเดียว

รูปแบบการทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจไทยที่พัฒนาจากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการมากขึ้น มีการทำงานเป็นกะ (Shift Work) โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการที่ต้องเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร หรือโรงพยาบาล การทำงานล่วงเวลาก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพนักงานออฟฟิศในหลายองค์กร เศรษฐกิจกิกและฟรีแลนซ์ (Gig Economy) ก็ทำให้เกิดรูปแบบการทำงานที่ไม่เป็นเวลาแน่นอน

การเข้าสู่ยุคดิจิทัลและโลกาภิวัตน์ (Globalization) ก็ส่งผลให้วิถีชีวิตและการทำงานของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป มีการทำงานข้ามเขตเวลา (Time Zone) มากขึ้น บางคนต้องทำงานในช่วงกลางคืนเพื่อติดต่อประสานงานกับต่างประเทศ หรือต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ทำให้ไม่สามารถดูแลบุตรได้อย่างใกล้ชิด

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้รูปแบบการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่ต้องพึ่งพาบริการรับเลี้ยงเด็กภายนอกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือการจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลเด็กที่บ้าน อย่างไรก็ตาม บริการเหล่านี้ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของครอบครัวไทยในปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

การดูแลเด็กปฐมวัยในประเทศไทย: ความท้าทายและโอกาส

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดต่ำเช่นเดียวกับญี่ปุ่นและมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว การพัฒนาระบบการดูแลเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพและครอบคลุมจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานรับเลี้ยงเด็กหลายรูปแบบ ทั้งที่ดำเนินการโดยภาครัฐและเอกชน เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน และเนอสเซอรี่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังเปิดให้บริการเฉพาะในเวลากลางวัน ไม่ครอบคลุมความต้องการของพ่อแม่ที่ต้องทำงานในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่น กะกลางคืน หรือวันหยุดสุดสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างอย่างมากในด้านคุณภาพและมาตรฐานของสถานรับเลี้ยงเด็กแต่ละแห่ง รวมถึงการเข้าถึงบริการที่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือชุมชนที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ความจำเป็นของการมีสถานรับเลี้ยงเด็กและการศึกษาที่ยืดหยุ่นในสังคมไทย

ด้วยบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การมีระบบการดูแลเด็กที่ยืดหยุ่น หลากหลาย และมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนี้:

  1. รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย – ครอบครัวไทยในปัจจุบันมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ทั้งการทำงานเป็นกะ การทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุด หรือการทำงานรูปแบบฟรีแลนซ์ สถานรับเลี้ยงเด็กที่เปิดให้บริการเฉพาะในช่วงเวลาทำการปกติจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของครอบครัวเหล่านี้ได้อย่างเพียงพอ
  2. แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางสังคม – ครอบครัวที่มีฐานะดีอาจสามารถจ้างพี่เลี้ยงเด็กหรือส่งลูกไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชนที่มีคุณภาพได้ แต่ครอบครัวที่มีรายได้น้อยมักไม่มีทางเลือกมากนัก การมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้สำหรับทุกครอบครัว จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับเด็กทุกคน
  3. ส่งเสริมการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน – การเลี้ยงดูเด็กไม่ควรเป็นเพียงการดูแลให้ปลอดภัยเท่านั้น แต่ควรส่งเสริมพัฒนาการในทุกด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม สถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพ
  4. สนับสนุนการทำงานของผู้หญิง – ในสังคมไทย ผู้หญิงมักเป็นผู้ที่แบกรับภาระในการเลี้ยงดูบุตรมากกว่าผู้ชาย การขาดระบบการดูแลเด็กที่เหมาะสมอาจทำให้ผู้หญิงต้องละทิ้งอาชีพการงานเพื่อมาเลี้ยงดูบุตร ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศในภาพรวม
  5. รองรับครอบครัวที่อาศัยห่างไกลจากเครือญาติ – หลายครอบครัวในเมืองใหญ่อาศัยอยู่ห่างไกลจากญาติพี่น้อง ไม่มีผู้ใหญ่ในครอบครัวช่วยดูแลบุตรหลาน การมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่น่าเชื่อถือจะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวเหล่านี้

ความจำเป็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการระบบการดูแลเด็กที่ไม่เพียงแต่มีคุณภาพและมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของครอบครัวไทยในยุคปัจจุบัน

บทเรียนจากประเทศต่างๆ สู่ไทย: ตัวอย่างรูปแบบการดูแลเด็กที่ยืดหยุ่น

ในหลายประเทศทั่วโลก มีการพัฒนารูปแบบการดูแลเด็กที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ ซึ่งประเทศไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยได้:

ญี่ปุ่น: “โรงเรียนเตรียมอนุบาลเอบีซี” – ศูนย์ดูแลเด็ก 24 ชั่วโมง

ดังที่ปรากฏในสารคดี “The Night Kindergarten” โรงเรียนเตรียมอนุบาลเอบีซีในย่านโอคุโบะ โตเกียว ให้บริการดูแลเด็กตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับพ่อแม่ที่ทำงานในช่วงเวลาไม่ปกติ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในย่านบันเทิงคาบุกิโจ ศูนย์แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ฝากเด็กเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งการให้ความรู้เรื่องโภชนาการผ่านอาหารออร์แกนิก และการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เช่น เด็กสมาธิสั้น

สวีเดน: Educare – การผสมผสานการศึกษาและการดูแลเด็ก

ในปี 1996 สวีเดนได้เปลี่ยนเขตอำนาจการดูแลเด็กจากกระทรวงสุขภาพและกิจการสังคม ไปเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และในปี 1998 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรแห่งชาติสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ทำให้ระบบการดูแลเด็กของสวีเดนเป็นที่รู้จักในชื่อ “Educare” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการศึกษาและการดูแลเด็ก โดยรัฐให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างเต็มที่ สถานดูแลเด็กในสวีเดนบางแห่งเปิดให้บริการในช่วงเวลาที่ยืดหยุ่น รวมถึงการดูแลในช่วงกลางคืนสำหรับผู้ปกครองที่ทำงานเป็นกะ

สหราชอาณาจักร: บริการดูแลเด็กยืดหยุ่นหลากหลายรูปแบบ

สหราชอาณาจักรมีบริการดูแลเด็กที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ เช่น:

  • Russell Hill Road Day Nursery ที่เป็นผู้บุกเบิกบริการดูแลเด็กกลางคืน โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 19.00-07.00 น. (ยกเว้นคืนวันอาทิตย์) สำหรับพ่อแม่ที่ทำงานในช่วงเย็น กลางคืน หรือต้องการฝากเด็กแบบชั่วคราว
  • Daisycare 24 Hour Nursery ที่ให้บริการดูแลเด็ก 24 ชั่วโมง
  • Sleep Out บริการดูแลเด็กช่วงคืนวันหยุดสุดสัปดาห์สำหรับเด็กอายุ 4-11 ปี เพื่อรองรับผู้ปกครองที่ทำงานเป็นกะ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่ต้องการมีเวลาส่วนตัวในคืนวันหยุด

สหรัฐอเมริกา: ศูนย์ดูแลเด็กนอกเวลาและบริการตามความต้องการของชุมชน

สหรัฐอเมริกามีศูนย์ดูแลเด็กหลายแห่งที่ให้บริการนอกเวลาทำการปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทำงานเป็นกะจำนวนมาก เช่น เมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีบริการดูแลเด็กแบบตามความต้องการ (On-demand childcare) ที่พ่อแม่สามารถจองล่วงหน้าหรือใช้บริการในกรณีฉุกเฉินได้

ออสเตรเลีย: การพัฒนาคุณภาพบุคลากรดูแลเด็ก

ออสเตรเลียให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านการดูแลเด็ก โดยมีการพัฒนาหลักสูตร Early Childhood Education and Care (ECEC) เพื่อผลิตผู้เชี่ยวชาญในการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัย ตามความต้องการของตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องกลับไปทำงานหลังการลาคลอด

ก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับเด็กและครอบครัว

การพัฒนาระบบการศึกษาและการดูแลเด็กที่รองรับความต้องการของเด็ก Generation ใหม่และครอบครัวในสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งครอบครัว ชุมชน ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม

ด้วยความร่วมมือและวิสัยทัศน์ร่วมกัน เราสามารถสร้างระบบการศึกษาและการดูแลเด็กที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน แต่ยังส่งเสริมให้เด็กทุกคนได้เติบโตและพัฒนาตามศักยภาพของตนเอง พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายและโอกาสในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับที่สารคดี “The Night Kindergarten” ได้แสดงให้เห็นว่า การเปิดใจรับฟังความต้องการที่แท้จริงของครอบครัวและการกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ สามารถนำไปสู่การพัฒนาระบบการดูแลเด็กที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมได้ ประเทศไทยก็สามารถเรียนรู้และนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับเด็กและครอบครัวไทยทุกคน

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด