Past Lives: แด่รักแรกที่ลืมยาก กับชีวิตที่ยังต้องไปต่อ

Past Lives: แด่รักแรกที่ลืมยาก กับชีวิตที่ยังต้องไปต่อ

  • ในหนังรักหลายเรื่อง เรามักจะพบว่าตัวละครมีความสัมพันธ์อันขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น ลุ่มหลงในรักและมีเพียงรักเท่านั้น
  • แต่ Past Lives คือหนังรักที่ผู้กำกับอย่างเซลีน ซง ตั้งใจถ่ายทอดความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพยายามเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของตัวละคร มันจึงเป็นหนังรักที่เรียบง่าย เต็มไปด้วยความยับยั้งชั่งใจ แต่ก็นำมาซึ่งความรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัด ซึ่งช่วยเสริมให้เรื่องเล่าของเธอยิ่งมีพลังมากขึ้น
  • Past Lives ว่าด้วยการได้มาพบเจอกันอีกครั้งในรอบ 24 ปีของ ‘แฮซอง’ และ ‘นายอง’ ที่แอบปิ๊งกันในวัยเด็กและยังคงมีความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียกอันฝังจิตฝังใจแม้ในวันที่นายองมีสามีแล้วก็ตาม ในแง่หนึ่ง นี่คือเรื่องราวความรักสามเศร้าที่เต็มไปด้วยเหตุผลและความยับยั้งชั่งใจ ทว่าในอีกแง่ ความสัมพันธ์ของนายองกับผู้ชายทั้งสองคนในชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเส้นแบ่งของความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่เธอต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้     

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

ในชีวิตเรา อาจไม่ทุกคน แต่กับหลายคน คงจะเคยพบพานความสัมพันธ์หนึ่ง ความสัมพันธ์ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกมันว่าอะไร เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ไปหน้ามาหลัง แต่รู้ว่ามีบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าแค่พบเจอและรู้จักอยู่ตรงนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมายเพราะเส้นเรื่องต่อจากนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ในจินตนาการ เป็นความสัมพันธ์ที่ทิ้งรอยไว้ให้โหยหา เพราะเรารู้ว่ามันไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าตอนจบที่แท้จริงอยู่เลย

ความสัมพันธ์ฝังใจอันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้เพราะไม่เคยเป็นได้มากกว่านั้นคือสิ่งที่เซลีน ซง ผู้กำกับ ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพยนตร์อย่าง Past Lives ได้เป็นอย่างดี ดีจนทำให้เราที่เดินเข้าโรงหนังไปด้วยความตั้งใจจะออกมารีวิวว่า “คนอวยเวอร์ไปหน่อยไหม ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น” ต้องถอยกรูดออกจากวังวนความอคติต่อคำวิจารณ์เชิงบวก แล้วออกจากโรงด้วยความรู้สึกที่ว่า “มันดีขนาดนั้นจริง ๆ”

เป็นความชาญฉลาดของเซลีน ซงที่เลือกให้ฉากแรกของเรื่องเปิดมาด้วยการที่ตัวละครหลักทั้งสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง นั่งเรียงกันในบาร์ ส่วนคนดูอย่างเราจะได้รับบทเป็นคนอีกฟากหนึ่งของบาร์ที่เฝ้ามองทั้งสามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร

ก่อนที่หนังจะตัดมาที่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของเรื่องราวนั่นคือความสัมพันธ์ของแฮซองและนายองที่เกิดขึ้นในเกาหลีเมื่อ 24 ปีก่อน วันที่พวกเขายังเป็นเพียงเด็กชายและเด็กหญิงที่สนิทสนมกัน แข่งขันกันเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียน นายองเป็นเด็กหญิงขี้แงที่ร้องไห้แทบทุกวันในขณะที่แฮซองจะยืนอยู่ตรงนั้นข้าง ๆ เธอเสมอ แล้วทั้งคู่ก็แอบปิ๊งกัน ได้เดทกันเพียงครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนายองจะย้ายจากเกาหลีไปที่แคนาดากะทันหัน ทิ้งแฮซองไว้ในความสัมพันธ์ที่คลับคล้ายว่าจะเริ่มแต่ยังไม่ได้เริ่ม และคลับคล้ายว่าจะจบแต่ยังไม่ทันจบดี

