

“จะมีลูกทั้งที ต้องเลี้ยงให้ดี ไม่งั้นอย่ามีเลย”: วาทกรรมที่โยนภาระของระบบมาที่พ่อแม่ กับ 7 เรื่องที่ต้องปฏิวัติ ก่อนที่พ่อแม่จะล้มทั้งยืน หรือไม่มีใครอยากมีลูกอีกเลย
“จะมีลูกทั้งที ต้องเลี้ยงให้ดี ไม่งั้นอย่ามีเลย”: วาทกรรมที่โยนภาระของระบบมาที่พ่อแม่ กับ 7 เรื่องที่ต้องปฏิวัติ ก่อนที่พ่อแม่จะล้มทั้งยืน หรือไม่มีใครอยากมีลูกอีกเลย
จากชุดบทความ : เลี้ยงลูก 2025 ในสังคมที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพ่อแม่ ตอนที่ 3/5
คุณรู้ไหมว่า ในนิทานเรื่อง “The Emperor’s New Clothes” ตอนจบไม่ได้อยู่ที่เด็กคนนั้นตะโกนออกมาว่า “พระราชาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า!”
ตอนจบที่แท้จริงคือ…
ทุกคนรู้อยู่แล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าพูด
วันนี้ เราจะมาพูดกัน…
พูดถึงระบบที่ทุกคนรู้ทั้งรู้ว่ามันพัง แต่ไม่มีใครทำอะไร
เช่นเดียวกับการทนเห็นพระราชาไม่ใส่เสื้อผ้านั่นแหล่ะ
เรื่องที่ 1: สิทธิลาคลอดยุคหินกับชีวิตยุคอวกาศ
เมื่อเราดูตัวเลขการลาคลอดทั่วโลก จะพบความเหลื่อมล้ำที่น่าตกใจ
ประเทศไทย : แม่ลา 98 วัน แต่ได้เงินเต็มแค่ 45 วัน พ่อได้ 0 วัน และไม่มีกฎหมายบังคับ
สวีเดน: ให้พ่อแม่ลารวมกัน 480 วัน แบ่งกันได้ตามใจ ได้เงิน 80% ของเงินเดือน
บัลแกเรีย: ให้แม่ลาได้ 410 วัน พ่อ 15 วัน ได้เงิน 90% ของเงินเดือน
มันก็ดูไม่ใช่แค่อยู่คนละประเทศ แต่ดูอยู่กันคนละยุค เพราะ 410 วัน กับ 98 วัน ต่างกัน 312 วัน หรือเกือบปี และนี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือความแตกต่างของการเป็นมนุษย์ ของการที่พ่อและแม่จะได้เห็นลูกคลาน นั่ง เดิน หัดพูดคำแรก กับการต้องรีบกลับไปทำงานตอนลูกยังกินนมอยู่
UNICEF เรียกร้องให้ประเทศไทยขยายสิทธิลาคลอดให้ได้มาตรฐาน ILO : International Labour Organization หรือ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 18 สัปดาห์ หรือ 126 วัน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่สมองเด็กสร้างการเชื่อมต่อใหม่ถึง 1,000 จุดต่อวินาที
หยุดอ่านแป๊บนึง ให้ตัวเลขนี้จมลงในความคิดของคุณ 1,000 จุดต่อวินาที นั่นคือ 60,000 จุดต่อนาที หรือ 3.6 ล้านจุดต่อชั่วโมง ในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต สมองของเด็กเหมือนเมืองที่กำลังสร้างถนน สะพาน ระบบสาธารณูปโภคด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ทุกการสัมผัส ทุกเสียง ทุกกลิ่น ทุกรอยยิ้ม กลายเป็นเส้นทางของระบบประสาทที่จะถูกใช้ไปตลอดชีวิต
แต่การสร้างเส้นทางเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองอัตโนมัติ มันต้องการ “สถาปนิก” ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ที่ตอบสนองต่อความต้องการ สร้างความรู้สึกปลอดภัย เมื่อเด็กร้องแล้วมีคนมาปลอบ เส้นประสาทที่เกี่ยวกับความไว้วางใจจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเด็กหิวแล้วได้กินนม เส้นประสาทที่เกี่ยวกับความมั่นคงจะพัฒนา เมื่อเด็กได้ยินเสียงพ่อแม่พูดคุยกัน เส้นประสาทที่เกี่ยวกับภาษาและอารมณ์จะเติบโต
ในทางตรงข้าม หากเด็กถูกทิ้งให้ร้องนานๆ ไม่มีคนตอบสนอง หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เครียดตลอดเวลา เส้นประสาทที่เกี่ยวกับความเครียดและความกลัวจะพัฒนาแทน สมองจะปรับตัวให้รอดในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย แทนที่จะพัฒนาไปสู่การเรียนรู้และความสุข
นี่คือเหตุผลที่ 18 สัปดาหแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่เวลาที่แม่พักฟื้น แล้วพ่อมาเป็นผู้ช่วย แต่มันคือช่วงทอง (Golden Period) ของการวางรากฐานสมองที่จะใช้ไปตลอดชีวิต แต่ประเทศไทยให้เวลาแค่ 14 สัปดาห์ และได้เงินเต็มแค่ 6 สัปดาห์ เท่านั้น แม้แม่และพ่อจะได้อ่านข้อความนี้และเห็นความสำคัญของ 18 สัปดาห์แรกแค่ไหน พวกเขาก็จะอยู่ในความกังวลถึงอนาคตที่อาจมีาายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงลูกอยู่ดี
และหากพ่อหรือแม่ที่ต้องรีบกลับไปทำงานตอนลูกอายุ 6 สัปดาห์ ก็เหมือนกับสถาปนิกที่ต้องทิ้งงานก่อสร้างไปครึ่งทาง ปล่อยให้ผู้รับเหมาทำงานกันเอง แม้อาคารยังไม่แข็งแรง ฐานรากยังไม่มั่นคง ก็ต้องย้ายไซส์งานไปทำที่อื่น ปล่อยให้คนอื่นที่อาจไม่เข้าใจแบบแปลนมาดูแลต่อ
ผลกระทบของการพลาดช่วงทองนี้ไม่ได้หายไปเมื่อลูกโต การวิจัยพบว่าเด็กที่ไม่ได้รับการดูแลที่เพียงพอในช่วง 6 เดือนแรก มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาพัฒนาการ ปัญหาการเรียนรู้ และปัญหาทางอารมณ์ในภายหลัง
เศรษฐศาสตร์ของเรื่องนี้ก็ชัดเจน การลงทุนใน 18 สัปดาหแรกจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาพัฒนาการในอนาคต การมีลูกที่สมองพัฒนาดีจะสร้างประชากรที่มีคุณภาพ ซึ่งจะสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่เราเลือกที่จะประหยัดในระยะสั้น แล้วจ่ายราคาที่แพงกว่าในระยะยาว
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราให้ความสำคัญกับ GDP มากกว่าการพัฒนาสมอง เมื่อเราคิดว่าแม่ที่อยู่บ้านดูแลลูก “ไม่ได้ผลิตอะไร” ทั้งที่จริงแล้วเธอกำลังผลิตสิ่งที่มีค่าที่สุด คือมนุษย์ที่มีคุณภาพ
สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนคือการให้ลาคลอดขั้นต่ำ 6 เดือน หรืออย่างน้อยที่สุด 18 สัปดาห์ ได้เงินเต็มจำนวน พ่อลาได้อย่างน้อย 30 วัน และระบบประกันสังคมที่แข็งแรงช่วยนายจ้างจ่าย รวมถึงห้ามเลิกจ้างพนักงานที่ลาคลอดด้วยโทษหนัก
เรื่องที่ 2: ศูนย์เด็กเล็ก จากของหรูสู่สาธารณูปโภคพื้นฐาน
เคยคิดไหมว่าทำไมเราถึงมีไฟฟ้า น้ำประปา ถนน ให้ทุกคนใช้ แต่เรื่องดูแลเด็กกลับเป็น “ปัญหาส่วนตัว” ศูนย์เด็กเล็กในไทยมีราคา 5,000-20,000 บาทต่อเดือน คุณภาพขึ้นอยู่กับว่าจ่ายได้เท่าไหร่ และมีจำนวนไม่เพียงพอโดยเฉพาะในชุมชน ครอบครัวที่มีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือนต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเด็กเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ ลองคิดดู ถ้าค่าไฟฟ้าหรือค่าน้ำสูงขนาดนี้ คนจะประท้วงกันแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องดูแลเด็ก เราเงียบเฉย เพราะถือว่าเป็น “ความรับผิดชอบส่วนตัว”
สถานการณ์จริงของครอบครวคือการต้องเลือกระหว่าง “จ้างคนดูแลเด็กแต่เอาเงินเดือนครึ่งหนึ่งไปจ่าย” หรือ “ให้แม่ลาออกแต่สูญเสียรายได้และอนาคตในอาชีพ” ทั้งสองทางเลือกล้วนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของครอบครัว แต่เราปฏิเสธที่จะมองว่านี่เป็นปัญหาระดับสังคมที่ต้องแก้ไขร่วมกัน
