อ่านเรื่องของคนอื่น เพื่อกลับมาเข้าใจตัวเอง:เพราะนิทานไม่ได้แค่เล่าเรื่องคนอื่น แต่มักเล่า “ตัวเรา” ที่เรายังไม่รู้จัก

อ่านเรื่องของคนอื่น เพื่อกลับมาเข้าใจตัวเอง:เพราะนิทานไม่ได้แค่เล่าเรื่องคนอื่น แต่มักเล่า “ตัวเรา” ที่เรายังไม่รู้จัก

บางครั้ง เด็กอ่านเพื่อรู้ว่าตัวเองเศร้าอยู่หรือเปล่า

เราเคยสงสัยไหมว่าทำไมเด็กถึงอยากฟังเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ไม่ใช่เพราะเขาจำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่เพราะเขายัง “อยู่กับเรื่องนั้นไม่เสร็จ” เขายังไม่พร้อมที่จะปล่อยมันไป เขายังต้องการเวลากับมันอีก

เขากำลังใช้เรื่องนั้น “ซ้อมความรู้สึก” กำลังใช้มันเป็นกระจกส่องใจ กำลังใช้มันเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไร เรื่องที่เขาชอบ เรื่องที่เขาขอฟังซ้ำ ๆ อาจมีอารมณ์ที่เขาอยากเข้าใจ หรืออยากมีพื้นที่อยู่กับมันอย่างปลอดภัย

การอ่านซ้ำคือการเยียวยาในรูปแบบหนึ่ง เป็นการให้เด็กได้กลับไปที่เดิม เพื่อหาสิ่งที่เขาอาจพลาดไป เพื่อย่อยสิ่งที่เขายังย่อยไม่หมด เพื่อเข้าใจในสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาขัดจังหวะ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ทัน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าใจผิด

เด็กไม่ได้อ่านเพื่อรู้เรื่อง เขาอ่านเพื่อรู้ใจ ไม่ได้อ่านเพื่อเก็บข้อมูล แต่อ่านเพื่อประมวลผลความรู้สึก ไม่ได้อ่านเพื่อผ่านไปให้จบ แต่อ่านเพื่ออยู่กับมันให้เข้าใจ และบางครั้ง การเข้าใจต้องใช้เวลา ต้องการการกลับมาดูซ้ำ ต้องการการยืนยันว่าสิ่งที่เขารู้สึกนั้น เป็นเรื่องปกติ

นิทานไม่เคยชี้หน้าเรา แต่มักพาเราไปเจอตัวเอง

นิทานเป็นกระจกที่ไม่เคยพูดตรงๆ ว่า “นี่คือตัวเธอ” หนังสือภาพที่ดีไม่เคยบอกว่าเด็ก “ควรเป็นใคร” “ควรรู้สึกอย่างไร” หรือ “ควรทำอย่างไร” แต่มันมักมีใครบางคนที่เด็กสามารถเชื่อมโยงได้ ใครบางคนที่รู้สึกคุ้นเคย แม้จะไม่เคยเจอมาก่อน

อาจเป็นตัวละครที่ขี้อาย ที่ยืนอยู่มุมงานปาร์ตี้ ไม่กล้าเข้าไปเล่นกับใคร อาจเป็นตัวละครที่หลงทาง ที่เดินไปมาในป่าใหญ่ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน อาจเป็นตัวละครที่ไม่มีใครฟัง ที่พยายามบอกอะไรบางอย่าง แต่ทุกคนยุ่งเกินไป อาจเป็นตัวละครที่คิดถึงใครบางคน ที่ไม่อยู่แล้ว อาจเป็นตัวละครที่กลัวความมืด กลัวเสียงดัง กลัวการเปลี่ยนแปลง

และผ่านตัวละครนั้น เด็กได้สำรวจตัวเอง โดยไม่รู้สึกว่าถูกจับจ้อง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน โดยไม่ต้องอธิบายว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น เขาแค่ดู แค่ฟัง แค่รู้สึกไปกับตัวละคร และในการรู้สึกไปกับตัวละครนั้น เขาก็ได้รู้สึกกับตัวเองด้วย

Louise Rosenblatt เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Reading as Transaction” การอ่านไม่ใช่การรับข้อมูลเข้ามา แต่เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้อ่านกับเรื่องราว เป็นการนำประสบการณ์ของตัวเองมาปะติดปะต่อเข้ากับเรื่องที่อ่าน เป็นการสร้างความหมายขึ้นมาใหม่ จากการเชื่อมโยงสิ่งที่อยู่ในหนังสือเข้ากับสิ่งที่อยู่ในใจ

เรารู้จักตัวเองครั้งแรก ผ่านเรื่องของคนอื่น

“ความเข้าใจตัวเอง” ไม่ได้สอนกันได้ แต่เราสามารถวางพื้นที่ให้มันเกิดขึ้นได้ เด็กหลายคนไม่รู้จักคำว่า “เสียใจ” “กลัว” “ไม่แน่ใจ” “เหงา” “โมโห” “ผิดหวัง” ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนั้น แต่เพราะไม่มีใครเคยบอกเขาว่าความรู้สึกเหล่านั้นมีชื่อเรียก มีความหมาย และเป็นเรื่องปกติ

แต่เมื่อได้อ่านเรื่องของคนอื่น เขาจะเริ่มรู้ว่า “อ๋อ ความรู้สึกนี้มันมีชื่อเรียกนะ” “อ๋อ มีคนอื่นรู้สึกแบบนี้เหมือนกันนะ” “อ๋อ มันไม่ใช่เรื่องแปลกนะ” นิทานช่วยสร้างคำศัพม์ทางอารมณ์ และการอ่านอารมณ์ หรือ emotional literacy แบบไม่บังคับ แบบไม่รู้ตัว แบบที่เด็กไม่รู้สึกว่าเขากำลัง “เรียน”

Bettelheim ในหนังสือ “The Uses of Enchantment” อธิบายว่านิทานช่วยให้เด็กได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ซับซ้อนและน่ากลัว ผ่านการเป็นสื่อกลางที่ปลอดภัย เด็กไม่ต้องยอมรับว่าเขากลัว แต่เขาสามารถรู้สึกกลัวไปกับตัวละครได้ เขาไม่ต้องยอมรับว่าเขาโกรธ แต่เขาสามารถเข้าใจความโกรธผ่านตัวละครได้

การมีคำศัพท์ทางอารมณ์ไม่ใช่แค่เรื่องของการสื่อสาร แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเอง เมื่อเด็กรู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกเรียกว่าอะไร เขาจะสามารถจัดการกับมันได้ดีขึ้น เขาจะไม่รู้สึกสับสนหรือหลงทางในความรู้สึกของตัวเอง เขาจะมีเครื่องมือในการเข้าใจและรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ

เรื่องของเขา = ทางลัดที่ปลอดภัยที่สุดในการสะท้อนตัวเรา

เราจะรู้จักตัวเองได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราเคยได้อ่านเรื่องราวหลายแบบแค่ไหน ถ้าเด็กมีแต่หนังสือที่ตัวเอกเก่ง ดี ชนะเสมอ เขาอาจไม่รู้ว่าจะรักตัวเองตอนพลาดยังไง อาจไม่รู้ว่าการล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ อาจไม่รู้ว่าการไม่เก่งในบางเรื่องไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ค่า

ถ้าเด็กมีแต่เรื่องที่มีตอนจบแฮปปี้เสมอ เขาอาจไม่รู้ว่าจะอยู่กับความไม่แน่นอนได้ยังไง อาจไม่รู้ว่าบางครั้งปัญหาไม่มีคำตอบง่าย ๆ อาจไม่รู้ว่าการเศร้าหรือการสูญเสียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และไม่ได้หมายความว่าชีวิตนั้นแย่

ถ้าเด็กมีแต่เรื่องที่ตัวละครแก้ปัญหาเองได้เสมอ เขาอาจไม่รู้ว่าการขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ อาจไม่รู้ว่าการพึ่งพาใครบางคนไม่ใช่เรื่องอายอาจไม่รู้ว่าทุกคนต้องการใครสักคนในชีวิต

ความหลากหลายของเรื่องราวเท่ากับความซับซ้อนของใจที่ได้รับอนุญาตให้เป็นจริง เมื่อเด็กได้อ่านเรื่องราวที่หลากหลาย เขาจะได้รู้ว่าความเป็นมนุษย์มีหลายหน้า มีหลายมิติ มีหลายวิธีในการรู้สึก ในการคิด ในการจัดการกับปัญหา เขาจะได้เห็นว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และนั่นก็โอเค

งานวิจัยของ McAdams (1993) เกี่ยวกับ Narrative Identity บอกว่าเราสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านเรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง ผ่านการเชื่อมโยงประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันให้เป็นเรื่องราวที่มีความหมาย และเรื่องราวที่เราอ่านในวัยเด็กจะกลายเป็นต้นแบบสำหรับเรื่องราวที่เราจะเล่าให้ตัวเองฟังในภายหลัง

นิทานที่ดี ไม่ได้สอนเราให้เข้าใจโลกก่อน แต่พาเรากลับมาเข้าใจหัวใจตัวเอง

เราช่วยลูก “อ่านตัวเอง” ได้ไหม? โดยไม่ต้องอธิบายทุกอย่างให้ถูกต้องเสมอ โดยไม่ต้องรีบสรุปความหมายของทุกเรื่อง โดยไม่ต้องบอกเขาว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไร หรือควรจะคิดอย่างไร บางครั้ง สิ่งที่เด็กต้องการไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่การอธิบาย

แต่คือคำถามแบบเบา ๆ “ตัวละครนี้รู้สึกยังไงนะ?” “หนูเคยเป็นแบบนี้ไหม?” “หนูคิดว่าเขาทำไมถึงทำแบบนั้นนะ?” แล้วปล่อยให้เขาคิด รู้สึก อย่างปลอดภัย ปล่อยให้เขาเชื่อมโยงเรื่องในหนังสือเข้ากับเรื่องในใจของเขาเอง ปล่อยให้เขาค้นพบคำตอบด้วยตัวเขาเอง

เราจะไม่มีวันเข้าใจตัวเอง ถ้าไม่มีใครยอมให้เราคิดด้วยตัวเองบ้าง ถ้าทุกครั้งที่เราเริ่มรู้สึกอะไร ก็มีใครมาบอกเราทันทีว่าเรากำลังรู้สึกอะไร ทำไม และควรจะทำอย่างไร เราจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะฟังเสียงในใจของตัวเอง ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะการเข้าใจตัวเอง

การอ่านร่วมกันจึงควรเป็นพื้นที่ที่เด็กได้ฝึกฝนทักษะนี้ พื้นที่ที่เขาได้รู้สึกโดยไม่ถูกตัดสิน ได้คิดโดยไม่ถูกแก้ไข ได้สำรวจความรู้สึกของตัวเองผ่านตัวละครในเรื่อง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิด หรือเข้าใจผิด

แนวคิดใน Art Therapy และ Bibliotherapy ใช้เรื่องเล่าและศิลปะเป็นเครื่องมือในการช่วยให้คนได้สำรวจและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ต้องพูดตรง ๆ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันโดยตรง การใช้สื่อกลางช่วยให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างนุ่มนวลและปลอดภัย

เมื่อหนังสือกลายเป็นกระจกส่องใจ

ตัวอย่างหนังสือภาพที่ทำหน้าที่เป็นกระจกส่องใจได้ดี เช่น “When Sadness Is at Your Door” ของ Eva Eland ที่ไม่ได้บอกเด็กว่าต้องไล่ความเศร้าออกไป แต่สอนให้รู้จักอยู่กับมัน เข้าใจมัน และดูแลมัน หรือ “The Invisible String” ของ Patrice Karst ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องความผูกพันและการคิดถึงคนที่ไม่อยู่

หนังสือเหล่านี้ไม่ได้แก้ปัญหาให้เด็ก แต่ให้เครื่องมือ ให้ภาษา ให้วิธีคิดเกี่ยวกับความรู้สึกที่ซับซ้อน ให้การยืนยันว่าสิ่งที่เขารู้สึกเป็นเรื่องปกติ และมีคนอื่นที่รู้สึกเหมือนกัน

Perry & Szalavitz ในงานเขียนเกี่ยวกับการใช้เรื่องเล่าเพื่อเยียวยา บอกว่าการได้ยินเรื่องราวของคนอื่นที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน ช่วยให้เด็กรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ช่วยให้เขาเข้าใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ผ่านสิ่งนั้นมา และช่วยให้เขาเห็นหนทางในการจัดการกับมัน

เราอ่านเรื่องของคนอื่น เพื่อสร้างภาษาฃของตัวเอง

เราอ่านเรื่องของคนอื่น เพื่อสร้างภาษาที่ใช้เรียกความรู้สึกของตัวเอง เพื่อรู้ว่าเรากำลังเศร้า โกรธ หวัง กลัว หรืออยากพูดอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน เพื่อรู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ และเป็นสิ่งที่เราสามารถเข้าใจและจัดการกับมันได้

เมื่อเด็กมีหนังสือเหล่านั้นอยู่ใกล้มือ เขาจะมีตัวช่วยในการอ่านใจตัวเองอย่างอ่อนโยนขึ้น เขาจะมีเพื่อนในยามที่เขารู้สึกสับสน มีคำศัพท์สำหรับความรู้สึกที่ไม่มีชื่อ มีการยืนยันว่าเขาไม่ได้แปลก ไม่ได้ผิดปกติ และไม่ได้อยู่คนเดียว

และนั่นอาจเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่เราสามารถให้เขาได้ ไม่ใช่การบอกเขาว่าเขาเป็นใคร แต่เป็นการให้เครื่องมือเขาในการค้นหาว่าเขาเป็นใคร ไม่ใช่การบอกเขาว่าเขาควรรู้สึกอย่างไร แต่เป็นการให้พื้นที่เขาในการเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร

เพราะการเข้าใจตัวเองคือทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิต และทักษะนี้เริ่มต้นจากการได้อ่านเรื่องราวของคนอื่น จากการได้เห็นตัวเองผ่านตัวละครในหนังสือ จากการได้รู้ว่าความเป็นมนุษย์มีหลากหลาย และเขาเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายนั้น

อย่างสวยงาม อย่างเป็นธรรมชาติ และอย่างไม่ต้องอาย


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “การอ่านที่เริ่มต้นก่อนตัวอักษร” EP.7 ที่จะพาเราไปเข้าใจว่า การอ่านไม่ใช่แค่การรับข้อมูล แต่เป็นการสำรวจตัวเอง การสร้างภาษาทางอารมณ์ และการเรียนรู้ที่จะรู้จักและรักตัวเองผ่านเรื่องราวของผู้อื่น

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts