สร้างโลกใบเดียวกับลูก ก็เพราะเวลาของการอ่านด้วยกัน “เราอยู่ตรงนี้จริง ๆ” : เพราะการอ่าน ไม่ใช่แค่เปิดหนังสือ แต่คือการเปิดใจ ไปอยู่ในโลกเดียวกัน

สร้างโลกใบเดียวกับลูก ก็เพราะเวลาของการอ่านด้วยกัน “เราอยู่ตรงนี้จริง ๆ” : เพราะการอ่าน ไม่ใช่แค่เปิดหนังสือ แต่คือการเปิดใจ ไปอยู่ในโลกเดียวกัน

บางวัน เราอยู่บ้านเดียวกัน…แต่คนละโลก

เรานั่งข้างลูกบนโซฟาตัวเดียวกัน ร่างกายเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร แต่ใจเราอาจอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร ลูกยื่นนิทานมาให้ ขณะที่เราดูหน้าจอมือถือ เรามองขึ้นมาแป๊บหนึ่ง ยิ้มให้ แล้วบอกว่า “แป๊บนึงนะ” แล้วก็เผลอไปจมกับการเลื่อนหน้าจอ ต่อ เลื่อน ต่อ เลื่อน ต่อ

ลูกรออยู่ข้าง ๆ ด้วยหนังสือในมือ ใจเราก็ยังวนอยู่กับงานค้างที่ยังทำไม่เสร็จ ปัญหาที่ต้องแก้ข้อความที่ยังไม่ได้ตอบ เราอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เราอยู่กับลูก แต่ไม่ได้อยู่กับลูก เราอยู่ในบ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละโลก

เด็กไม่ได้ต้องการเวลาเราเป็นชั่วโมง เขาแค่อยากรู้ว่า “พ่อแม่อยู่ตรงนี้จริง ๆ ไหม?” เขาไม่ได้ต้องการเราทุกนาทีของวันแต่ละวัน แต่เขาต้องการรู้ว่าเมื่อเราอยู่กับเขา เราจะอยู่อย่างเต็มที่ เขาไม่ได้วัดความรักด้วยปริมาณเวลา แต่วัดด้วยคุณภาพของการ “อยู่” ด้วยกัน

ความสัมพันธ์ไม่วัดด้วยระยะเวลา แต่อยู่ที่ “ความพร้อมจะอยู่ด้วยกัน” ความพร้อมที่จะวางโลกของเราไว้ชั่วขณะ เพื่อเข้าไปในโลกของเขา ความพร้อมที่จะหยุดคิดเรื่องของเรา เพื่อฟังเรื่องของเขา ความพร้อมที่จะให้ความสนใจอย่างจริงจัง ไม่ใช่ความสนใจแบบแบ่งเบา ๆ

เขาไม่ได้ต้องการเวลาเรา…เท่ากับการมีเราอยู่ในเวลาเดียวกัน

การที่เราวางมือถือลง ปิดแล็ปท็อป หยุดคิดเรื่องงาน แล้วหันมาดูลูกตาต่อตา พูดคุยด้วยเสียงที่ไม่เร่งรีบ นั่งฟังเขาเล่าเรื่องต่าง ๆ นานา โดยไม่มองนาฬิกา ไม่คิดว่าต้องไปทำอะไรต่อ เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่เราสามารถให้เขาได้

เมื่อเรามีอยู่จริง โลกของลูกก็มั่นคง เวลาที่เด็กนั่งตักเรา ฟังเสียงเราอ่าน รู้สึกว่าเราไม่รีบไปไหน ไม่คิดเรื่องอื่น ไม่ได้ยินเสียงความกังวลในใจของเรา ช่วงเวลานั้นกลายเป็นความมั่นคงทางอารมณ์ เป็นจุดยึดที่เขาจะกลับมาพึ่งได้เมื่อโลกกว้างข้างนอกทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคง

ไม่ว่าจะเป็นนิทานเล่มไหน เนื้อหายังไม่สำคัญเท่า “เสียงของเราที่ไม่เร่งรีบ” ไม่สำคัญเท่าการที่เราไม่ได้ดูเวลาระหว่างอ่าน ไม่สำคัญเท่าการที่เราตอบคำถามของเขาด้วยความตั้งใจ ไม่สำคัญเท่าการที่เขาพลิกหน้าหนังสือไปมา แต่เราไม่ได้รีบให้เขาอ่านต่อ

ความรู้สึกว่า “พ่อแม่อยู่ตรงนี้” คือสิ่งที่เด็กจดจำยาวนานกว่าตัวละครหรือพล็อตเรื่อง เขาอาจจะลืมเรื่องราวในหนังสือ แต่เขาจะไม่ลืมความรู้สึกของการได้อยู่กับคนที่รักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ได้รับความสนใจอย่างเต็มใจ ได้เป็นคนสำคัญที่สุดในโลกของใครสักคน แม้แค่ 10 นาที

การอ่านคือพิธีกรรมเล็ก ๆ ที่สร้างโลกของเรา

บางบ้านมี “เวลานิทานก่อนนอน” ที่ทุกคนรู้ว่าถึงเวลาแล้ว บางครอบครัวอ่านตอนบ่าย วันฝนตก ขณะที่ฟังเสียงฝนกระทบหลังคา บางคนชอบอ่านตอนเช้า ก่อนที่ความวุ่นวายของวันจะเริ่มต้นขึ้น บางคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกครั้งที่ลูกขอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน

ไม่สำคัญว่าช่วงเวลาไหน ไม่สำคัญว่าจะเป็นเวลาเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่เราหยิบหนังสือขึ้นมา คือการบอกลูกว่า “โลกของเธอสำคัญพอที่ฉันจะหยุดโลกของฉันไว้ชั่วขณะหนึ่ง” เป็นการประกาศว่า “ตอนนี้เป็นเวลาของเรา ไม่มีใครมาแย่งได้ ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้”

การอ่านร่วมกันจึงเป็นมากกว่าการอ่านหนังสือ มันเป็นพิธีกรรมเล็ก ๆ ที่สร้างโลกของเรา เป็นช่วงเวลาที่เราหยุดเป็นพ่อแม่ที่ต้องสอน ต้องแก้ไข ต้องรีบ แล้วกลายเป็นเพียงคนสองคนที่กำลังแชร์เรื่องราวด้วยกัน กำลังอยู่ในโลกเดียวกัน กำลังสัมผัสอารมณ์เดียวกัน

เมื่อเราอ่านให้ลูกฟัง เราไม่ได้แค่ถ่ายทอดเรื่องราว แต่เรากำลังสร้างโลกที่เราเห็นกันและกัน โลกที่มีแต่เสียงของเรา ความอบอุ่นของการสัมผัส และเรื่องราวที่ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เข้าใจกันลึกขึ้น ได้สร้างความทรงจำร่วมขึ้น

พ่อแม่วางมือถือ เด็กวางใจ

ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน การให้ความสนใจอย่างไม่แบ่งแยกกลายเป็นของหายาก การที่เราปิดมือถือ ปิดทีวี ปิดเสียงในหัวที่เต็มไปด้วยความกังวล แล้วมานั่งกับลูกแบบตัวต่อตัว ใจต่อใจ เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก

เด็กรู้ได้ทันทีว่าเราอยู่กับเขาจริง ๆ หรือไม่ เขาอ่านได้จากแววตา จากน้ำเสียง จากการที่เราตอบคำถามเขาอย่างไร เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราแค่แสร้งฟัง และเมื่อไหร่ที่เราฟังจริง ๆ เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราอยู่กับเขาเพราะเราต้องการ และเมื่อไหร่ที่เราอยู่เพราะเรารู้สึกว่าควรจะอยู่

เมื่อเราอยู่กับเขาอย่างแท้จริง เขาจะวางใจ จะผ่อนคลาย จะรู้สึกว่าเขาปลอดภัย เขาไม่ต้องแย่งชิงความสนใจกับสิ่งอื่น ไม่ต้องทำอะไรพิเศษเพื่อให้เราหันมาสนใจเขา ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมองข้าม เขาแค่ต้องการเป็นตัวของตัวเอง และรู้ว่านั่นก็เพียงพอแล้ว

ความมั่นคงของความสัมพันธ์ คือพื้นฐานของความสามารถในการอ่านโลก

งานวิจัยของ Bowlby, Stern, และ Harvard Center on the Developing Child ชี้ว่า เด็กที่รู้สึกปลอดภัยทางใจ จะมีความสามารถในการจดจ่อ รับฟัง และเข้าใจผู้อื่นได้ลึกกว่า เด็กที่มั่นใจว่ามีคนรักเขา ดูแลเขา และอยู่เคียงข้างเขา จะมีพลังงานทางจิตใจที่เหลือเฟือสำหรับการเรียนรู้

การอ่านด้วยกันในจังหวะที่สงบและเชื่อมโยง คือการซ้อมการอยู่กับโลกที่เต็มไปด้วยเสียงต่าง ๆ เป็นการเรียนรู้ที่จะกรองเสียงที่สำคัญออกมาจากเสียงรบกวน เป็นการฝึกฝนทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง การจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ฟุ้งซ่าน

เมื่อเราอ่านให้เขาฟังด้วยความตั้งใจ เขาก็เรียนรู้ที่จะฟังผู้อื่นด้วยความตั้งใจ เมื่อเราให้เวลาเขาในการทำความเข้าใจ เขาก็เรียนรู้ที่จะให้เวลาผู้อื่น เมื่อเราอยู่กับเขาโดยไม่ตัดสิน เขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน

“เราอยู่ตรงนี้จริง ๆ” ไม่ได้แปลว่าต้องเพอร์เฟกต์

เด็กไม่ต้องการพ่อแม่ที่มีเวลาทั้งวัน ไม่ต้องการพ่อแม่ที่ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยเครียด ไม่เคยมีเรื่องกังวล เขาแค่อยากได้ช่วงเวลาที่เราไม่ล่องหน ช่วงเวลาที่เราอยู่กับเขาอย่างเต็มใจ ไม่ใช่อย่างเต็มที่

แม้บางวันจะอ่านแค่ 5 นาที แต่ถ้าเราอยู่เต็มใจ เด็กจะรับรู้ได้ เขาจะรู้สึกได้ว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น เขาคือคนสำคัญที่สุดในโลกของเรา เขาได้รับความสนใจที่เขาต้องการ ได้รับการยืนยันว่าเขามีค่า

“อยู่ด้วยกันแบบไม่ตัดสิน” สำคัญกว่า “อยู่ด้วยกันแบบเตรียมสอน” เด็กไม่ต้องการให้เราอ่านหนังสือให้ฟังเพื่อสอนเขา เขาต้องการให้เราอ่านเพราะเราอยากอยู่กับเขา เขาไม่ต้องการให้เราถามคำถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ เขาต้องการให้เราถามเพราะเราอยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร

เขาไม่ต้องการพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการพ่อแม่ที่จริงใจ ที่พยายาม ที่ให้ความสำคัญกับเขา เขาไม่ต้องการเราทุกนาที แต่ต้องการรู้ว่าเมื่อเราอยู่กับเขา เราจะอยู่อย่างมีความหมาย

หนังสือเล่มเดิม หรือหนังสือเล่มไหน ก็ไม่สำคัญเท่าคนที่อ่านให้ฟัง

ในที่สุด สิ่งที่เด็กจะจดจำไม่ใช่เรื่องราวในหนังสือ แต่เป็นความรู้สึกของการได้อยู่กับเรา เป็นความอบอุ่นของการได้นั่งในอ้อมแขน เป็นความปลอดภัยของการรู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้าง เป็นความมั่นใจของการรู้ว่าเขาสำคัญ

เมื่อเขาโตขึ้น เขาอาจจะไม่จำเนื้อเรื่องในหนังสือที่เราเคยอ่านให้ฟัง แต่เขาจะจำความรู้สึกของการถูกรัก การถูกดูแล การถูกให้ความสำคัญ และความทรงจำเหล่านั้นจะกลายเป็นแบบแผนที่เขาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

เขาจะรู้ว่าการให้ความสนใจอย่างจริงใจเป็นอย่างไร เขาจะรู้ว่าการฟังอย่างตั้งใจเป็นอย่างไร เขาจะรู้ว่าการอยู่เคียงข้างใครสักคนโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนเป็นอย่างไร เพราะเขาเคยได้รับมาแล้ว เขาเคยรู้แล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร

อยู่ด้วยกัน 10 นาที อย่างเต็มใจ ดีกว่าอยู่ทั้งวันแบบครึ่งใจ

การสร้างโลกใบเดียวกับลูกไม่ต้องการเวลามาก ไม่ต้องการเงินมาก ไม่ต้องการอะไรที่พิเศษมาก แค่ต้องการความตั้งใจที่จะ “อยู่” กับเขา อย่างไม่แบ่งแยก อย่างไม่กั้นขวาง อย่างไม่มีวาระซ่อนเร้น

เมื่อเราปิดโลกของเราไว้ชั่วขณะ แล้วเปิดใจเข้าไปในโลกของเขา เราก็สร้างพื้นที่ที่เขาจะจดจำไปตลอดชีวิต พื้นที่ที่เขารู้ว่าเขาปลอดภัย เขามีค่า เขาสำคัญ พื้นที่ที่เขาจะกลับมาหาเมื่อโลกข้างนอกทำให้เขารู้สึกหลง

และในพื้นที่นั้น ไม่สำคัญว่าเราจะอ่านหนังสือเล่มไหน สำคัญที่เราอยู่ตรงนั้น ไม่สำคัญว่าเขาจะเข้าใจเรื่องมากน้อยแค่ไหน สำคัญที่เขารู้สึกว่าเขาถูกเข้าใจ ไม่สำคัญว่าเราจะสอนเขาได้อะไรบ้าง สำคัญที่เขาเรียนรู้ว่าการอยู่กับคนที่รักเขาเป็นอย่างไร

เพราะนั่นคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถสอนเขาได้ ไม่ใช่จากหนังสือ แต่จากการอยู่ ไม่ใช่จากคำพูด แต่จากการกระทำ ไม่ใช่จากสิ่งที่เราบอก แต่จากสิ่งที่เราแสดงให้เขาเห็น

ว่าเขาคุ้มค่า ว่าเขาสำคัญ ว่าเขาน่ารัก และว่าจะมีใครสักคนอยู่ตรงนั้นเสมอ เมื่อเขาต้องการ


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “การอ่านที่เริ่มต้นก่อนตัวอักษร” EP.5 ที่จะพาเราไปเข้าใจว่า การ “อยู่” กับลูกอย่างมีคุณภาพ คือพื้นฐานสำคัญที่สุดของการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและการปลูกฝังความรักในการเรียนรู้

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts