นิทานหนึ่งเรื่อง อาจเปลี่ยนโลกของเด็กได้สักคน คุยกับ ‘ครูมู’-ชัยฤทธิ์ ศรีโรจน์ฤทธิ์ นักเล่านิทาน ผู้ที่เชื่อว่าการอ่านและความรักเป็นเรื่องเดียวกัน
นิทานหนึ่งเรื่อง อาจเปลี่ยนโลกของเด็กได้สักคน คุยกับ ‘ครูมู’-ชัยฤทธิ์ ศรีโรจน์ฤทธิ์ นักเล่านิทาน ผู้ที่เชื่อว่าการอ่านและความรักเป็นเรื่องเดียวกัน
“ฉันจะซื้อหนังสือให้เธออ่านนะ เพราะเธอไม่เคยมีหนังสือเป็นของตัวเอง” ประโยคนี้เป็นประโยคของ ครูมู-ชัยฤทธิ์ ศรีโรจน์ฤทธิ์ นักเล่านิทาน นักเขียนนิทาน และที่ปรึกษาของมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ซึ่งได้เอ่ยถึงตัวเองในวัยเยาว์
“จำได้ว่า ตอนเด็กๆ เคยได้รับนิทานภาษาอังกฤษมาจากน้า นิทานเรื่องนั้นไม่ได้ให้อะไรกับเราเลย นอกจากความรู้สึกที่ว่า ‘ฉันมีมันนะ’ รู้สึกแค่ว่า ดีใจมีคนให้ของที่เรารักกับเรา แต่สิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการจริงๆ คือ การมีคนอ่านให้เขาฟัง” ครูมูบอกถึงความรู้สึกต่อนิทานเล่มแรกของเขา
“เพราะฉะนั้น นิทานจึงให้ความรัก ตามหลักทฤษฎี Reading aloud ถ้าฉันไม่รักเธอ ไม่อยากให้เธอได้อะไร ฉันไม่ยอมเหนื่อยอ่านให้เธอฟังหรอก สิ่งที่อยู่ในนิทานเมื่อตั้งไว้เฉยๆ ก็เท่านั้น แต่เพราะมันคือ ‘ความรัก’ เมื่อฉันเจอว่าเรื่องนี้ดี ฉันจึงอยากบอกเล่าให้เธอได้ฟัง นิทานจึงทำงานกับความรู้สึกของเด็ก รวมถึงพ่อแม่ด้วย” ครูมูเสริม
วันเวลาผ่านไปจากเด็กน้อยคนนั้น เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี มีหน้าที่การงานตามใจหวัง และเป็นครูมูในทุกวันนี้ ที่เป็นทั้งนักเล่านิทานผู้โอบกอดความสุขจากการอ่าน ส่งตรงถึงใจเด็กๆ ผู้ฟังจากหลายๆ มุมทั่วประเทศ เป็นนักเขียนนิทานที่สร้างสรรค์หนังสือไทยให้คงอยู่ในสังคมอีกมากมาย และยังเป็นอาจารย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมนิทาน และเป็นอะไรก็ได้ที่เด็กๆ (ที่มาฟังนิทาน) อยากให้ครูมูเป็น
“ครูมูต้องมีความสุขมากแน่ๆ” สังเกตว่าทุกคำตอบมักมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะลงท้ายเสมอ
ครูมูยิ้มและตอบว่า “มันดีงาม เราเชื่อว่า นี่คือศักยภาพของเรา เราทำสิ่งนี้ได้ดี และเราก็ใช้สิ่งนี้ทำต่อไป มีครั้งหนึ่ง เด็กมาบอกว่า ‘ลุงๆ ตลกมากเลย’ เราก็คิดว่า ‘นี่ฉันตลกขนาดนั้นเลยหรือ’ แต่ก็ทำให้วันนั้นทั้งวัน เรารู้สึกสว่างวาบมาก”
นี่แค่น้ำจิ้ม เมื่อ Mappa ชวนคุย แล้วครูมูพร้อมเล่า เรื่องความสุขในการอ่าน ผ่านแรงบันดาลใจ มุมมอง และประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงนิทานเด็กมานาน ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน (รวมถึงอนาคต) มาตามเรื่องเล่าของครูมูไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่า คุณอาจจะเจอความสุขจากนิทานบางอย่างที่เคยทำหล่นหายไว้ก็ได้นะ
วันวาน (ของครูมู) กับ งานเต้นรำของขวด (และครูเกริก)
สังเกตไหมว่า เด็กๆ ชอบให้อ่านนิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ อยู่บ่อยๆ ยิ่งเป็นเรื่องโปรดเล่มที่ประทับใจ ก็จะถูกประดับไว้ในหัวใจและดวงตาของเด็กๆ เสมอ เช่นเดียวกับครูมูในวัยเยาว์ ที่ได้เล่าถึงนิทานเล่มโปรด และนี่คือจุดเริ่มต้นของโลกแห่งนิทานที่ครูมูได้พบเจอด้วยตัวเอง
“ตอนเป็นเด็กที่บ้านต่างจังหวัด ไม่มีทีวี ความบันเทิงเดียวที่มีคือการอ่านหนังสือ เราจะยืมหนังสือจากห้องสมุดของโรงเรียนกลับบ้านทุกวัน จนเราได้เจอหนังสือเรื่อง ‘งานเต้นรำของขวด’ เราดูภาพในนี้นานมากและชอบมาก แล้ววันหนึ่งเพิ่งรู้ว่า เล่มที่อยู่ในหัวของเรามาตลอด คือครูของฉันเอง ครูเกริก (ศาสตราจารย์เกริก ยุ้นพันธ์) เป็นคนวาดภาพประกอบ”
น้ำเสียงที่ตื่นเต้นนิดๆ เมื่อพูดถึงการพบกันระหว่างครูมูกับครูเกริกผ่านหนังสือนิทาน ทำให้เราต้องกลับมาค้นข้อมูลของหนังสือเล่มนี้แล้วพบว่า เป็นภาพสีน้ำที่อ่อนหวาน นุ่มนวลชวนดูตลอดทั้งเรื่อง เนื้อหาก็สนุก เป็นเรื่องของเด็กชายกับขวดน้ำอัดลม แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม แต่ทั้งเนื้อหาและลายเส้นยังคงน่าดูชม และชวนให้ติดตาม
ขนาดเรามาพบทีหลังยังรู้สึกดีจนอยากหานิทานเมื่อสิบกว่าปีมาอ่านบ้าง “แล้วครูมูล่ะ ความประทับใจนี้เป็นแรงกระตุ้น นำพาให้ครูเดินบนเส้นทางสายนิทานเด็กหรือเปล่า” เราถาม
ครูมูเล่าว่า “เรามีความสุขกับการอ่านไปเรื่อยๆ จนมันเป็นวิถีของเราไปแล้ว ภาพที่เพื่อนมองเราก็คือ คนอ่านหนังสือ เวลามีคาบห้องสมุด เราก็นั่งอ่านหนังสือเรื่อง ‘แวววัน’ ของโบตั๋น เราตั้งใจว่า จะไม่ยืมเล่มนี้กลับบ้าน เพราะจะมาอ่านเฉพาะวิชาห้องสมุดเท่านั้น พอถึงคาบนี้ก็อ่านไปเรื่อยๆ จนจบ และนี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากเข้าคณะอักษรศาสตร์แบบแวววัน แต่รู้ตัวดีว่าไปไม่ถึง” (หัวเราะ)
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่า จะต้องสอบเข้าคณะอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน จนกระทั่งสามารถเข้าไปเป็นรุ่นที่หนึ่งของ คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาบรรณารักษ์ วิชาเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ในที่สุด และที่นี่ ทำให้ครูมูได้เจอกับครูเกริก
“ตอนเรียนแรกๆ ก็งงๆ เพราะพัฒนาการอ่านของเรา มาจากวรรณกรรมเยาวชน และนวนิยาย แต่เข้ามาแล้วได้เรียนนิทานภาพ ซึ่งต่างกันมาก แต่สุดท้ายเราก็ตั้งใจเรียน แล้วรู้สึกว่า วรรณกรรมเด็กขัดเกลาให้เรากลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง” ครูมูบอก
แต่ครูมูก็เจอจุดติดจนได้ เมื่อชอบอ่าน ชอบเขียน แต่ไม่ชอบวาด อะไรจะเกิดขึ้นต่อ
“เราวาดรูปไม่เป็น แต่ในขณะที่นักทำนิทานเด็ก อย่าง ครูเกริก ครูปรีดา (อาจารย์ปรีดา ปัญญาจันทร์) ครูชีวัน ล้วนก็เป็นนักเขียนและวาดนิทานเด็กทั้งนั้น ยกเว้นครูสมบูรณ์ที่ไม่ได้วาดเหมือนกัน เลยไม่คิดอะไร
“ในขณะที่ครูเกริกเองก็พยายามให้เราวาดนะ เราก็ไม่วาดอยู่ดี อย่างตอนที่ต้องทำสารนิพนธ์เรียนจบ แล้วต้องทำรูปเล่มเองก็ใช้วิธีพับกระดาษแล้วถ่ายรูป ก็เป็นงานศิลปะทางภาพเหมือนกัน” ครูมูแก้ปัญหาด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และน่าสนใจมาก
อีกหลายปีต่อมาสารนิพนธ์เล่มนี้ ที่มีชื่อเรื่องว่า ‘ของขวัญของหอยทาก’ ได้กลายเป็นหนังสือนิทานเด็กเล่มแรกของครูมูที่ได้ตีพิมพ์ในฐานะคนเขียนนิทาน ส่วนเส้นทางการเป็นนักเล่านิทานเริ่มออกเดินทางไปได้สักพักแล้ว
เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน ชี้ว่า โลกของ “การเล่าให้ฟัง” กับ “การอ่านให้ฟัง” ต่างกันอยู่ (บ้าง)
“เราเริ่มจากการเล่านิทาน ไม่ใช่เขียนนิทาน” ครูเริ่มเล่าให้เราฟัง
“โชคดีที่เราตามครูทั้งสี่ท่านไปทำงาน (ครูเกริก ครูปรีดา ครูสมบูรณ์ และครูชีวัน) เวลาที่ครูบรรยาย บางครั้งต้องใช้เวลาทั้งวัน ก็จะให้เราไปเล่านิทาน ทำให้เราเห็นครูเล่านิทาน ได้ลองเล่านิทานไปด้วย แล้วทำให้เรามีมุมมองเรื่องการใช้นิทานเด็ก ที่จริงแล้วหนังสือทุกเล่มมีคาแรกเตอร์และการใช้ที่ไม่เหมือนกัน บางเล่มเหมาะกับการเล่าแบบกลุ่มใหญ่ เล่าแล้วสนุกเพิ่มเสียงหัวเราะ บางเล่มต้องเล่าแบบตัวต่อตัว บางเล่มเหมาะกับการนั่งดูเงียบๆ คนเดียว
“เรารู้เลยว่า เล่มไหนที่ควรใช้บนเวทีการเล่านิทาน เล่มไหนใช้บนเวทีแล้วตาย (หัวเราะ) เราจะรู้จักหนังสือนิทานผ่านการคิดและตัดสินของเราว่า เหมาะกับการใช้แบบไหน เราเชื่อว่า หนังสือทุกเล่มไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนสัมผัสในทุกมิติ”
ความน่าสนใจของการใช้นิทานมีอยู่สองประเด็นคือ การเล่านิทาน กับ การอ่านนิทานให้ฟัง เราจึงถามด้วยความไม่แน่ใจว่า สองสิ่งนี้ต่างกันแค่ไหน อะไรคือจุดที่ทำให้แตกต่างกันมากที่สุด ครูมูยิ้ม แล้วเล่าต่อว่า
“การอ่านสร้างพัฒนาการทางด้านภาษาให้เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่การเล่าคือสร้างจินตนาการและคิดสร้างสรรค์ ทั้งสองแบบไม่มีถูกไม่มีผิด มีทฤษฎีใหม่ๆ บอกให้อ่านก่อน ค่อยเล่า แต่จากคำของอาจารย์สมบูรณ์ที่บอก นิทานหนึ่งเรื่อง ใช้ได้ร้อยวิธี แต่ละวิธีใช้ได้ร้อยครั้ง แต่ละครั้งใช้กับเด็กร้อยคน นิทานหนึ่งเล่ม อ่านได้ เล่าได้ ร้องได้ และอื่นๆ ได้อีกมากมาย แต่สำคัญคือ ‘เรื่องเล่า’ พ่อแม่กลับลืม”
ครูมูยกตัวอย่างเรื่องเล่าของคุณพ่อคุณแม่ เช่น พ่อแม่เจอกันที่ไหน พ่อกับแม่รักกันได้อย่างไร วันที่แม่จะไปคลอดลูกวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท้องฟ้าเป็นอย่างไร ฝนตกไหม ทั้งหมดเป็นเรื่องของลูก ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ยากที่สุด และเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับลูกมากที่สุดเช่นกัน
“การเล่าที่ดีคือ ตอนที่ลูกอยู่บนเตียง ดับไฟสลัวๆ เพื่อให้เขาพร้อมหลับได้ทุกเมื่อไปกับเรื่องเล่าของเรา อาจจะเป็นนิทานที่จำได้หรือเรื่องเล่าอื่นๆ แตกต่างจากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง ควรให้ลูกนั่งตักแล้วเรากางหนังสือ แยกให้ชัดเลยว่า คนละเวลา ถ้าเราอ่านนิทานบนเตียง มันจะไม่มีที่สิ้นสุด” ครูมูทำท่ากางแขนถือหนังสือ
“มุมมองจะไม่เหมือนกัน เมื่อปกโดนแสงไฟกระทบ ส่วนที่เห็นก็จะมืดๆ ดำๆ แล้วแม่ก็จะเมื่อยมาก เมื่อยจักกะแร้มาก เพราะฉะนั้น ควรแยกเรื่องอ่าน กับ เรื่องเล่า ให้มันทำงานกันคนละแบบ คนละเวลา” ครูอธิบายจนเห็นภาพเป็นฉากๆ
“จริงๆ แล้วยังมีอีกอย่างที่หายไป คือ การร้องเพลงกล่อม คนยุคนี้รู้สึกว่า เสียงของฉันไม่ดี แล้วเราก็มีเครื่องมือง่ายๆ อย่าง youtube เปิดเพลงให้ลูกฟังดีกว่า แต่นั่นคือ เสียงใครก็ไม่รู้ และการที่เด็กจะหลับตาได้ เด็กต้องรู้ว่า ที่ตรงนี้ปลอดภัย และเสียงแม่คือพื้นที่ปลอดภัย แม่เลยต้องร้องเพลงกล่อมลูก หากไม่ถนัดร้องเพลง ก็เล่าไป เล่าอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้เด็กวัย 0 – 7 ปี เข้านอนคนเดียว เพราะเราต้องการให้เขารู้ว่า พื้นที่นี้ปลอดภัย อย่างไรก็ต้องส่งลูกเข้านอนทุกคืน” ครูตอบชัดเจน
เรียกโลกใบนี้ว่า ‘นิทาน’
มีบางอย่างที่ครูมูอยากบอกเรื่องโลกของนิทาน ว่ามีหลักการที่น่าสนใจ เมื่อนิทานควรเป็นแบบไร้ตัวอักษร (Wordless) ก่อน เน้นการฟัง เพื่อพูดให้ได้ แล้วค่อยอ่านออก และเขียนได้ในที่สุด
“นิทานเด็กไทยข้ามพัฒนาการของเด็กไป เด็กจะต้องเจอหนังสือที่ไม่มีตัวหนังสือก่อน แล้วค่อยมาเจอตัวหนังสือ เพราะการที่ไม่มีตัวหนังสือ เด็กสามารถสร้างคำเองได้ หรือพ่อแม่สามารถสร้างคำเองได้ โดยไม่มีแพทเทิร์น ต่อให้เล่ากี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิม แต่เนื้อหาใจความยังเหมือนเดิม” ครูมูอธิบาย พร้อมหยิบหนังสือนิทานเรื่อง ‘สงครามขนมหวาน’ ขึ้นมาประกอบ แล้วเปิดไปหน้าที่ไม่มีคำให้อ่าน
“อาจจะเล่าว่า อุ๊ย! ฝอยทอง เกี่ยวขนมพายลงมา อุ๊ย! ขนมพายกำลังลงมาจากโต๊ะแล้ว คือ คำไม่เหมือนกันในแต่ละครั้ง แต่ภาพยังทำงาน แล้วเด็กจะได้คลังคำเยอะมาก แต่พอมีแพตเทิร์น เราก็จะไม่หนีจากก้อนคำ ซึ่งจะกลายเป็นอ่านเขียน แต่สิ่งแรกคือ ฟังเสียงพูด ที่ต้องมาก่อน”
เราแลกเปลี่ยนมุมมองกับครูมูว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า นิทานต้องมีคำ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น
ครูตอบว่า “ใช่ สมัยก่อนพ่อแม่ไม่กล้าใช้ แต่เดี๋ยวนี้ดีกว่าสมัยก่อนมาก อาจเพราะเข้าใจ และรู้ว่าจะต้องใช้อย่างไรมากขึ้น”
ที่จริงแล้ว เราเป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าใจว่านิทานคือเครื่องมือสำคัญที่ใช้สื่อสารและสอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับเด็กได้ ไหนจะเป็นตัวแทนช่วยปรับพฤติกรรมของลูก หรือส่งเสริมด้านอื่นๆ ให้ลูก แต่สำหรับนักเล่านิทานอย่างครูมีข้อคิดเห็นที่น่าสนใจแทนคำตอบ
“คนไทยชอบทำนิทานเป็นเครื่องมือ เช่น แปรงฟัน กินผัก อาบน้ำ บางครั้งเราอาจปล่อยให้นิทานได้เป็นนิทานบ้างก็ได้ อย่างเวลาเราทำงานแล้วต้องมีโจทย์นิทาน เราจะรู้สึกว่า ‘นิทานแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกไม่ได้’ อย่ามาฝากความหวังไว้กับนิทานอย่างเดียว เพราะมันคือสื่อเล็กๆ ของเด็ก และโลกใบนี้”
แม้จะแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้ แต่ครูมูบอกกับเราว่า “นิทานดีๆ ช่วยให้โลกนี้สวยงาม ไม่ว่าโลกจะโหดร้ายหรือเจ็บปวดอย่างไร เรากลับไปที่นี่ ที่ที่เคยสัมผัสนิทานกับคนข้างๆ เราก็จะยังเจอพื้นที่ปลอดภัย แม้วันหนึ่งคนข้างๆ อาจไม่อยู่แล้ว พื้นที่ปลอดภัยตรงนั้นมันก็จะยังอยู่ตลอดไป”
เด็กคนนั้นจะจดจำได้และนึกถึงช่วงเวลาดีๆ เหล่านั้น เมื่อได้เห็นนิทานเล่มเดิม นึกถึงตอนที่มองดูรูปด้วยกัน ได้นั่งอยู่บนตักนุ่มๆ สัมผัสกอดของแม่ น้ำเสียงสีหน้าท่าทางของแม่ ทุกอย่างจะยังอยู่ในความทรงจำ เพราะขณะที่ฟังนิทานจากแม่ แม่จะย้ายจากอยู่ตรงหน้า ไปอยู่ในหัวใจและดวงตานั่นเอง
การอ่านนิทาน ก็เปลี่ยนโลกใบนี้ได้เช่นกัน
ครูมูเคยกล่าวไว้ในอ่านสร้างสุขว่า หากอยากเปลี่ยนโลกทั้งใบให้อ่านนิทานให้เด็กฟัง
“มันไม่ใช่แค่อ่านนิทานให้เด็กฟัง อ่านนิทานให้ใครฟังก็ได้ ล้วนคือการเปลี่ยนโลก (โลกของเด็ก)” ครูมูหยิบยกตัวอย่าง จากหนังสือเรื่อง ‘เมล็ดแคร์รอต’ มาประกอบความเข้าใจ
“แคร์รอตมีเมล็ดมั้ย” ครูมูถาม และเราก็ส่ายหน้าทันที
“คำตอบคือ แคร์รอตมีเมล็ด แล้วนี่ล่ะคือสิ่งที่น่ากลัวมาก ไม่ว่าจะเป็นบทบาทครู พ่อแม่ ถ้าเราบอกว่า แคร์รอตไม่มีเมล็ดหรอกลูก เชื่อไหมว่า ลูกจะจำแบบนั้นไปตลอด ในขณะเดียวกัน ประสบการณ์เดิมของเรา เราไม่เคยเห็นเมล็ดแคร์รอตก็จริง แต่หากเปลี่ยนจาก ‘ไม่มี’ เป็น ‘ไม่รู้’ แต่เดี๋ยวแม่จะหาข้อมูลมาให้ จุดนี้เองโลกของเขาก็เปลี่ยน และเขาก็จะเป็นคนที่รู้ได้มากกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ยุคสมัยของเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว เราฝากความหวังไว้ที่เด็กยุคนี้ และโลกก็จะเปลี่ยนไป”
ความสุขก็เช่นกัน การอ่านนิทานเปลี่ยนโลกได้ ก็เปลี่ยนให้เป็นความสุขได้ง่ายๆ
“เด็กๆ จะรู้ว่า เขามีความสุขได้เพียงแค่อ่านหนังสือ เธอแค่หยิบหนังสือขึ้นมาก็มีความสุขแล้ว เธอจะอ่านอะไรก็ได้ อ่านการ์ตูนก็ได้ สมัยก่อนคนอ่านการ์ตูนเล่มละบาท ทุกคนก็แฮปปี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องผี แล้วพัฒนาการของการอ่านจะขยับไปสู่เรื่องอื่นๆ ได้”
คำถามจบในครั้งนี้ เรานึกอยากรู้ว่า “ครูมูคิดว่า ในอนาคตตัวเองจะยังเป็นนักเล่านิทานอยู่ไหม”
“เราจะยังทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด เราไม่รู้เลยว่า ตอนที่เล่านิทานหนึ่งเรื่อง อาจจะเปลี่ยนเด็กได้สักคน หรือเปลี่ยนโลกทั้งใบของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ได้ หรือเปลี่ยนได้ทั้งเจเนอเรชั่นหนึ่งเลยก็ได้นะ” ครูมูยังคงยิ้มให้เหมือนเดิม
Writer
ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล
คุณแม่ที่มีความตั้งใจเลี้ยงลูกชายตัวน้อยให้มีความสุขแบบกำลังพอดี และตัวเองก็แฮปปี้ได้ด้วย คุณแม่คนนี้หลงรักและทำงานด้านการเขียนมากว่า 14 ปี ตอนนี้มีความฝันอยากเป็นนักเขียนและวาดนิทานเด็ก
Photographer
ณัฐวุฒิ เตจา
เปรี้ยว ซ่า น่าลัก
illustrator
Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด