ตลาดนิทานขยาย แต่เนื้อเรื่องของเราเลือนหาย : ตลาดนิทานภาพที่กำลังโตไปพร้อมกับการเรียนรู้ของพ่อแม่ยุคใหม่ แต่กลับสวนทางกับนักวาด นักเขียน บรรณาธิการหนังสือภาพไทยที่นับวันก็เลือนหายไปทุกที
ตลาดนิทานขยาย แต่เนื้อเรื่องของเราเลือนหาย : ตลาดนิทานภาพที่กำลังโตไปพร้อมกับการเรียนรู้ของพ่อแม่ยุคใหม่ แต่กลับสวนทางกับนักวาด นักเขียน บรรณาธิการหนังสือภาพไทยที่นับวันก็เลือนหายไปทุกที
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดนิทานภาพสำหรับเด็กในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงบทบาทของหนังสือภาพในการพัฒนาอารมณ์ ความคิด และภาษาของเด็กปฐมวัย ข้อมูลจาก Cognitive Market Research (2024) ระบุว่า ตลาดหนังสือนิทานภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวมกว่า 74.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเติบโตเฉลี่ยราว 7.3% ต่อปี ซึ่งสูงมากเมื่องเทียบกับไต้หวัน หรือจีน โดยประเทศไทยมีสัดส่วนตลาดประมาณ 11–15 ล้านดอลลาร์ หรือราว 400–520 ล้านบาทต่อปี
แล้วถ้าคนซื้อมากขึ้น…เราน่าจะเห็นสำนักพิมพ์ไทยยิ่งเติบโตขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ตลาดฝั่งผู้บริโภคเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ กลับพบว่า ฝั่งการผลิตเนื้อหานิทานภาพที่เป็นต้นฉบับไทยกำลังหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลเชิงสถิติของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสำนักพิมพ์อิสระ พบว่าปริมาณหนังสือไทยที่ได้รับเลข ISBN ใหม่ลดลงเฉลี่ยปีละ 8–10% ตั้งแต่ปี 2019–2023 โดยเฉพาะกลุ่มนิทานภาพที่ผลิตขึ้นใหม่จากผู้เขียนไทยมีจำนวนไม่ถึง 5% ของหนังสือเด็กที่ตีพิมพ์ทั้งหมดในแต่ละปี (PUBAT, 2024)
เด็กไทยกำลังเติบโตขึ้นกับนิทานแปล และเรื่องเล่าจากบริบทไทยกำลังเลือนหายไปเรื่อยๆ
การอ่านนิทานแปลไม่ใช่เรื่องผิด และในหลายกรณีก็เป็นประตูสำคัญที่เปิดโลกให้เด็กไทยได้เรียนรู้ความหลากหลายของวัฒนธรรม มุมมอง และชีวิตต่างแดน สำนักพิมพ์ไทยหลายแห่งก็ทำหน้าที่ได้ดีในการคัดเลือกหนังสือภาพคุณภาพจากต่างประเทศมาแปลและจัดพิมพ์อย่างประณีต ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนต่อไป
แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ภาครัฐและระบบวัฒนธรรมไทยควรทำควบคู่กันไปคือการพัฒนาระบบนิเวศของการสร้างหนังสือภาพต้นฉบับไทย ทั้งระบบบรรณาธิการ การอบรมผู้เขียน การสนับสนุนนักวาดภาพประกอบ และการลงทุนในหนังสือที่เล่าเรื่องราวถึงชีวิตจริงของเด็กในบริบทไทย ไม่ใช่การอ่านนิทานบริบทไทยกลายเป็นเพียงนิทานย้อนยุค หรือนิทานในรูปแบบ how-to ที่มีคำสอนแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น
โดยเฉพาะนิทานที่มีเนื้อหาแบบ “ปลายเปิด” ซึ่งไม่สรุปให้จบ ไม่ยัดเยียดบทเรียน แต่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้รู้สึก คิด ถาม และตีความด้วยตัวเอง นี่คือนิทานประเภทที่กำลังได้รับความนิยมและเติบโตมากที่สุดในตลาดยุโรปและอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
การเติบโตของตลาดผู้บริโภคที่ไม่ได้ตามมาด้วยการขยายตัวของผู้ผลิตในประเทศ ก่อให้เกิดสภาพ “ช่องว่างเชิงโครงสร้าง” ระหว่างสิ่งที่ผู้ใหญ่ไทยต้องการให้ลูกอ่าน กับสิ่งที่เด็กไทยสามารถเข้าถึงในภาษา วัฒนธรรม และความรู้สึกของตนเอง กล่าวคือ นิทานภาพที่เด็กไทยเข้าถึงได้จำนวนมากเป็นหนังสือแปลจากต่างประเทศ ซึ่งแม้จะมีคุณภาพสูงในด้านศิลปะและเนื้อหา แต่ก็ไม่อาจสะท้อนสภาพแวดล้อม สังคม หรือความเป็นมนุษย์แบบไทยในเส้นเวลาปัจจุบัน ได้อย่างแท้จริง
แนวคิดของ Rudine Sims Bishop (1990) เปรียบหนังสือสำหรับเด็กว่าเป็นทั้ง “กระจก” (mirrors) และ “หน้าต่าง” (windows) คือในขณะที่นิทานแปลทำหน้าที่เป็นหน้าต่างให้เด็กได้เห็นโลกที่แตกต่าง กระจกซึ่งควรสะท้อนภาพของตัวเขาเองกลับแทบไม่มีอยู่เลยในระบบสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัย
ตลาดโต แต่ต้นฉบับหด แล้วใครเล่าเรื่องแทนเรา?