อาจเพราะความค้างคานั่นเองที่ทำให้แฮซองตามหานายองผู้ที่ย้ายไปแคนาดาก่อนจะมีชีวิตใหม่อีกหนที่สหรัฐอเมริกามาโดยตลอด แล้วพวกเขาก็ได้กลับมาติดต่อกันทางโลกออนไลน์อีกใน 12 ปีให้หลัง ความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียกจึงย้อนกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่นายองที่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น นอรา และแทบจะละทิ้งตัวตนของเด็กหญิงในเกาหลีคนนั้นไปจนหมดสิ้นแล้วจะตัดสินใจจบความสัมพันธ์คลุมเครือนี้อีกครั้งและขาดการติดต่อกันไป หลังจากนั้นไม่นานนายองก็ได้พบกับอาเธอร์ในโครงการบ้านพักสำหรับนักเขียนและลงเอยเป็นสามีภรรยากันในที่สุด

ที่จริงแล้วฉากแรกของหนังคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเซลีน ซงเองเมื่อไม่กี่ปีก่อน เมื่อเธอพบตัวเองต้องนั่งคั่นกลางระหว่างสามีและหวานใจวัยเด็กของเธอ และยังต้องคอยเป็นล่ามให้พวกเขาในคืนหนึ่ง ตอนนั้นเองที่เธอคิดว่านี่คือช่วงเวลาซึ่งชีวิตแต่หนหลังกับชีวิตปัจจุบันของเธอได้มาเกี่ยวโยงกัน

ผู้ชายทั้งสองเป็นดังตัวแทนของชีวิตที่เธอได้เลือกและชีวิตที่ไม่ได้เลือก ในขณะที่หนังบางเรื่องเลือกที่จะถ่ายทอดประเด็นนี้ผ่านเส้นเรื่องแบบโลกคู่ขนานหรือจักรวาลหลายจักรวาล ซงเลือกที่จะถ่ายทอดชีวิตที่ไม่ได้เลือกออกมาผ่านท่าทีอันกระอักกระอ่วน ผ่านเสี้ยวเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น สายตาที่แฮซองและนายองมองกันและกันเมื่อพบเจอกันแบบตัวเป็น ๆ อีกครั้งเมื่อแฮซองเดินทางมาหาเธอที่นิวยอร์กในอีก 24 ปีให้หลังนับตั้งแต่นายองย้ายจากเกาหลี และ 12 ปีให้หลังนับตั้งแต่ทั้งคู่ขาดการติดต่อกันไป ในขณะที่เธอถ่ายทอดชีวิตที่ได้เลือกผ่านชีวิตเรียบง่ายแสนธรรมดาที่นายองในฐานะ ‘นอรา’ ใช้ชีวิตกับสามีอย่างอาเธอร์ แต่ทั้งทางที่เลือกและทางที่ไม่ได้เลือกก็ถูกพูดถึงผ่านบทสนทนาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “อินยอน” ที่หากแปลเป็นไทยอาจหมายถึงพรหมลิขิตหรือผลบุญผลกรรมที่ทำร่วมกันมา

สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือเซลีน ซง ไม่ได้พูดถึงเรื่องพรหมลิขิตให้เป็นเรื่องรักเลี่ยน ๆ ระหว่างสองตัวละครที่ ‘ควรจะ’ ได้คู่กันแต่ผลบุญไม่หนุนหนำและยัดเยียดบทคนร้ายที่ขัดขวางโชคชะตาให้อาเธอร์ แต่เธอหลอมรวมความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตเข้ากับความเป็นไปได้อันเกิดจากความบังเอิญของจังหวะชีวิต บทสนทนาว่าด้วยเรื่องอินยอนของแฮซองและนายองที่วนเวียนพูดถึงความเป็นไปได้ในอดีตชาติว่าพวกเขาอาจเคยมีชีวิตที่เกี่ยวพันกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้นถูกเล่าคู่ขนานไปกับบทสนทนาของนายอง (ในฐานะนอรา) และอาเธอร์ สามีของเธอ ที่พูดถึงความบังเอิญของจังหวะชีวิตและความจำเป็นในชีวิตที่ทำให้พวกเขามาพบกันและลงเอยด้วยกันเพียงเพราะทั้งคู่มีความสนใจใกล้เคียงกันและแต่งงานกันเพื่อให้นายองได้กรีนการ์ด นั่นคือจังหวะชีวิตที่อาเธอร์เชื่อว่าหาก ณ วันนั้น เวลานั้น ในบ้านพักตากอากาศของนักเขียนนั้น นายองได้พบเจอคนอื่นที่ไม่ใช่เขาแต่ด้วยเงื่อนไขจังหวะชีวิตเดียวกัน เธอกับใครคนนั้นก็ต้องลงเอยด้วยกันอย่างที่เขาลงเอยกับเธออยู่ดี    

นอกจากเรื่องของพรหมลิขิตและจังหวะชีวิตที่คู่ขนานกันไปแล้ว แฮซองเองก็ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงความรักครั้งแรกที่ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อทำให้นายองปั่นป่วนเท่านั้น แต่เขายังเป็นเหมือนจุดเชื่อมโยงระหว่าง ‘นอรา’ นักเขียนบทละครสาวผู้ออกล่าฝันในอเมริกา กับ ‘เด็กหญิงนายอง’ ที่เส้นชีวิตของเด็กหญิงชาวเกาหลีอันคุ้นเคยถูกพรากไปจากเธอกะทันหันเพราะการย้ายประเทศของพ่อแม่ เขาคือคนเดียวนอกจากแม่ที่ยังเรียกเธอด้วยชื่อเก่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่หอบเศษเสี้ยวความทรงจำวัยเด็กจากเกาหลีมาหาเธอถึงอเมริกา ขณะที่ความสัมพันธ์ของนายองกับอาเธอร์นั้นคือภาพแทนของความเป็นผู้ใหญ่ ความรักที่เกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขมากมายในชีวิตแต่ก็ใช่ว่าไม่รัก เพียงแต่นอกจากความรักแล้ว นี่คือความสัมพันธ์อันเกื้อกูลและจำเป็นต่อการเติบโตของเธอ

เซลีน ซง ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนใหญ่แล้วหนังรักหลาย ๆ เรื่องคือเรื่องราวของผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็ก ๆ เมื่ออยู่ด้วยกัน แต่เธออยากกำกับ Past Lives ให้ออกมาเป็นหนังรักที่แต่ละคนพยายามจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

หนังรักหลายเรื่องนั้นความสัมพันธ์ของตัวละครมักเป็นความสัมพันธ์อันขาดการยับยั่งชั่งใจ ขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น ลุ่มหลงในรักและมีเพียงรักเท่านั้น แต่ Past Lives คือหนังรักที่ตัวละครทั้งสามพยายามเติบโตเป็นผู้ใหญ่และก้าวข้ามความ ‘เอาแต่ใจ’ และ ‘เอาแต่รัก’ ของตัวเองเพื่อให้ชีวิตยังเดินหน้าต่อไปได้ นายองและแฮซองต้องขีดเส้นระหว่างชีวิตวัยเด็กและชีวิตปัจจุบันให้ชัด ขณะที่อาเธอร์ที่แม้เกิดอาการหึงหวงและหวั่นไหวก็ต้องข่มใจให้เชื่อมั่นและไว้ใจในความมั่นคงของนายองที่มีต่อเขา เพื่อปล่อยเธอไปเผชิญหน้ากับอดีต

การได้พบหน้าแฮซองอีกครั้งในรอบ 24 ปี ได้ใช้เวลาร่วมกับเขาอย่างเต็มที่ ได้มองเห็นหน้าเขาชัด ๆ ทำให้นายองแยกแยะตัวตนของเด็กหญิงนายองและนอราได้ และพร้อมบอกลาตัวตนนั้นไปในท้ายที่สุด เมื่อเธอได้รู้ว่าในการเติบโต เราต่างก็ต้องละทิ้งบางสิ่งบางอย่าง แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งที่เราเลือก และทุกสิ่งที่เราไม่ได้เลือก ต่างก็มีส่วนในการประกอบสร้างเราให้เป็นเราด้วยกันทั้งหมด

ในชีวิตเรา อาจไม่ทุกคน แต่กับหลายคน ก็คงเคยผ่านประสบการณ์นี้ มีความสัมพันธ์บางความสัมพันธ์ที่เฝ้าแต่คิดคำนึงถึงความเป็นไปได้นานับประการ และแม้จะแอบหวังนิด ๆ ว่าเราจะสามารถทดลองใช้ชีวิตบนความเป็นไปได้เหล่านั้น แต่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ อาจเป็นเพียงแค่การมองมันให้เต็มตาและบอกตัวเองว่า นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากทุกสิ่งที่เราไม่ได้เลือก เพื่อที่เราจะได้ก้าวต่อไปในทางที่เลือกแล้วจริง ๆ เสียที   

Writer
Avatar photo
ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา

อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า

illustrator
Avatar photo
พรภวิษย์ เพ็งเอียด

ชอบกินเนื้อต้มและตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ปีละสามเล่ม

Related Posts

Related Posts