“แล้วแกอยากเป็นเหรอคะ” Spy x Family กับบทบาทของพ่อแม่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จของลูก
“แล้วแกอยากเป็นเหรอคะ” Spy x Family กับบทบาทของพ่อแม่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จของลูก
- เพื่อให้ภารกิจลับสำเร็จ ‘ลอยด์ ฟอร์เจอ’ จึงสร้างครอบครัวกำมะลอขึ้นมา
- เริ่มตั้งแต่ภรรยาและลูกที่ไม่มีอะไรที่เป็นจริง แต่ความรู้สึกที่ให้กลับผูกพันและมอบให้ด้วยความรู้สึกจริงยิ่งกว่าจริง
- “แกอยากเป็นเหรอคะ” เพราะเจ้าหญิงหนามรู้ดีว่า ครอบครัวปลอมๆ นี้คือโลกทั้งใบของอาเนีย แล้วเป้าหมายชีวิตของอาเนียไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนดัง แต่เป็นการมีครอบครัวที่อบอุ่น
“ถ้าเป็นนักเรียนดีเด่น แกต้องตั้งใจเรียนนะครับ”
“แล้วแกอยากเป็นเหรอคะ”
คำถามสั้นๆ ของมือสังหารอย่าง ‘เจ้าหญิงหนาม’ ที่ต้องรับบทแม่ ถามสายลับ ‘สนธยา’ ผู้รับบทเป็นพ่อของ ‘อาเนีย’ เด็กหญิงพลังจิตที่อ่านใจคนได้ กลับชวนเราตั้งคำถามอันลึกซึ้งว่าความคาดหวังในชีวิตลูกนั้นควรกำหนดโดยใคร
Spy x Family คืออนิเมะที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเรื่องเดียวกัน ว่าด้วยเรื่องของสายลับนามแฝง ‘สนธยา’ ที่ถูกมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญซึ่งการจะทำภารกิจดังกล่าวสำเร็จได้ สนธยาต้องสร้างตัวตนขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ ลอยด์ ฟอร์เจอร์ จิตแพทย์คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวและเขาต้องสร้างครอบครัวปลอมขึ้น โดยผู้รับบทเป็นลูกก็คือเด็กหญิงอาเนียที่เพิ่งถูกสนธยารับอุปถัมภ์มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
สนธยาสร้างเรื่องว่าภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาจึงแต่งงานใหม่กับ ยอร์ ฟอร์เจอร์ ผู้ที่ฉากหน้าเป็นพนักงานศาลากลาง แต่เบื้องหลังเธอเป็นมือสังหารนาม ‘เจ้าหญิงหนาม’ ทั้งสามร่วมกันสร้างภาพครอบครัวอบอุ่นเพื่อส่งอาเนียเข้าเรียนโรงเรียนอีเดน โรงเรียนชั้นนำที่รับเพียงนักเรียนหัวกะทิจากครอบครัวชนชั้นสูงเข้าเรียนซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในภารกิจ
นี่คือจุดเริ่มต้นของครอบครัวกำมะลอซึ่งเต็มไปด้วยความลับที่แต่ละคนต้องปิดบังจากอีกฝ่าย แต่ความรักความเข้าใจที่สมาชิกมอบให้กันกลับจริงยิ่งกว่าจริง
ความฝันของพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความฝันของลูก
นอกจากการสร้างครอบครัวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สนธยาต้องทำเพื่อบรรลุภารกิจให้ได้ คือการผลักดันให้ลูกสาวจำลองอย่างอาเนียเป็นนักเรียนอิมพีเรียล สกอลาร์ หรือนักเรียนชั้นนำในด้านวิชาการ กิจกรรม หรือการทำประโยชน์เพื่อสังคม แรกเริ่มสนธยาจึงเคี่ยวกรำลูกสาวเรื่องวิชาการ อาเนียที่อายุเพียง 6 ขวบจะต้องติวการบ้านทุก 5 โมงเย็น อาเนียพยายามแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัด เด็กหญิงจึงทำไม่ได้ดั่งใจพ่อ
“เข้มงวดกับแกเกินไปอาจจะไม่ดีนะคะ” ยอร์ออกความเห็นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท้อแท้ของอาเนีย
“แต่ถ้าอยากเป็นนักเรียนดีเด่น แกต้องตั้งใจเรียนนะครับ” สนธยาตอบยอร์กลับไปแบบนั้น
ยอร์นิ่งฟัง ก่อนจะถามเขากลับสั้นๆ ว่า “แล้วแกอยากเป็นเหรอคะ”
บางครั้งและหลายๆ ครั้ง พ่อแม่ก็มักจะเผลอมองชีวิตลูกเป็นชีวิตตัวเอง ความสำเร็จของลูกเป็นภารกิจของตัวเองและคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด พ่อแม่คาดหวังที่จะเห็นภารกิจนั้นประสบความสำเร็จและตั้งใจทำภารกิจอย่างแข็งขัน กำหนดเส้นทางเพื่อให้ลูกเดินไปสู่เป้าหมายนั้นจนลืมไปว่านั่นอาจไม่ใช่ความต้องการหรือความฝันของลูก
สำหรับสนธยาแล้ว ความสำเร็จในการศึกษาของอาเนียคือสิ่งที่จะทำให้ภารกิจของเขาสำเร็จไปด้วย แต่สำหรับอาเนีย เธอรู้แต่เพียงว่าเธอต้องทำเพราะนั่นคือสิ่งที่พ่อต้องการและจะทำให้เธอได้อยู่กับพ่อแม่ต่อไป แม้ครอบครัวของเธอจะเป็นครอบครัวปลอมๆ แต่สนธยาและยอร์ก็คือโลกทั้งใบของอาเนีย หากภารกิจของพ่อไม่สำเร็จ ครอบครัวปลอมๆ นี้อาจจะสลายตัวลงเร็วกว่าที่เป็น และความต้องการของอาเนียก็ไม่ใช่การเป็นนักเรียนสกอลาร์ หากคือการมีครอบครัวที่อบอุ่น
บทบาทในการเรียนรู้ที่ไม่ควรผูกมัดอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง
จากบทสนทนานั้น สนธยาจึงถามยอร์ที่เคยต้องดูแลน้องชายว่าเธอทำอย่างไรให้น้องชายเป็นเด็กเรียนดี
“ตอนเด็กๆ ยูริเรียนเก่งกว่าฉันเยอะเลย” คือคำตอบของยอร์ เธอบอกว่ายูริต่างหากที่เป็นฝ่ายสอนเธอในหลายๆ เรื่อง ยูริเป็นฝ่ายเล่าออกมาเองโดยที่ยอร์ไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ความจริงแล้ว ยูริกลับดูมีความสุขเหลือเกินที่ได้สอนยอร์ หน้าที่ของเธอมีแค่เป็นกองเชียร์คอยชื่นชมยูริ คำชมของยอร์จะมอบรอยยิ้มกว้างให้น้องชายได้เสมอ
สังคมมักหยิบยื่นบทบาท ‘ผู้นำ’ ให้ผู้ใหญ่ในครอบครัว แม้แต่เรื่องการเรียนรู้ของเด็ก ผู้ใหญ่ก็มักจะรับบทเป็นผู้สอนหรือผู้เคี่ยวเข็ญ ส่วนเด็กก็เป็นเพียงผู้ตามที่ต้องเชื่อฟังเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน แต่ละคนอาจสามารถรับบทที่แตกต่างกันได้
ยกตัวอย่าง ในการเรียนรู้ของเด็ก เมื่อเด็กได้เรียนเรื่องที่สนุกและน่าสนใจ ผู้ใหญ่อาจเป็นฝ่ายได้เรียนรู้อะไรจากเด็กๆ และเด็กก็สามารถพลิกบทบาทมาเป็นผู้นำในการเรียนรู้ได้เช่นกัน
โปรดเหลียวแลความพยายามของลูกและรองรับเมื่อลูกร่วงหล่น
ชีวิตมักหยิบยื่นความผิดหวังมาให้เสมอ เช่นเดียวกับครอบครัวฟอร์เจอร์ที่พบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่การสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนอีเดนที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้เมื่ออาเนียโดนครูรังแก ทั้งสนธยาและยอร์ที่แม้จะไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงต่างก็ลุกขึ้นมาปกป้องลูกอย่างไม่ลังเลจนทำให้การสัมภาษณ์ล้มไม่เป็นท่า ทั้งครอบครัวผิดหวัง แต่สุดท้ายทั้งสามก็ปลอบใจกันและกันจนผ่านพ้นสถานการณ์สิ้นหวังนั้นไปได้
ต่อจากนั้นอีกหลายครั้ง แผนที่สนธยาวางไว้ให้อาเนียทำตามก็แทบไม่เคยประสบความสำเร็จ แม้อาเนียได้พยายามถึงที่สุดแล้ว
“ต้องเรียนเก่งเพื่อคุณพ่อ”
“คุณพ่อ อาเนียจะตั้งใจเรียน”
“คุณพ่อ อาเนียจะพยายาม”
เด็กหญิงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยแววตามุ่งมั่นประกอบกับท่าทีเอาจริงเอาจัง ทว่าแทบทุกครั้งความพยายามของเธอก็ไม่เคยสัมฤทธิ์ผล
แต่อาเนียจะไม่เป็นไร เพราะนั่นคือสิ่งที่สนธยาและยอร์จะคอยบอกอาเนียซ้ำๆ “ไม่เป็นไร” “เริ่มใหม่ได้” “เริ่มก้าวแรก หาจุดแข็ง แล้วพัฒนาไป” “ไม่เป็นไร ใครๆ ก็พลาดได้” สนธยาที่เคยเข้มงวดกับอาเนียเริ่มพยายามปรับตัวเข้าหาลูกทีละนิด จากบทบาทผู้นำ สนธยาเริ่มหันมาเป็นคนที่ร่วมพยายามและเรียนรู้พร้อมๆ กับอาเนีย โดยมียอร์เป็นอีกหนึ่งแรงหนุน เขาเริ่มรู้ว่าสามารถใช้การ์ตูนที่อาเนียชอบมาเป็นเครื่องมือช่วยให้อาเนียเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ เขาเริ่มพาอาเนียไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะการเข้มงวดกวดขันไม่เหมาะกับอาเนีย เขาเริ่มรู้ว่าวิชาการไม่ใช่สิ่งที่อาเนียถนัด เขาและยอร์เริ่มตามหาพรสวรรค์ไปพร้อมๆ กับอาเนีย จากวิชาการ ไปกีฬา ไปดนตรี ไปจนถึงงานช่วยเหลือสังคม และแม้อาเนียดูจะไม่ถนัดไปเสียทุกอย่าง แต่สนธยาและยอร์ก็ไม่เคยปล่อยมือลูกสาว เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ข้างๆ อาเนียเองจึงไม่เคยละความพยายามไปเหมือนกัน
เธอรู้ว่าเธอไม่ได้วิชาการ ไม่เก่งกีฬา เล่นดนตรีก็ไม่เป็นเพลง เธอเรียนรู้และพยายามในแบบของเธอ แล้วในที่สุดความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จ อาเนียคว้าเข็มกลัดสเตลล่าที่เป็นเหมือนใบเบิกทางก้าวไปสู่อิมพีเรียล สกอลาร์อันแรกมาได้ด้วยความสามารถอ่านใจและการตัดสินใจของเธอเอง
แม้สนธยาและยอร์จะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นใคร และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าอาเนียเองก็มีความลับเรื่องพลังให้ต้องปิดบังเหมือนกัน แต่ทั้งสามคนดูจะชอบบทบาทที่ตัวเองได้รับ บทบาทที่ทั้งสามจะเรียนรู้ความเป็นครอบครัวอันอบอุ่นไปด้วยกัน และครอบครัวแสนสุขก็ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้ผู้ใหญ่สองคนบรรลุเป้าหมายอีกต่อไป หากยังกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความรักสำหรับเด็กหญิงคนหนึ่ง พื้นที่ที่จะมีพ่อและแม่คอยให้กำลังใจเมื่อเธอทำพลาดและคอยรองรับไว้ ไม่ว่าเธอจะร่วงหล่นจากความพยายามอีกกี่ครั้งก็ตาม
Writer
ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา
อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า
illustrator
ธนัชพร จันทร์เขียว
เด็กฝึกงานกราฟิกที่ชอบวาดภาพท้องฟ้าและทะเล ติดของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ชอบเปิดเพลง r&b ตอนทำงานโดยเฉพาะตอนวาดภาพ มันช่วยให้มีสมาธิและสามารถโฟกัสกับการทำงานได้ดี