เมื่อผู้ผลิตต้นฉบับไทยหายไป สิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียพื้นที่ของเสียงเด็กไทยในวรรณกรรมสำหรับวัยเยาว์ เรากำลังปล่อยให้เด็กไทยโตมากับเรื่องราวของลูกหมานอร์เวย์ หรือลูกหมีอังกฤษ ในขณะที่ไม่ค่อยมีหนังสือที่จะพูดถึงเรื่องราวในบ้านของเราเอง ความหนาวที่ไม่ใช่หิมะ แต่เป็นลมหนาวแบบภาคเหนือในเดือนธันวาคม ผลไม้ที่ไม่ใช่บลูเบอรี่ แต่เป็นมะไฟ มะยงชิด ลิ้นจี่ ชมพู่ ความสนุกแบบเถิดเทิงของชาวอีสานที่อัดแน่นด้วยจังหวะ ความละมุนของวัฒนธรรมล้านนา หรือความกล้าที่จะตรงไปตรงมาในวัฒนธรรมอาหารและชีวิตของภาคใต้ ทั้งหมดนี้คือวัตถุดิบของเรื่องเล่า ซึ่งยังไม่ค่อยได้กลายเป็นนิทานร่วมสมัย
การลดลงของการผลิตเนื้อหาใหม่ยังสัมพันธ์กับโครงสร้างเชิงอุตสาหกรรมที่ไม่เอื้อให้ผู้ผลิตมีความยั่งยืน ทั้งด้านต้นทุนการพิมพ์ การกระจายหนังสือ และการไม่มีระบบทุนวิจัยหรือสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐ แตกต่างจากประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน ที่มีระบบสนับสนุนวรรณกรรมเด็กเป็นหนึ่งในกลไกการพัฒนา soft power ระดับชาติ (Korean Culture and Content Agency, 2022)
ช่องว่างที่กว้างขึ้นทุกวัน และผู้ผลิตหนังสือนิทานภาพไทยกำลังค่อยๆ หายไป
ช่องว่างระหว่างตลาดที่ขยายตัวกับการผลิตที่ถดถอยไม่ได้สะท้อนเพียงแค่จำนวนเล่มเท่านั้น แต่มันคือผลสะสมของระบบที่ไม่ได้พัฒนาศักยภาพของผู้ผลิตไทยให้เติบโตไปกับตลาดเลย ไม่มีกลไกที่เปิดให้ลองผิดลองถูก ไม่มีกองบรรณาธิการที่กลั่นกรองและให้ฟีดแบ็กในระดับที่ลึกพอ ไม่มีการฝึกฝนระยะยาวเพื่อพัฒนานักเขียนและนักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ ๆ ให้เข้าใจจังหวะของหนังสือภาพที่ดี และไม่มีทุนวิจัยหรือนโยบายที่หนุนให้เนื้อหาต้นฉบับได้ถูกผลิตอย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่มีพื้นที่ให้เรียนรู้ ก็ไม่มีพื้นที่ให้พัฒนา เมื่อไม่มีพื้นที่ให้พัฒนา ก็ไม่มีพื้นที่ให้ยืน ผลที่ตามมาคือ ผู้ผลิตต้นฉบับไทยค่อย ๆ หายไปจากสายตาของตลาด ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่เพราะไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะโตทัน
ขณะที่ผู้บริโภคเติบโตขึ้น มีรสนิยมที่ซับซ้อนขึ้นจากการอ่านหนังสือแปลคุณภาพ รสนิยมนี้ก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไปจากงานไทยที่ไม่ได้พัฒนาไปพร้อมกัน และเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะเข้าสู่จุดที่ “ต่อให้ใครอยากผลิต ก็ไม่มีใครรออ่านแล้ว”
จินตนาการคือสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไม่ใช่สินค้านำเข้าราคาแพง และเป็นสิ่งที่ “รัฐ” ควรเปิดพื้นที่การสนับสนุน
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ประเทศไทยกำลังจ้างผลิต (outsource) จินตนาการของลูกหลานเราให้ต่างชาติผลิตให้เสร็จแล้วส่งเข้ามาขาย ในขณะที่นักเขียน นักวาด และสำนักพิมพ์อิสระไทยต้องล้มเลิกความฝันหรือเปลี่ยนอาชีพเพราะอยู่ในระบบที่ไม่เลี้ยงดูความคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
หากต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ การส่งเสริมวรรณกรรมเด็กต้นฉบับไทยไม่ควรถูกมองว่าเป็นภารกิจเฉพาะของผู้ผลิตหนังสือ แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาเยาวชนไทยในภาพรวม เพราะในท้ายที่สุด เด็กที่เติบโตมากับหนังสือที่สะท้อนตัวเองได้ คือผู้ใหญ่ที่กล้าเข้าใจโลก และไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงมัน
อ้างอิง:
- Cognitive Market Research (2024). Asia-Pacific Children Picture Book Market Report.
- PUBAT (2024). รายงานสถานการณ์หนังสือไทย.
- Bishop, R. S. (1990). Mirrors, Windows, and Sliding Glass Doors. Perspectives: Choosing and Using Books for the Classroom, 6(3).
- Korean Culture and Content Agency. (2022). Children’s Book Publishing and Global Cultural Export.
Writer
Admin Mappa
illustrator
Arunnoon
มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด