จาก Peanuts สู่นกพิราบจอมป่วน: เส้นทางความคิดสร้างสรรค์แบบ Mo Willems

จาก Peanuts สู่นกพิราบจอมป่วน: เส้นทางความคิดสร้างสรรค์แบบ Mo Willems

หากคุณเคยโดนเจ้านกพิราบจอมตื้ออ้อนวอนขอขับรถเมล์สักครั้ง หรือหัวเราะไปกับคู่หูช้างเบิ้มกับหมูน้อยที่คอยสร้างสีสันในหน้าหนังสือ ภาพความทรงจำเหล่านั้นเป็นผลงานของ โม วิลเลมส์ (Mo Willems) นักเขียนและนักวาดภาพสำหรับเด็กผู้มาพร้อมปรัชญาการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร ความขบขันแบบชาญฉลาดและความจริงใจต่อความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ทำให้ผลงานของวิลเลมส์ครองใจเด็กๆ และผู้ใหญ่ทั่วโลกมากว่าสองทศวรรษ สำหรับวิลเลมส์แล้ว นิทานเด็กคือการชวนกันตั้งคำถามและเล่นสนุกไปพร้อมๆ กัน มากกว่าจะเป็นบทเรียนที่ป้อนคำตอบเสร็จสรรพ 

เส้นทางความคิดสร้างสรรค์ของเขาเริ่มต้นจากเด็กน้อยผู้คลั่งไคล้การ์ตูน Peanuts สู่การเป็นนักเล่าเรื่องรางวัลมากมาย ผู้กล้าฉีกกรอบด้วยแนวคิดโดดเด่น สร้างตัวละครที่ภูมิใจกับความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง เล่าเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามให้เด็กๆ ขบคิดแทนที่จะยัดเยียดข้อสรุป และมีผลงานโลดแล่นข้ามสื่อหลากหลายตั้งแต่หนังสือ โทรทัศน์ ละครเวที จนถึงเวทีดนตรี 

บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปสำรวจวิธีคิดสุดเฉียบแหลมของโม วิลเลมส์ มุมมองที่เขามีต่อเด็กและการสร้างงานเพื่อเด็ก ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวละครยอดฮิตอย่าง The Pigeon, Elephant & Piggie, และ Knuffle Bunny ตลอดจนแนวทางที่เขาใช้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความคิด และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ค้นพบโลกแห่งจินตนาการด้วยตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ

วัยเด็กและแรงบันดาลใจจาก Peanuts

โม วิลเลมส์เติบโตขึ้นในรัฐนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา และใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเยาว์ไปกับการวาดเขียนและอ่านการ์ตูนอย่าง Peanuts ของ Charles Schulz อย่างจริงจัง วิลเลมส์ถึงกับเขียนจดหมายถึง Schulz ตอนอายุเพียง 5 ขวบ ขอสมัครเป็นคนวาด Peanuts ต่อจากเขาในอนาคตเลยทีเดียว​ (แม้ Schulz จะไม่ได้ตอบกลับก็ตาม!) ความฝันอันแรงกล้าที่จะเดินตามรอยนักเขียนการ์ตูนขวัญใจได้ฝังอยู่ในใจหนูน้อยโมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิลเลมส์เคยเล่าว่าวัยเด็กของเขาค่อนข้างโดดเดี่ยวและไม่ค่อยมีความสุขนัก เขาจึงผูกพันกับตัวละคร Charlie Brown เด็กชายผู้มักล้มเหลวไม่เป็นท่าใน Peanuts เป็นพิเศษ เพราะเห็นเงาของตัวเองอยู่ในเด็กขี้แพ้ผู้น่ารักคนนี้ ความสามารถของ Schulz ในการเล่าความผิดหวังของชีวิตให้ออกมาขบขันและจริงใจ ได้จุดประกายให้วิลเลมส์ตั้งเป้าหมายชีวิตว่าอยาก “วาดรูปและทำให้คนหัวเราะ” เป็นอาชีพ โดยความใฝ่ฝันสูงสุดของเขาตอนนั้นคือการได้สืบทอดผลงาน Peanuts ต่อจาก Schulz เมื่อถึงวันนั้น

แม้สุดท้ายวิลเลมส์จะไม่ได้กลายเป็นผู้วาด Peanuts สมดังฝัน แต่เขาก็ไม่ละทิ้งความตั้งใจ “วาดรูปและทำให้คนหัวเราะ” หลังเรียนจบด้านภาพยนต์และแอนิเมชัน วิลเลมส์เริ่มต้นเส้นทางอาชีพของเขาจากการเขียนบทให้รายการเด็กชื่อดัง Sesame Street ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัล Emmy มาได้ถึง 6 ครั้งตลอดช่วงเวลา 9 ปี​ จากนั้นในช่วงต้นยุค 2000 เขาจึงเบนเข็มสู่โลกหนังสือภาพสำหรับเด็กเต็มตัว ผลงานเล่มแรกของเขา Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! (2003) ประสบความสำเร็จเกินคาด คว้ารางวัล Caldecott Honor (รางวัลชมเชยหนังสือภาพยอดเยี่ยมของอเมริกา) ในปีถัดมา ตามมาด้วย Knuffle Bunny: A Cautionary Tale (2004) ที่ได้รับเกียรติยศเดียวกันในปี 2005 นับแต่นั้นชื่อของ โม วิลเลมส์ ก็กลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ในวงการวรรณกรรมเด็กอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหล่าตัวละครจอมป่วนของเขาที่จะมากุมหัวใจผู้อ่านรุ่นเยาว์ไปอีกหลายปี

ความไม่สมบูรณ์แบบที่งดงามและพลังแห่งความล้มเหลว

หนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของผลงานวิลเลมส์คือ การโอบกอด “ความไม่สมบูรณ์แบบ” และนำเสนอมันอย่างขบขันให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ไปพร้อมเสียงหัวเราะ นิทานหลายเรื่องของเขาชวนให้เด็กๆ ทำความรู้จักกับ “ความล้มเหลว” โดยไม่รู้สึกถูกสั่งสอนจนน่าเบื่อ ตัวอย่างเช่นใน Elephants Cannot Dance! ช้างเจอรัลด์ก็ลงเอยด้วยการเต้นไม่ได้จริงๆ สมกับชื่อเรื่อง และใน Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! เจ้าพิราบจอมดื้อแม้จะตื้อแทบตายก็ไม่เคยสมหวังได้ขับรถเมล์เลยสักครั้ง​ วิลเลมส์เล่าว่าสมัยทำงานให้ Sesame Street เขากลับรู้สึกอึด อัดที่นโยบายรายการพยายามให้ตัวละครหลัก “เก่ง” ไปเสียทุกอย่างตอนจบ ทั้งที่เบื้องหลังรายการเองก็อบรมทีมงานเรื่องการให้เด็กเรียนรู้จากความล้มเหลวอยู่บ่อยๆ ความย้อนแย้งนี้ทำให้เขาสร้างนิทานของเขาที่ตัวละครสามารถล้มเหลว ‘อย่างเต็มภาคภูมิ’ เพื่อให้เด็กๆ ได้เข้าใจว่าบางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนั้น และการรับมืออารมณ์ผิดหวังก็เป็นหนึ่งเรื่องที่ควรเรียนรู้

วิลเลมส์เชื่อว่าการเผยด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบของผู้ใหญ่ให้เด็กเห็นก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน เขามักบอกพ่อแม่ว่าให้ไปวาดรูปเล่นกับลูกโดยไม่ต้องกลัวรูปออกมาไม่สวย เพราะ “ไม่มีรูปวาดไหนหรอกที่ผิด การวาดรูปให้ลูกดู มันแสดงให้เด็กเห็นว่าคุณเองก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ​ ความไม่ต้องเป๊ะนี้ไม่ได้ช่วยแค่เด็กๆ แต่ยังส่งผลถึงผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวเด็กด้วย เพราะแม้แต่วิลเลมส์เองก็ยังได้รับบทเรียนนี้จากลูกชายตัวเอง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาเดินเล่นกับลูกในกรุงโซลและรู้สึกหมดไฟ ไม่สามารถร่างภาพอะไรออกมาได้ดั่งใจ จนลูกชายต้องปลอบพ่อด้วยคำง่ายๆ ว่า มันไม่จำเป็นต้องออกมาดีก็ได้นะ” ประโยคสั้นๆ นั้นเองที่ปลดล็อกให้วิลเลมส์กลับมาสนุกกับการวาดรูปและคืนจังหวะสร้างสรรค์กลับมาอีกครั้ง​ เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ตอกย้ำมุมมองของวิลเลมส์เองว่า ความไม่สมบูรณ์แบบคือเรื่องธรรมดา และบางครั้งความไม่เพอร์เฟ็กต์นี่เองที่จุดประกายความคิดใหม่ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

‘ตั้งคำถาม’ แทนการ ‘ให้คำตอบ’

นอกจากการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบแล้ว วิลเลมส์ยังมีปรัชญาการเล่าเรื่องอีกข้อที่โดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นคือ “การตั้งคำถามมากกว่าการให้คำตอบ” เขาไม่ได้มองตัวเองเป็นผู้รู้ที่มาถ่ายทอดบทเรียนสำเร็จรูปให้เด็ก หากแต่เป็น ‘เพื่อนร่วมค้นหา’ ที่ชวนเด็กๆ ตั้งคำถามไปด้วยกัน วิลเลมส์เคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างชัดเจนว่า “ผมไม่ได้พยายามสอนอะไรเด็กๆ หนังสือที่ดีคือคำถาม ไม่ใช่คำตอบ” เขาอธิบายว่าถ้าผู้เขียนรู้คำตอบอยู่แล้วแล้วเขียนออกมา นิทานก็จะกลายเป็นเพียงคู่มือสอนชีวิตที่น่าเบื่อ เพราะเด็กไม่ได้มีส่วนคิดสิ่งที่เขาต้องการคือการเป็น “ผู้ร่วมตั้งคำถาม” กับเด็กๆ มากกว่าเป็น “ครู” เขาจึงมักหยิบประเด็นใหญ่ๆ มาไว้ในหนังสือแล้วเปิดปลายไว้ให้เด็กช่วยขบคิดต่อเอง เช่น มิตรภาพคืออะไร? ทำไมคนเราถึงมีนิสัยต่างกัน? หรือแม้กระทั่ง ตำแหน่งของเราท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้อยู่ตรงไหน? คำถามเหล่านี้แฝงอยู่ในนิทานของวิลเลมส์อย่างแยบยล และเขาไม่มีคำตอบตายตัวให้ เพราะอยากให้เด็กๆ แต่ละคนได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง

แนวคิด “เล่าคำถามไม่ใช่บอกคำตอบ” นี้สะท้อนอยู่ในเทคนิคการเขียนหนังสือของวิลเลมส์แทบทุกเล่ม เขามักเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมโต้ตอบกับเรื่องราวเสมอ วิลเลมส์เคยอธิบายหลักการของเขาว่า เขาตั้งใจสร้างเนื้อหาไว้เพียง 49% และเหลือที่ว่าง 51% ไว้ให้เด็กๆ เป็นผู้เติมเต็มเอง เพราะเมื่อผู้อ่านตัวน้อย “ได้มีส่วนร่วมจริงๆ และรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง นิทานเรื่องนั้นก็จะมีความหมายกับเขามากขึ้นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! ซึ่งในเล่มไม่มีตัวละครไหนสั่งเด็กๆ ตรงๆ ว่าต้องตอบว่า “ไม่” เจ้าพิราบจอมดื้อนั่น เด็กๆ ผู้อ่านจะต้องคิดหาวิธีปฏิเสธเอง ทำให้การอ่านกลายเป็นการเล่นตอบโต้ที่สนุกมากขึ้น เพราะเด็กได้ตะโกน “ไม่!” ใส่เจ้าพิราบด้วยความกระตือรือร้น ราวกับได้ช่วยคนขับรถเมล์ปกป้องรถเอาไว้เลยทีเดียว ​จริงๆ แล้วหนังสือของวิลเลมส์แต่ละเล่มถูกออกแบบมาให้ “เล่น” ได้ ดังที่เขาบอกไว้ว่า “หนังสือก็เหมือนงานปาร์ตี้ ส่วนหลังอ่านจบคืออาฟเตอร์ปาร์ตี้” ที่เด็กๆ จะได้วิ่งเล่นต่อยอดจากเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป เขาจึงชอบใส่อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อาจไม่รู้ลงไปในเรื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดบทสนทนาหรือการค้นคว้าหาคำตอบร่วมกันภายหลัง เช่น ในหนังสือชุด Are You Big? และ Are You Small? ที่ชวนผู้อ่านสำรวจแนวคิดเรื่อง “ใหญ่-เล็ก” วิลเลมส์ก็แอบใส่คำศัพท์อย่าง “อัพควาร์ก” (อนุภาคมูลฐานของอะตอม) ลงไปด้วย เพื่อให้เด็กๆ กับพ่อแม่ได้อุทานพร้อมกันว่า “นี่มันอะไรนะ?” และออกไปค้นหาคำตอบหลังอ่านจบไปแล้ว 

ความสนุกอีกอย่างของการอ่านนิทานวิลเลมส์คือ “เด็กกับผู้ใหญ่จะได้ค้นพบไปพร้อมกัน” วิลเลมส์มักเน้นเสมอว่าผู้ใหญ่ที่อ่านนิทานให้เด็กฟังถือเป็น “ส่วนผสม” สำคัญที่จะทำให้ประสบการณ์การอ่านสมบูรณ์ ผู้ใหญ่ควรวางมาดของตัวเองลงและสนุกไปกับเด็กอย่างเต็มที่ “ปลดเปลื้องความเขินอายของความเป็นผู้ใหญ่ทิ้งไป” แล้วทำตัวโก๊ะๆ เสียบ้างเพื่อให้เด็กกล้าเล่นและกล้าถามอย่างเต็มที่​ นิทานของวิลเลมส์จึงไม่ใช่การอ่านคนเดียวเงียบๆ แต่คือกิจกรรมที่ชวนทั้งครอบครัวมามีปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านการตั้งคำถามและเล่นบทบาทสมมติ

ตัวละครจอมป่วนและนัยยะซ่อนลึก

ผลงานของโม วิลเลมส์เต็มไปด้วยตัวละครขวัญใจเด็กที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นนกพิราบจอมป่วนในชุดหนังสือ Pigeon, คู่หู Elephant & Piggie หรือหนูน้อยทริกซี่กับ Knuffle Bunny ตุ๊กตาคู่ใจ แต่เบื้องหลังความน่ารักน่าชังและฮาไม่จำกัดวัยนั้น ตัวละครเหล่านี้ยังสื่อความหมายเชิงลึกบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตเด็กๆ และความสัมพันธ์รอบตัวได้อย่างแนบเนียน

The Pigeon หรือนกพิราบจอมซ่าของวิลเลมส์ กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่โด่งดังที่สุดในยุคใหม่ของหนังสือเด็ก ด้วยบุคลิกดื้อรั้น เอาแต่ใจแบบเด็กวัยเตาะแตะที่ใครๆ ก็เอ็นดู ผู้อ่านตัวน้อยจะสนุกที่ได้มีบทบาทเป็นผู้ใหญ่คอยเบรกความแสบของเจ้านกทุกครั้งไป นอกจากคาแรกเตอร์ชวนหัวแล้ว สิ่งที่ทำให้ Pigeon โดดเด่นคือรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายสุดๆ – วิลเลมส์ออกแบบเจ้านกพิราบด้วยรูปทรงเรขาคณิตพื้นฐานไม่กี่รูปเท่านั้น (แค่ตาวงกลมโตๆ ตัวกลม และปากแหลมๆ รูปสามเหลี่ยม)​  เพราะเขาอยากให้เด็กๆ “ทุกคนวาดมันตามได้ไม่ยาก” แล้วก็จะได้วาดภาคต่อของมันเองหลังอ่านจบ​ เรียกได้ว่าตัวละครนี้ถูกสร้างมาเพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ วาดรูปและเล่าเรื่องต่อไปเองได้ง่ายที่สุด พิราบของวิลเลมส์จึงไม่หยุดนิ่งแค่ในหนังสือ แต่มักโดดออกมาสู่โลกความเป็นจริงร่วมกับเด็กๆ เสมอ  ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวในรูปแบบหุ่นเชิดที่มาร่วมสัมภาษณ์เคียงข้างวิลเลมส์ในรายการทีวี หรือแม้กระทั่งการขึ้นเวทีแสดงในโอเปร่าก็ตาม 

ในปี 2023 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีของ Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! วิลเลมส์ได้ร่วมมือกับนักร้องโอเปร่าชื่อดัง Renée Fleming นำนกพิราบตัวแสบไปโลดแล่นในโอเปร่าตลกสำหรับครอบครัวที่จัดแสดง ณ Kennedy Center กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยการแสดงดังกล่าวเปิดโอกาสให้เด็กๆ มีส่วนร่วมโต้ตอบกับโชว์อย่างเต็มที่ ทำลายกำแพงแบบแผนเดิมๆ ของวงการโอเปร่าไปเลย ความสำเร็จของ The Pigeon ทำให้วิลเลมส์พูดติดตลกว่าเขาเองก็แทบไม่สามารถควบคุมตัวละครนี้ได้แล้ว “ผมแค่ช่วยให้มันบินได้ ตอนนี้มันออกไปทำอะไรต่ออะไรของมันเอง” เขาบอกด้วยรอยยิ้มถึงปรากฏการณ์ที่ตัวละครนกพิราบของเขากลายเป็นสมบัติของสาธารณชนไปแล้ว

ถัดจากนกพิราบ คู่ซี้ต่างขั้ว Elephant & Piggie ก็เป็นอีกชุดตัวละครที่ครองใจเด็กๆ และพ่อแม่ไม่แพ้กัน วิลเลมส์สร้างเจอรัลด์ (ช้างเบิ้มสีเทาท่าทางเคร่งเครียด) และพิกกี้ (หมูน้อยสีชมพูผู้ร่าเริง) ขึ้นมาให้เป็นคู่เพื่อนรักที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว เพราะต้องการเล่าเรื่องมิตรภาพที่สมจริงสำหรับเด็กๆ คือมีทั้งช่วงที่สนุกสนานและช่วงที่ขัดแย้งกระทบกระทั่งกันบ้าง ก่อนจะปรับความเข้าใจและให้อภัยกันได้ วิลเลมส์เผยว่าแรงบันดาลใจหนึ่งมาจากหนังสือเด็กคลาสสิก Go, Dog. Go! ของ P. D. Eastman ที่มีมุกหมาตัวหนึ่งถามอีกตัวว่า “ชอบหมวกฉันไหม?” ซ้ำๆ และโดนตอบว่า “ไม่” ทุกครั้งโดยไม่มีบทสรุป เขาอ่านตอนเด็กแล้วแอบเซ็งที่หมาในเรื่องไม่ทะเลาะกันให้รู้แล้วรู้รอดและหาทางปรับความเข้าใจกันอย่างแท้จริงสักที เขาเลยอยากเขียนนิทานที่มี “ความขัดแย้งและการคืนดี” ให้เด็กๆ เห็นจะจะบ้าง กลายมาเป็นคาแรกเตอร์ช้างขี้กังวลกับหมูมองโลกในแง่ดีคู่นี้ ที่แต่ละตอนต้องฝ่าฟันสถานการณ์ชวนหัวต่างๆ แล้วลงเอยด้วยการรักษามิตรภาพของพวกเขาไว้ได้อย่างงดงาม​ นิทาน Elephant & Piggie แต่ละตอนใช้ฉากหลังขาวโล่ง ง่ายๆ เพื่อให้ผู้อ่านโฟกัสที่สีหน้าและภาษากายของช้างกับหมูเต็มที่ (แทนที่จะไปสนใจฉากรอบข้าง) วิธีการนี้ทำให้เด็กๆ ซึมซับอารมณ์ของตัวละครได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การอ่านออกเสียง Elephant & Piggie จึงกลายเป็นกิจกรรมสุดมัน ผู้ใหญ่สามารถทำเสียงจริงจังแบบช้างหรือเสียงใสกิ๊งแบบหมู เพื่อดึงเด็กๆ ให้ “เล่น” ตามนิทาน และเรียนรู้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกไปพร้อมกัน มีคุณครูชั้น ป.2 ท่านหนึ่งเล่าว่าเธอเคยใช้ We Are in a Book! (ตอนหนึ่งของ Elephant & Piggie) ซึ่งตัวละครรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในหนังสือมาปลดล็อกเด็กนักเรียนที่เกลียดการอ่าน หนังสือเล่มนี้ทำให้เด็กชายที่ไม่เอาไหนเรื่องอ่านคนนั้น หัวเราะเอิ๊กอ๊าก และยอมอ่านออกเสียงร่วมกับครูที่สวมบทเป็นหมูพิกกี้ จนจบเล่ม ผลคือเขาค้นพบว่าการอ่านหนังสือ “มันเล่นสนุกได้เหมือนกัน” และกลายเป็นเด็กที่รักการอ่านไปเลย​ นับเป็นตัวอย่างอันดีว่าความขบขันไร้เดียงสาของช้างกับหมูคู่นี้สามารถเปลี่ยนมุมมองเด็กที่มีต่อการอ่านหนังสือไปอย่างสิ้นเชิง

ในบรรดาผลงานของวิลเลมส์ ชุด Knuffle Bunny อาจจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะมีเค้าโครงเรื่องที่อบอุ่นหัวใจและอิงจากชีวิตจริงของผู้เขียนมากที่สุด Knuffle Bunny: A Cautionary Tale (2004) เล่าเหตุการณ์ชวนขันของคุณพ่อมือใหม่ที่พาลูกสาวตัวน้อยชื่อทริกซี่ไปซักผ้า แล้วดันทำ Knuffle Bunny (ตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของลูก) หายระหว่างทาง หนูน้อยซึ่งพูดไม่ได้ยังอธิบายให้พ่อฟังไม่รู้เรื่องจึงปล่อยโฮจนตัวอ่อนปวกเปียก (“going boneless” ในเรื่องกลายเป็นคำฮิตติดปากผู้อ่านไปเลย) นิทานดำเนินไปอย่างน่ารัก คุณแม่พบว่ากระต่ายหายก็รีบพาทั้งคู่วิ่งย้อนกลับไปที่ร้านซักผ้า สุดท้ายคุณพ่อค้นกระต่ายจนเจอและกลายเป็นฮีโร่ของลูกสาวไป ในตอนจบเล่ม ทริกซี่ดีใจสุดขีดจนเผลอเปล่งคำว่า “Knuffle Bunny!!!” ออกมา ซึ่งกลายเป็น คำพูดแรก ในชีวิตของเธอและทำให้คุณพ่อคุณแม่ตื้นตันใจมาก ฉากนี้เองที่ทำให้ Knuffle Bunny เป็นหนังสือในดวงใจของทั้งเด็กๆ และพ่อแม่ เพราะตีแผ่อารมณ์ “เรื่องใหญ่ของเด็กเล็ก” อย่างการทำของรักหาย และเหตุการณ์สำคัญของครอบครัวอย่างการได้ยินลูกพูดคำแรก ได้อย่างเรียบง่ายแต่งดงาม (ชื่อ Knuffle ก็มาจากภาษาดัตช์แปลว่า “กอด” ซึ่งเป็นคำที่วิลเลมส์และภรรยาใช้เรียกตุ๊กตากระต่ายของลูกจริงๆ) ยิ่งไปกว่านั้น ทริกซี่ตัวน้อยในเรื่องก็ตั้งชื่อตามลูกสาวของวิลเลมส์ที่ชื่อทริกซี่ในชีวิตจริง และวิลเลมส์ก็ยอมรับว่าเรื่องนี้ “อ้างอิงชีวิตจริง” ของเขากับครอบครัวอย่างหลวมๆ​ จึงไม่แปลกที่อารมณ์ของเรื่องจะจริงจนคนอ่านรู้สึกอบอุ่นหัวใจตามไปด้วย 

Knuffle Bunny ยังถือเป็นการทดลองทางศิลปะที่น่าสนใจ เพราะวิลเลมส์เลือกวาดตัวละครการ์ตูนซ้อนทับบนพื้นหลังภาพถ่ายขาวดำของเมืองนิวยอร์กจริงๆ ทำให้ภาพมีมิติแปลกใหม่และช่วยขับอารมณ์ขันออกมาชัดเจน ภาพคุณพ่อวิ่งแตกตื่นไปตามถนนคือใช้รูปถ่ายจริงที่ผู้เขียนลงไปวิ่งถ่ายเองกับมือ หนังสือชุดนี้มีทั้งหมดสามเล่ม จบสมบูรณ์ใน Knuffle Bunny Free (2010) ที่ทริกซี่เติบโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะบอกลา “ของรักในวัยเยาว์” ของตัวเองอย่างงดงาม เป็นการปิดตำนาน Knuffle Bunny ที่ครองใจผู้อ่านทั่วโลก ซึ่งต่างก็ติดตามการเติบโตของทริกซี่มาตลอดราวกับเป็นคนในครอบครัว

แม้ตัวละครของวิลเลมส์จะต่างชนิด ต่างนิสัย และโลดแล่นในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกตัวละครล้วนสะท้อนความจริงบางอย่างของชีวิตวัยเด็ก ออกมาอย่างแยบคาย นกพิราบจอมป่วนทำให้เราเห็นภาพความไร้เดียงสาและเอาแต่ใจของเด็กเล็กที่ต้องเรียนรู้จะยอมรับคำว่า “ไม่” เป็นครั้งแรก ช้างเจอรัลด์กับหมูพิกกี้ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจว่ามิตรแท้ก็ต้องมีทั้งช่วงที่ผิดใจกันและดีใจกัน และสอนเรื่องการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก (ทั้งของตนเองและของผู้อื่น) ในขณะที่หนูน้อยทริกซี่กับ Knuffle Bunny ก็สะท้อนบทเรียนชีวิตเรื่องการก้าวผ่านวัยเยาว์ การพลัดพราก และสายใยในครอบครัว การที่วิลเลมส์เล่าเรื่องหนักๆ เหล่านี้ให้ออกมาเบาสบายและเรียกเสียงหัวเราะได้ เป็นพรสวรรค์ที่ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลงรักตัวละครของเขา โดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกสอนหรือบังคับให้คิดแต่อย่างใด

ข้ามพรมแดนสื่อ: จากหน้าหนังสือสู่จอและเวที

วิลเลมส์เป็นศิลปินที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ยิ่งหลังจากประสบความสำเร็จในวงการหนังสือเด็ก เขายิ่งมองหา “สนามเด็กเล่น” ใหม่ๆ ให้ตัวเองท้าทายอยู่เสมอ ในปี 2019 วิลเลมส์ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ศิลปินประจำการศึกษา (Education Artist-in-Residence) คนแรกของศูนย์ศิลปะชื่อดัง Kennedy Center ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาทำงานข้ามสายกับสื่อและศิลปะแขนงต่างๆ อย่างเต็มที่ วิลเลมส์ยอมรับว่าตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ เขาทั้งตื่นเต้นและใจหาย เพราะต้องลองทำสิ่งที่ไม่ถนัดหลายอย่างพร้อมๆ กัน เขาพูดติดตลกว่า การเป็น Artist-in-Residence ที่ Kennedy Center หมายถึง “ผมจะได้ไปหวาดเสียวกับของใหม่ๆ ในแบบที่ไม่เคยลองมาก่อน”​ เนื่องจากบทบาทนี้ทำให้เขาต้องพาคาแรกเตอร์ขวัญใจเด็กๆ ของตัวเองออกจากหน้าหนังสือ ไปโลดแล่นในโลกของศิลปะการแสดงและสื่ออื่นๆ ที่เขาเองก็รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง วิลเลมส์เปรียบประสบการณ์นี้ว่า “เหมือนได้กลับไปเรียน ป.2” เพราะแม้เขาจะมีทักษะพื้นฐานอยู่บ้าง แต่หลายๆ อย่างก็ใหม่ถอดด้ามสำหรับเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับวงออร์เคสตรา การเขียนบทโอเปร่าเด็ก หรือการทดลองงานทัศนศิลป์ในขนาดที่ใหญ่กว่ากระดาษภาพประกอบมาก

ตลอดเส้นทางการทำงานข้ามสื่อของวิลเลมส์ เราได้เห็นตัวละครของเขากระโดดออกจากหน้าหนังสือไปสู่สื่อต่างๆ อย่างน่าสนใจ ย้อนไปก่อนหน้านั้น วิลเลมส์เคยชิมลางงานละครเวทีมาก่อนแล้ว โดยในปี 2010 เขาเขียนบทละครเพลง Knuffle Bunny: A Cautionary Musical ดัดแปลงจากหนังสือของตัวเอง (นำแสดงโดยนักแสดงละครเวที Broadway) ซึ่งจัดแสดงอย่างประสบความสำเร็จ ในโอกาสที่รับตำแหน่งที่ Kennedy Center เขาก็ได้รับโจทย์ให้สร้างละครเพลงจากเรื่อง Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! ขึ้นใหม่อีกครั้ง วิลเลมส์พานกพิราบจอมซ่ามาซ้อมบทเพลงกับทีมนักแสดงในห้องซ้อมด้วยความตื่นเต้น และละครเพลงสำหรับเด็กเรื่องนี้ก็เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ Kennedy Center ในปลายปี 2019 ตามความคาดหมายนอกจากนี้เขายังสร้างสรรค์คอนเสิร์ตพิเศษสำหรับเด็กโดยใช้ตัวละคร Elephant & Piggie ในชื่อ “Elephant & Piggie’s We Are in a Play!” ซึ่งผสมผสานการแสดงสดเข้ากับดนตรีแจ๊สและวงออร์เคสตราขนาดเล็ก ให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์ละครเวทีครั้งแรกอย่างเพลิดเพลิน

ในโลกของโทรทัศน์ วิลเลมส์ก็ได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังห่างหายไปนาน เขาร่วมมือกับช่อง HBO Kids สร้างรายการพิเศษ 2 ชุดที่ต่อยอดจากหนังสือของเขา ได้แก่ Mo Willems: Don’t Let the Pigeon Do Storytime! (2020) ซึ่งเป็นรายการตลกที่มีนักแสดงตลกและคนดังมาเล่านิทานของเขาแบบสดๆ บนเวที และ Naked Mole Rat Gets Dressed: The Underground Rock Experience (2022) ละครเพลงร็อกสำหรับเด็กที่ดัดแปลงจากหนังสือของเขาเกี่ยวกับตุ่นหนูไร้ขนสุดแนว​ายการทั้งสองได้เสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมในฐานะสื่อทางเลือกที่ทั้งตลก อบอุ่น และเปิดโอกาสให้เด็กๆ มีส่วนร่วมระหว่างรับชม แตกต่างจากรายการเด็กทั่วไปที่เด็กเป็นผู้ชมอย่างเดียว

วิลเลมส์ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาลองหันมาจับงานทัศนศิลป์ที่จริงจังขึ้นด้วยการใช้ “นามธรรม” (abstraction) เข้าผสมกับโลกหนังสือเด็ก โปรเจ็กต์สำคัญคือการที่ Kennedy Center ชวนเขามาวาดภาพAbstract ขนาดใหญ่ประกอบการแสดงดนตรีชุดซิมโฟนีหมายเลข 1-9 ของ Beethoven โดยวง National Symphony Orchestra งานชิ้นนี้ทำเอาวิลเลมส์ “อกสั่นขวัญแขวน” เลยทีเดียวในตอนแรกเพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน แต่เมื่อเขากระโดดลงมือทำดู ผลลัพธ์ที่ได้กลับจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ชุดใหม่ๆ ให้เขาอย่างไม่คาดฝัน จนวิลเลมส์ต่อยอดมาสร้างสรรค์เป็นหนังสือภาพเชิงนามธรรมสำหรับเด็กเล่มแรกของเขาคือ Opposites Abstract ซึ่งชวนเด็กๆ มาดูภาพ คู่ตรงข้าม 18 คู่ แล้วตั้งคำถามกับความรู้สึกและความหมายของแต่ละคู่ เช่น “แข็ง-นุ่ม”, “รวม-แยก”, “ตั้งใจ-บังเอิญ” เป็นต้นหลังหนังสือวางแผง วิลเลมส์ยังได้ร่วมกับ Children’s Museum of Pittsburgh สร้างนิทรรศการอินเทอร์แอคทีฟ “Opposites Abstract” ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ พิตต์สเบิร์กมาสัมผัสโลกนามธรรมของวิลเลมส์อย่างเต็มที่ พื้นที่จัดแสดงเต็มไปด้วยกิจกรรมศิลปะที่ดัดแปลงจากภาพในหนังสือ เด็กๆ สามารถเล่นตัวต่อรูปทรงต่างๆ วาดรูปด้วยสเตนซิล และเห็นภาพวาดเส้นขยุกขยิกของวิลเลมส์ถูกแปลงเป็นสื่อดิจิทัลโต้ตอบกับพวกเขาได้ นับเป็นการยืนยันแนวคิดของวิลเลมส์ที่ว่า งานศิลป์ควรเว้นที่ว่างไว้ให้ผู้ชมทุกวัยได้เล่นและสร้างสรรค์ต่อยอด เสมอ  นิทรรศการนี้ “เว้นที่ว่าง” ให้เด็กๆ ได้ใช้จินตนาการสร้างงานของตัวเองเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของหนังสือเลยทีเดียว​

แม้จะข้ามสื่อไปหลากหลายรูปแบบ วิลเลมส์ยังคงยึดมั่นในแนวคิดการสร้างงานแบบเดิมของเขาไม่เปลี่ยน นั่นคือการ คิดถึงผู้ชมเป็นหลักและเปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วม มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากล่าวไว้ว่า “คติในการทำงานของผมคือจงคิดถึงผู้ชมของคุณเสมอ แต่อย่าคิดแทนผู้ชม” ไม่ว่าจะเขียนหนังสือ ทำละครเวที หรือสื่อรูปแบบใดก็ตาม เขาจะไม่ยัดเยียดว่าจะให้เด็กๆ คิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่จะชักชวนและไว้ใจให้เด็กๆ “ร่วมเล่น” ไปกับสื่อนั้นในแบบของตัวเอง สิ่งสำคัญอีกข้อคือ ความสนุก วิลเลมส์มักเน้นว่างานสำหรับเด็กต้องไม่ลืมความสนุก เพราะความสนุกคือสิ่งที่เชื้อเชิญให้เด็กมีส่วนร่วมและเปิดใจรับสิ่งที่งานต้องการสื่ออย่างแท้จริง เขาเล่าว่าทุกครั้งที่ลงมือทำโปรเจ็กต์ใหม่ เขาจะถามตัวเองก่อนว่า “เราสนุกกับมันไหม?” เพราะถ้าเขาสนุก คนดูก็จะสัมผัสได้ และเมื่อคนดูสนุก พวกเขาก็จะอยากเล่นต่อ วิลเลมส์อธิบายแนวคิดนี้สั้นๆ ว่า “ทุกสิ่งที่เราทำ เราต้องสนุกกับมันก่อน และหวังว่ามันจะปลุกให้เด็กๆ กับครอบครัวลุกขึ้นมาสนุกเล่นไปด้วยกัน”​ด้วยเหตุนี้ไม่ว่างานรูปแบบไหนของเขา มักจะมีลูกเล่นให้ผู้ชมได้ร่วมขยับเขยื้อนหรือคิดตามเสมอ – จะร้อง จะเต้น จะตะโกนตอบโต้ หรือจะหยิบดินสอมาวาดรูปไปพร้อมๆ กันก็สุดแล้วแต่งานแต่ละชิ้น กล่าวได้ว่าวิลเลมส์ได้ぼlanฟื้น “ศิลปะแห่งความขี้เล่น” (art of being silly) ให้กลับมาเฉิดฉายในโลกของเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ปลูกความคิดและส่งต่อการค้นพบให้เด็กๆ

ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายสูงสุดของโม วิลเลมส์ไม่ใช่แค่การสร้างความเพลิดเพลินชั่วคราวให้เด็กๆ แต่คือการ จุดประกายความคิด และส่งต่อ พื้นที่แห่งการค้นพบ ให้กับพวกเขา นิทานและตัวละครของเขาทุกตัวถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ นำไปเล่นต่อ ขยายต่อ และสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ต่อได้ด้วยตัวเอง วิลเลมส์บอกว่าในทุกผลงาน เขาจะเผื่อช่องว่างไว้ให้เด็กๆ เสมอ เพราะเขาอยากเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เด็กจะสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจเล็กๆ นั้น ยามใดที่เขาได้เห็นเด็กๆ เล่นกับไอเดียของเขาต่อเอง ไม่ว่าจะเป็นการวาดตอนจบใหม่ให้นิทานของเขา หรือการเขียนภาคต่อ “หนังสือนกพิราบ” ในแบบฉบับของตัวเอง วิลเลมส์บอกว่านั่นคือความปลื้มใจสูงสุดในฐานะผู้สร้างสรรค์เลยทีเดียว “ผมดีใจที่สุดตอนเห็นเด็กๆ ทำหนังสือนกพิราบของพวกเขาเองด้วยตัวละครของเขาเอง นั่นน่ะน่าตื่นเต้นมาก เพราะผมอยากให้ตัวเองเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ก้าวสร้างสรรค์ก้าวถัดไปของเด็กๆ”​ เขากล่าว

“ในทุกสิ่งที่ผมทำ ผมอยากเป็นเหมือนประกายไฟที่จุดขึ้น” วิลเลมส์เคยสรุปบทบาทของตัวเองไว้เช่นนั้ เปรียบเสมือนเขาไม่ได้ต้องการสร้างกองไฟที่เผาไหม้โชติช่วงเอง แต่ต้องการจุดประกายเล็กๆ ที่จะลุกต่อไปได้ในใจผู้อ่านเด็กๆ แต่ละคน เมื่ออ่านนิทานของวิลเลมส์จบ เด็กๆ จึงไม่เพียงได้รับความสนุก หากยังได้รับ แรงกระตุ้น ให้ไปทำบางสิ่งต่อ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วิลเลมส์ถึงกับมองว่างานศิลปะทุกแขนงนั้นประกอบด้วยสามองก์: องก์แรกคือช่วงที่ผู้ชม เลือกหยิบ งานนั้นขึ้นมาชม (สำหรับหนังสือก็คือช่วงที่เด็กหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน), องก์ที่สองคือช่วงที่ผู้ชม สัมผัส กับตัวงาน (ระหว่างที่อ่านเนื้อเรื่องหรือชมการแสดง), และองก์ที่สามที่สำคัญไม่แพ้กันคือสิ่งที่งานชิ้นนั้น จุดประกายให้ผู้ชมออกไปทำต่อยอด วิลเลมส์อยากให้ผู้อ่านตัวน้อยๆ ของเขามีปฏิกิริยาหลังอ่านจบคล้ายๆ กับที่ผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกหลังชมงานศิลปะหรืองานแสดงชั้นเยี่ยม นั่นคือเกิดความรู้สึกทึ่งในความงามแต่ขณะเดียวกันก็คิดว่า “เฮ้ย เราก็ทำแบบนี้ได้นี่” เขาบอกว่าเขาอยากให้เด็กๆ และ “อดีตเด็ก” ทั้งหลายร้องออกมาหลังอ่านงานของเขาว่า “โอ้ สวยจัง เราคงทำเองไม่ได้หรอก” และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่า “เอ๊ะ แต่เราก็น่าจะทำแบบนี้ได้นี่นา!” ​เพราะความรู้สึกสองอย่างนี้เองที่จะผลักดันให้พวกเขาออกไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ต่อยอดจากแรงบันดาลใจนั้นๆ

นอกจากจะสร้างแรงบันดาลใจผ่านงานของตัวเองโดยตรงแล้ว วิลเลมส์ยังขยันสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและครอบครัวในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงล็อกดาวน์การระบาดใหญ่ปี 2020 เขาจัดรายการออนไลน์ “Lunch Doodles with Mo Willems” ถ่ายทอดสดจากสตูดิโอที่บ้าน ให้เด็กๆ ทั่วโลกวาดรูปเล่นไปพร้อมๆ กับเขาทุกวันแบบฟรีๆ เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดในช่วงกักตัวและปลุกให้เด็กๆ ลุกขึ้นมาจับดินสอวาดรูปแทนที่จะจ้องหน้าจออย่างเดียว นอกจากนี้วิลเลมส์ยังจับมือกับบริษัทสี Crayola รณรงค์โครงการ “Crayola Creativity Week” ชวนพ่อแม่จัดกิจกรรมง่ายๆ เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกที่บ้าน เช่น “doodle dinners” หรือ มื้ออาหารฝึกวาด ที่สมาชิกครอบครัวเอากระดาษม้วนใหญ่มาปูโต๊ะอาหาร แล้ววาดรูปเล่นและเขียนข้อความคุยกันบนโต๊ะไปพร้อมกับทานข้าวแทนการนั่งจ้องหน้าจอมือถือ วิลเลมส์แนะนำผู้ใหญ่ยุคดิจิทัลว่า “จงเป็นเด็กในแบบที่คุณอยากเห็น  วางอุปกรณ์ลงและหันมาขีดเขียนเล่นกัน”​ เพราะเขาเชื่อว่าการลงมือวาดเขียนระบายความคิดแบบไม่ต้องกังวลถูกผิดนั้น “สนุกจะตาย…และมันทำให้เรากลับมาเชื่อมโยงถึงกันและกันอีกครั้ง ทั้งผ่านสายตา หู และหัวใจ”​ เมื่อครอบครัวมีพื้นที่สร้างสรรค์ร่วมกัน เด็กๆ ก็จะรู้สึกปลอดภัยที่จะทดลองและเปล่งประกายไอเดียของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ หลายครั้งผู้ใหญ่อาจกังวลว่าตนเองไม่เก่งศิลปะพอจะเล่นกับลูก วิลเลมส์ก็ย้ำว่า “อย่ากังวลไปเลย ความคิดสร้างสรรค์นั้นอยู่ที่กระบวนการทำ ไม่ใช่ผลลัพธ์ ตอนวาดก็วาดไปเถอะ ไม่เห็นต้องดีเลิศ ทุกคนมีช่วงที่รู้สึกวาดอะไรไม่ออก แม้แต่นักวาดมืออาชีพ”​ สิ่งสำคัญคือการลงมือทำและสนุกกับมัน โดยไม่ต้องกลัวความไม่สมบูรณ์แบบ 

ตลอดเส้นทางการสร้างสรรค์ผลงานกว่า 20 ปี โม วิลเลมส์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “การเคารพในศักยภาพของเด็ก” และ “การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออก “ คือหัวใจที่แท้จริงของงานสำหรับเด็ก เมื่อลองมองย้อนกลับไปยังหนูน้อยโมที่เคยเขียนจดหมายถึง Charles Schulz ขอโอกาสวาดการ์ตูน Peanuts เมื่อหลายสิบปีก่อน เราคงสัมผัสได้ว่าวิลเลมส์ในวันนี้ได้สานต่อจิตวิญญาณแบบเดียวกับที่ Schulz มีให้กับผู้อ่านของเขา นั่นคือการให้เกียรติผู้อ่านตัวน้อยอย่างเต็มที่ วิลเลมส์ไม่ได้ให้คำตอบทุกอย่างแก่เด็กๆ แต่เขา ปลูกเมล็ดแห่งความอยากรู้ ลงในใจพวกเขา เขาไม่ได้วาดภาพที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เขา วาดภาพที่เด็กๆ กล้าวาดตาม และชวนให้พวกเขามาขีดเขียนเติมเต็มมันด้วยตัวเอง สุดท้ายแล้ว เสน่ห์อันยิ่งใหญ่ของงานวิลเลมส์คือการที่มันไม่ได้จบลงเมื่อหนังสือปิดลงหรือม่านการแสดงปิดฉาก หากแต่มันได้กลายเป็น จุดเริ่มต้น ให้เด็กๆ ออกไปวิ่งเล่น ค้นหา ซักถาม และสร้างสรรค์โลกในแบบของตัวเองต่อไป ซึ่งนั่นแหละคือของขวัญล้ำค่าที่ Mo Willems ตั้งใจส่งต่อให้กับเด็กๆ ทุกคน ผ่านเสียงหัวเราะและเส้นสายง่ายๆ บนหน้ากระดาษของเขาเอง

อ้างอิง:

  • Morse, Libby. “Q & A with Mo Willems.” Publishers Weekly, 7 ตุลาคม 2021​publishersweekly.compublishersweekly.com.
  • Brill, Pamela. “U.S. Book Show: Mo Willems Rides on with Pigeon in Eighth Book.” Publishers Weekly, 26 พฤษภาคม 2022​publishersweekly.compublishersweekly.com.
  • Mayer, Beth Ann. “‘Doodle Dinners’ and Other Ways To Spark Screen-Free Creativity From Author Mo Willems.” Parents, 23 มกราคม 2025​parents.comparents.com.
  • ABC News. “Author and illustrator Mo Willems talks about his new children’s book ‘Are You Small?’” 2 สิงหาคม 2024​abcnews.go.comabcnews.go.com.
  • Morgan, Lauren. “Pop Culture of My Life: Mo Willems on the stories that inspire him.” Entertainment Weekly, 6 กันยายน 2022​ew.comew.com.
  • Kaplan, Emily. “Mo Willems on the Lost Art of Being Silly.” Edutopia, 21 กุมภาพันธ์ 2020​edutopia.orgedutopia.org.
  • Rydzewski, Ryan. “Thoughts from Mo Willems on sparking Pittsburgh kids’ creativity this summer.” Kidsburgh, 29 มิถุนายน 2023​kidsburgh.orgkidsburgh.org.
  • Galchen, Rivka. “Mo Willems’s Funny Failures.” The New Yorker, 6 กุมภาพันธ์ 2017​newyorker.comnewyorker.com.
  • Goodnow, Cecelia. “Mo Willems’ childhood ambition ‘to draw and be funny’ pays off with his popular picture books.” Seattle Post-Intelligencer, 17 กันยายน 2007​seattlepi.comseattlepi.com.
  • NPR. “Mo Willems Is The Kennedy Center’s First Education Artist-In-Residence.” 2 กรกฎาคม 2019​npr.orgnpr.org.
  • Blazenhoff, Rusty. “Bossy pigeon from Mo Willems’ Don’t Let the Pigeon Drive the Bus! makes operatic debut.” Boing Boing, 6 พฤษภาคม 2023​boingboing.net.