ในประเทศที่ก้าวหน้า ศูนย์เด็กเล็กถือเป็นสวัสดิการ เหมือนกับการศึกษาและสาธารณสุข ฝรั่งเศสมีโรงเรียนอนุบาลของรัฐให้เด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เรียนฟรี มีคุณภาพสูง และบังคับเข้าเรียน เดนมาร์กมีศูนย์เด็กเล็กครอบคลุม 96% ของเด็กทุกคน และพ่อแม่จ่ายเพียง 25% ของค่าใช้จ่ายจริง ที่เหลือรัฐสนับสนุน
นี่คือเหตุผลที่แม่หลายคนตัดสินใจ “ลาออกเลี้ยงลูกเอง” การตัดสินใจนี้ดูเหมือนเป็นการเลือกของแต่ละคน แต่จริงๆ แล้วเป็นผลจากระบบที่บังคับให้เลือก การลาออกไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียรายได้ในปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงการสูญเสียประสบการณ์ทำงาน การพลาดโอกาสเลื่อนตำแหน่ง การขาดการพัฒนาทักษะ และการลดลงของเงินบำนาญในอนาคต เมื่อคำนวณผลกระทบระยะยาว การ “เลี้ยงลูกเอง” อาจมีต้นทุนที่สูงกว่าการจ้างคนดูแลเด็กเสียอีก
สิ่งที่เราต้องการคือการเปลี่ยนกรอบความคิดจาก “ค่าใช้จ่ายส่วนตัว” เป็น “การลงทุนของสังคม” เราต้องมีศูนย์เด็กเล็กของรัฐในทุกชุมชนที่มีคุณภาพเท่ากันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน การลงทุนนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการสร้างผลตอบแทนให้สังคม เมื่อแม่สามารถกลับไปทำงานได้ GDP จะเพิ่มขึ้น ภาษีที่รัฐเก็บได้จะมากขึ้น และเงินที่ใช้ลงทุนจะกลับคืนมาในรูปของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
เรื่องที่ 3: วัฒนธรรม “แม่เหนื่อยคือแม่ดี” ต้องหายไปจากสังคม
“ลูกมาก่อนทุกอย่าง”
“แม่ที่ดีต้องเสียสละ”
“อดนอนเพื่อลูกเป็นเรื่องปกติ”
ประโยคเหล่านี้ฟังดูสวยหรูและเต็มไปด้วยความรัก แต่จริงๆ แล้วกำลังฆ่าแม่และพ่อทีละนิด เราสร้างวัฒนธรรมที่ยกย่องการทำลายตัวเอง ปรบมือให้แม่ที่ “อดทน” ชื่นชมแม่ที่ “ไม่บ่น” แต่ไม่เคยถามว่า “ทำไมแม่ต้องอดทนแบบนั้นตั้งแต่แรก”
“แม่ที่ดี” ในสังคมเราคือ แม่ที่ต้องตื่นตี 5 เตรียมอาหารเช้า จำได้ว่าลูกมีนัดหมอวันไหน ทำงานกลับมาแล้วยังสดใส ยิ้มแย้ม เล่นกับลูก มีเวลาให้ลูก 24/7 มีเวลาให้สามี พ่อแม่ งาน และญาติพี่น้อง และแม่ที่ดีไม่ควรขอความช่วยเหลือเพราะ “ลูกตัวเอง ต้องดูแลเอง”
เราไม่เคยสร้างภาพของ “พ่อที่ดี” ที่เท่าเทียมกัน พ่อที่อาบน้ำให้ลูกหนึ่งครั้งจะได้คำชื่นชม พ่อที่ไปรับลูกที่โรงเรียนหนึ่งครั้งจะได้ยิน “สามีใจดีจัง” และแม้แม่จะทำสิ่งเดียวกันอยู่ทุกวัน กลับไม่ได้รับคำชม เพราะมันเป็น “หน้าที่”
นี่คือความไม่ยุติธรรมที่ฝังลึกในรากวัฒนธรรม เราสร้างมาตรฐานสองระดับ สำหรับพ่อและแม่ แล้วเรียกว่า “ธรรมชาติ” ผลที่ตามมาคือแม่ถูกผลักให้ทำงานหนักกว่า เหนื่อยกว่า และเมื่อเธอแสดงอาการเหนื่อย เราจะบอกว่า “เป็นแม่แล้วต้องแข็งแรง” หรือ “นี่แหละความรักของแม่”
โลกออนไลน์ยิ่งทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น เราเห็นภาพแม่ที่ “สุขภาพดี” ในโซเชียลมีเดีย แม่ที่แต่งตัวสวย บ้านสะอาด ลูกน่ารัก มื้ออาหารดูดี เราไม่เห็นแม่ที่ร้องไห้ในห้องน้ำ แม่ที่อ่อนเพลียจนไม่อยากลุกจากเตียง แม่ที่โกรธลูกแล้วรู้สึกผิด แม่ที่คิดว่าตัวเองล้มเหลว และคงไม่มีใครถ่ายภาพอะไรแบบนั้นลงในโซเชียลมีเดีย
ผลวิจัยแสดงให้เห็นชัดว่าแม่ในปัจจุบันมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลสูงกว่าแม่ในอดีต แม้จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เหตุผลหลักคือความคาดหวังที่สูงเกินไป ทั้งจากตัวเองและสังคม แม่ยุคใหม่ไม่ได้แค่เลี้ยงลูก แต่ต้องมีความสามารถในการช่วย “เพิ่มศักยภาพ (optimize)” ให้กับลูก
เราต้องหยุดโพสต์ชื่นชมแม่ที่เหนื่อย หยุดยกย่องการทนทุกข์ แต่เริ่มยกย่องการขอความช่วยเหลือ หยุดพูดว่า “แม่สายสตรอง” แต่เริ่มพูดว่า “แม่ฉลาดพอที่จะรู้ขีดจำกัดตัวเอง” เราต้องสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันไม่ใช่แบกคนเดียว ทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความอ่อนแอ และให้คุณค่ากับพ่อแม่ที่ดูแลตัวเอง เพราะนั่นคือการดูแลลูกทางอ้อมด้วย
แม่ที่พักผ่อนเพียงพอจะมีความอดทนมากกว่าแม่ที่อ่อนเพลีย
แม่ที่มีเวลาให้ตัวเองจะให้ความรักกับลูกได้มากกว่าแม่ที่หมดไฟ
แม่ที่มีความสุขจะเลี้ยงลูกที่มีความสุข
นี่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
นี่คือการใช้ชีวิตอย่างฉลาด
เรื่องที่ 4: Workplace ที่เห็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ทำงาน
“นโยบายสถานประกอบการเป็นมิตรกับคนมีครอบครัว Family-friendly workplace” ในประเทศไทย
แปลว่า…
มีห้องให้นมที่ไม่ใช่ห้องน้ำ (ว้าว!)
ให้กลับตรงเวลา (บางวัน)
และไม่ต่อว่าถ้าลูกป่วย (มาก)
สำนักงานจำนวนมากยังคิดว่าการมีลูกเป็น “ความรับผิดชอบส่วนตัว” ที่ไม่ควรไปกระทบกับงาน แต่ความจริงคือทุกคนที่ทำงานล้วนมาจากครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง และสักวันหนึ่งคนบางคนที่นั่นก็จะต้องสร้างครอบครัวของตัวเอง
ปัญหาของที่ทำงานในปัจจุบันคือการยึดติดกับแนวความคิดคร่ำครึที่ว่า “คนทำงานที่ดีคือคนที่อยู่ออฟฟิศนานที่สุดในแต่ละวัน” เรายังใช้วิธีการประเมินผลงานแบบเห็นหน้ามากกว่า ผลลัพธ์ของการทำงานที่เกิดขึ้นจริง และสิ่งนั้นทำให้พ่อแม่ที่ต้องรับส่งลูก หรือต้องใช้เวลากับครอบครัว กลายเป็น “พนักงานระดับ B” (หรือต่ำกว่านั้น) ในสายตาของผู้บริหาร
ในขณะที่ มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าพนักงานที่มีสมดุลชีวิตที่ดีจะมีประสิทธิภาพการในการทำงานสูงกว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า และมีความจงรักภักดีต่อองค์กรมากกว่า บริษัทที่ลงทุนเรื่องนโยบายที่สถานประกอบการเป็นมิตรกับครอบครัว (Family Friendly Policies) จะได้ประโยชน์กลับมาในรูปของ อัตราการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร (employee retention) การลดค่าใช้จ่ายในการหาคนใหม่ และความพึงพอใจในการทำงานที่สูงขึ้น
เราต้องการงานที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ดีไม่ใช่มุ่งเน้นจำนวนชั่วโมงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ
การใช้ความยืดหยุ่นของเวลาทำงาน (flexible hours) ไม่ใช่แค่ในนโยบายที่อนุญาให้มาสาย 30 นาที การมีศูนย์เด็กในที่ทำงาน หรือเงินช่วยเหลือการดูแลเด็ก การสนับสนุนทางสุขภาพจิตสำหรับพ่อแม่ และการทำให้เห็นว่าการมีลูกไม่ได้กระทบต่อเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ จะทำให้องค์กรมีโอกาสการเติบโตที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย
เรื่องที่ 5: งบประมาณที่บอกว่า “เด็กสำคัญ” (แต่ทำจริงหรือเปล่า)
เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดในไทยแค่ 600 บาท ซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ไม่ถึงเดือน หรือประมาณหนึ่งมื้อในร้านอาหารระดับกลาง ในขณะที่ฟินแลนด์ให้ “baby box” มูลค่า 5,000+ บาท ซึ่งมีเสื้อผ้าเด็ก ของเล่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก เยอรมนีให้เงินช่วยเหลือเด็ก 7,000+ บาทต่อเดือนจนกว่าเด็กจะอายุ 18 ปี และแคนาดาซึ่งเป็นประเทศที่มีเงินสวัสดิการเด็กสูงสุดคือ 20,000+ บาทต่อเดือนสำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อย
การเปรียบเทียบตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจทำให้ประเทศไทยดูด้อย แม้ตัวเลขจะบอกแบบนั้น แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับเด็กมากน้อยแค่ไหน สำหรับ เงิน 600 บาทต่อเดือนในประเทศที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกปี ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก ก็เหมือนกับการที่รัฐบอกเราว่า “เรารู้ว่าเลี้ยงลูกแพง แต่เราช่วยแค่นี้แหละ”
“เราไม่ใช่ประเทศรวย” ทุกคนคิดแบบนั้น แต่งบประมาณแผ่นดินปี 2567 มีจำนวน 3.48 ล้านล้านบาท เราใช้งบหลายหมื่นล้านกับโครงการต่างๆ ที่บางครั้งไม่รู้ว่าคุ้มค่าหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนจริงหรือไม่ เรามีงบซื้อเครื่องบิน มีงบสร้างสนามบิน มีงบทำถนนสายใหม่ แต่เมื่อพูดถึงการลงทุนกับอนาคตของชาติในรูปของเด็กๆ เราบอกว่า “ไม่มีงบ”
นี่เป็นเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญ ไม่ใช่เรื่องของความมีข้อจำกัดทางการเงิน หากเราดูจากมุมมองของการลงทุนระยะยาว การให้เงินอุดหนุนเด็กจะกลับมาในรูปของประชากรที่มีคุณภาพ แรงงานที่มีทักษะ และการลดลงของปัญหาสังคมในอนาคต แต่ผลลัพธ์เหล่านี้จะเห็นได้ใน 15-20 ปี ไม่ใช่ในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของนักการเมือง
เราต้องเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเป็นอย่างน้อย 3,000 บาทต่อเดือนสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ มี เงินสวัสดิการสำหรับเด็กแบบครอบคลุมทุกครอบครัวโดยที่ไม่ต้องพิสูจน์ว่า “จน” เพราะเด็กทุกคนควรได้รับการสนับสนุนไม่ว่าครอบครัวจะมีฐานะอย่างไรศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียนสำหรับเด็ก 0-3 ปี ต้องฟรีจริง และมีคุณภาพ รวมถึงการมีอาหารกลางวันโรงเรียนที่มีคุณภาพจริง ไม่ใช่แค่ข้าวกับไข่ดาว (แล้วแถว่าไข่ดาวก็มีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว)
การลงทุนนี้ไม่ได้มีแค่ประโยชน์ทางสังคม แต่ยังมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วย เงินที่รัฐจ่ายให้ครอบครัวจะหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน และเพิ่ม GDP ในอนาคตอันใกล้
เรื่องที่ 6: ระบบภาษีที่เห็นค่า “งานดูแล”
เวลาคุณทำงานนอกบ้านคุณได้เงิน รัฐเก็บภาษี แต่เวลาคุณทำงานในบ้าน ดูแลชีวิตมนุษย์ตัวน้อย คุณได้ศูนย์ ทำไม? ทำไมงานที่สร้างคนรุ่นใหม่ของประเทศถึงไม่มีค่าในระบบเศรษฐกิจ?
ลองมองดูความขัดแย้งนี้ การดูแลเด็กที่บ้านไม่ปรากฏใน GDP แต่การจ้างพี่เลี้ยงดูแลเด็กคนเดียวกันกลับสร้าง GDP การทำอาหารให้ลูกกินที่บ้านไม่มีค่าทางเศรษฐกิจ แต่การซื้ออาหารกล่องให้ลูกกลับนับเป็นการบริโภคที่มีค่า นี่แสดงให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของเราวัดมูลค่าของงานด้วย “ราคา” ที่ตลาดกำหนด ไม่ใช่ “คุณค่า” ที่สังคมได้รับจริง
ถ้าเราคำนวณมูลค่าของงานดูแลที่แม่ทำอยู่ทุกวัน เธอควรได้เงินเดือนเท่าไหร่?
พี่เลี้ยง 15,000 บาท/เดือน + แม่บ้าน 12,000 บาท/เดือน + ครูสอนพิเศษ 10,000 บาท/เดือน + พยาบาลส่วนตัว 20,000 บาท/เดือน + นักจิตวิทยาเด็ก 25,000 บาท/เดือน รวมแล้วกว่า 80,000 บาทต่อเดือน โอเคมันฟังดูเวอร์ๆ หน่อย แต่แม่ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมดกลับได้รับการยอมรับทางการเงินเป็นศูนย์
ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่การไม่ได้เงินหรอก แต่การไม่ได้ระบบสวัสดิการทางสังคม แม่ที่เลี้ยงลูกเต็มเวลาไม่มีเงินบำนาญ ไม่มีประกันสังคม ไม่มีการสะสมอายุงาน ถ้าหย่าร้างหรือสามีเสียชีวิต เธอจะไม่เหลืออะไรเลย แม้จะทุ่มเทชีวิตให้กับการสร้างเด็กเพื่อเติบโตไปเป็นคนรุ่นใหม่มาหลายปี
ในประเทศที่ก้าวหน้า มีระบบภาษีที่ยอมรับคุณค่าของงานดูแล ฝรั่งเศสมี “quotient familial” ที่ให้ครอบครัวคำนวณภาษีตามจำนวนสมาชิกครอบครัว การมีเด็กจะลดภาษีได้มาก เยอรมนีมี “Ehegattensplitting” หรือ การคำนวนภาษีแบบ income splitting ที่ให้สามีภรรยาแบ่งรายได้รวมกัน เพื่อลดภาระภาษีของครอบครัวที่มีคนดูแลลูกเต็มเวลาการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความยุติธรรม แต่เป็นเรื่องของความอยู่รอดของสังคม เมื่อเราไม่ให้คุณค่ากับงานดูแล เราก็กำลังส่งสัญญาณว่า
“การมีลูกเป็นภาระ”
“การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม”
ผลที่ตามมาคือคนไม่อยากมีลูก อัตราการเกิดลดลง และในอนาคตเราจะขาดคนหนุ่มสาวมาขับเคลื่อนประเทศ
เราต้องให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ดูแลหลัก (Primary Caregiver) ที่ให้ลดหย่อนฯ กับคนที่เลี้ยงลูกเต็มเวลา เหมือนกับที่เราให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนหรือการบริจาค นับเวลาเลี้ยงลูกเป็นเวลาทำงานในระบบประกันสังคม เพื่อที่แม่จะได้มีสิทธิ์รับบำนาญและสวัสดิการต่างๆ เหมือนคนทำงานทั่วไป ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กสามารถหักภาษีได้เต็มจำนวน ไม่ใช่แค่บางส่วนเหมือนในปัจจุบัน เพราะนี่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เพื่อให้พ่อแม่ทำหน้าที่ของตัวเองได้
การลงทุนในระบบภาษีที่เห็นคุณค่าของงานดูแลครอบครัว คือการลงทุนในอนาคตของประเทศ เป็นการบอกว่า “การสร้างคนมีค่าเท่ากับการสร้างเศรษฐกิจ” และ “คนที่เลือกเลี้ยงลูกเต็มเวลาคือผู้มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม”
เรื่องที่ 7: เมืองที่ออกแบบมาเพื่อครอบครัว ไม่ใช่แค่รถยนต์
เคยพยายามแบกรถเข็นเด็กขึ้นรถไฟฟ้าไหม?
เคยหาที่เปลี่ยนผ้าอ้อมในห้างไหม (ที่ไม่ใช่ในห้องน้ำหญิง)?
เคยพาลูกเดินบนทางเท้าที่ไม่มีทางเท้าไหม?
เมืองของเราออกแบบมาสำหรับคนทำงานที่ไม่มีลูก
ลองนึกภาพการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวที่มีลูกเล็กในกรุงเทพฯ เช้าวันหนึ่ง แม่ต้องพาลูกไปโรงเรียน เธอเข็นรถเด็กออกจากบ้าน แล้วพบว่าทางเท้าหน้าบ้านมีรถจอดขวาง และต้องเข็นหลบรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งสวนมา สุดท้ายต้องลงถนนไปเดินกับรถยนต์ พอถึงสถานี BTS ก็พบว่าลิฟต์เสีย ต้องแบกรถเด็กขึ้นบันได 30 ขั้น ระหว่างเดินทางลูกร้องเพราะ แต่ในสถานทีรถไฟฟ้าไม่มีที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ต้องรอจนถึงสถานีปลายทาง
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก นี่คือความเป็นจริงที่ครอบครัวไทยเผชิญทุกวัน เมืองของเราออกแบบมาในสมัยที่คิดว่าคนทำงานคือ “ผู้ใหญ่ที่ไม่มีภาระ” ทุกอย่างจึงออกแบบมาเพื่อความสะดวกรวดเร็วของคนกลุ่มนี้ โดยไม่คิดถึงคนที่ต้องพาเด็ก คนชรา หรือคนพิการ
การวางผังเมืองแบบ “เน้นรถยนต์เป็นศูนย์กลาง (car-centric)” ทำให้ทุกอย่างกระจัดกระจาย บ้านอยู่ชานเมือง ออฟฟิศอยู่ในเมือง โรงเรียนอยู่อีกทิศหนึ่ง ทำให้ครอบครัวต้องใช้เวลาเดินทางมากมาย พ่อแม่ไทยเฉลี่ยใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมงต่อวัน เวลาที่ควรจะใช้อยู่กับลูกหายไปบนท้องถนน
ประเทศที่ออกแบบเมืองโดยคำนึงถึงคนแบบอื่นๆ เช่น เดนมาร์กมีทางจักรยานที่ปลอดภัย พ่อแม่สามารถปั่นจักรยานพาลูกไปโรงเรียนได้ สิงคโปร์มีสวนสาธารณะกระจายอยู่ทุกย่าน เดินไม่เกิน 10 นาทีจากบ้านก็ถึงสนามเด็กเล่น ญี่ปุ่นมีระบบรถไฟที่เด็กสามารถนั่งไปโรงเรียนด้วยตัวเองได้อย่างปลอดภัยตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
สิ่งที่เราต้องการคือการออกแบบเมืองที่คิดถึงครอบครัว ทางเท้าที่เข็นรถเข็นเด็กได้จริง ไม่มีบันได ไม่มีหลุมบ่อ ไม่มีรถจอด กว้างพอสำหรับรถเด็กสองคันสวนกัน และมีหลังคากันแดดกันฝน ระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับครอบครัว ลิฟต์ที่ใช้งานได้จริง พื้นที่สำหรับรถที่มีเด็ก ห้องน้ำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็ก และตารางเดินรถที่เข้าใจว่าครอบครัวเดินช้ากว่าเดินคนเดียว
พื้นที่สาธารณะสำหรับเด็กในทุกย่าน ไม่ใช่แค่สวนสาธารณะขนาดใหญ่สองสามแห่งในเมือง แต่เป็นพื้นที่เล่นเล็กๆ ที่กระจายอยู่ในทุกชุมชน เดินไม่เกิน 15 นาทีจากบ้านก็ถึง มีเครื่องเล่นที่ปลอดภัย มีโต๊ะม้านั่งสำหรับพ่อแม่ มีห้องน้ำสะอาด และมีร่มเงาพอสำหรับทุกสภาพอากาศ
สถานีเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กที่คนทุกเพศใช้ได้ ไม่ใช่แค่อยู่ในห้องน้ำหญิงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะพ่อก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกเหมือนกัน การมีพื้นที่เปลี่ยนผ้าอ้อมในห้องน้ำชายหรืออยู่ในห้องแยกเป็นการส่งสัญญาณว่า “พ่อก็เป็นผู้ดูแลหลักได้เหมือนกัน”
และที่สำคัญที่สุดคือ สถานที่ทำงานใกล้ที่อยู่อาศัยเพื่อลดเวลาเดินทาง การมี พื้นที่ที่มีทั้งที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงเรียน และร้านค้าในพื้นที่เดียวกัน ทำให้ครอบครัวสามารถเดินไปทำงาน หรือเดินไปโรงเรียนและใช้ชีวิตแบบ “เมือง 15 นาที” ที่ทุกอย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่ในระยะเดิน 15 นาที
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบายสำหรับครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นเพื่อคุณภาพชีวิตของการพัฒนามนุษย์ เมื่อพ่อแม่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง พวกเขาจะมีเวลาให้ลูกมากขึ้น เมื่อเด็กมีพื้นที่เล่นใกล้บ้าน พวกเขาจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เมื่อเมืองเป็นมิตรกับครอบครัว ผู้คนจะอยากมีลูกมากขึ้น
เมืองที่ดีไม่ใช่เมืองที่รถยนต์วิ่งได้เร็วที่สุด
แต่เป็นเมืองที่ครอบครัวใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขที่สุด
The Domino Effect: เมื่อระบบหนึ่งเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน
ลองจินตนาการ ถ้าพ่อแม่ได้รับสิทธิลาคลอด 6 เดือน ลูกจะได้กินนมแม่นานขึ้น สุขภาพดีขึ้น ค่ารักษาพยาบาลลดลง ถ้ามีศูนย์เด็กเล็กคุณภาพดี แม่กลับไปทำงานได้ เศรษฐกิจดีขึ้น มีภาษีเพิ่มขึ้น มีเงินที่สามารถนำมาสร้างศูนย์เด็กเล็กได้มากขึ้น ถ้าพ่อมีส่วนร่วมมากขึ้น แม่เครียดน้อยลง ครอบครัวมีความสุข เด็กโตมาอย่างมีสมดุล สังคมดีขึ้น
นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประเทศที่ทำจริง ญี่ปุ่นเคยมีวัฒนธรรมที่ผู้ชายทำงานหนักเหมือนประเทศไทย แต่ตอนนี้ผู้ชายญี่ปุ่นได้รับสิทธิลาคลอดสำหรับพ่อ 4 สัปดาห์ เกาหลีใต้เคยมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก แต่กำลังปฏิรูปทุกระบบเพื่อช่วยพ่อแม่ สิงคโปร์ประเทศที่ “ทำธุรกิจมากที่สุด” ก็ยังมีช่วงเวลาลาคลอดถึง 16 สัปดาห์
คำถามที่แท้จริง
คำถามไม่ใช่ “ทำได้ไหม” คำถามคือ “เราให้ความสำคัญแค่ไหน” เราให้ความสำคัญกับ GDP มากกว่าความสุขของครอบครัวหรือเปล่า เราให้ความสำคัญกับกำไรระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาวหรือเปล่า เราให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นหรือผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มมากกว่าคุณภาพชีวิตจริงๆ ของคนส่วนใหญ่หรือเปล่า
สวีเดนเห็นผลกระทบที่ลึกซึ้งจากการลงทุนในนโยบายที่สนับสนุนครอบครัวมาหลายทศวรรษ หลายทศวรรษนั่นคือเวลาที่ต้องใช้ แต่ถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าเราก็จะมานั่งถามคำถามแบบเดิม
นี่ไม่ใช่ความฝันที่เพ้อฝัน นี่คือสิ่งที่ประเทศอื่นทำได้แล้ว และถ้าเราเริ่มเปลี่ยนวันนี้ ลูกหลานของเราจะไม่ต้องมานั่งอ่านบทความแบบนี้ เพราะพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าในระบบที่ดีกว่า ระบบที่เห็นว่าการสร้างคนสำคัญไม่แพ้การสร้างเงิน ระบบที่พ่อแม่ได้เป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ระบบที่ทุกคนชนะไม่มีใครแพ้ตอนต่อไป: เราจะมาดู “Toolkit” ที่พ่อแม่ใช้ได้จริงในระบบที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะขณะที่เรารอให้ระบบเปลี่ยน พ่อแม่ก็ต้องอยู่รอดไปพลางๆ ก่อน
Writer

Admin Mappa
illustrator

Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด