“ฉันรอเก่งนะ” : รักที่มีระยะทางหมื่นไมล์ขวางกั้น แต่มันก็คุ้มที่จะรอ
“ฉันรอเก่งนะ” : รักที่มีระยะทางหมื่นไมล์ขวางกั้น แต่มันก็คุ้มที่จะรอ
- เดือนแห่งความรักปีนี้ Mappa นำเสนอ 3 ความรักระยะไกล ‘Love Beyond Distance’ ที่จะทำให้เรารู้ว่ารักแท้ไม่แพ้แม้ระยะทาง
- ความรักระหว่างน้ำแข็งและแดนก็คือหนึ่งในนั้น น้ำแข็งเคยเป็นคนที่เชื่อว่าเธอจะต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่แล้วเธอก็ได้มารู้จักแดน หนุ่มอเมริกันที่อยากลองใช้ชีวิตที่ไทย ผ่าน Tinder ในช่วงที่เธอเหงาจนได้ยินเสียงตัวเอง
- แม้จะมีระยะทางหมื่นไมล์ระหว่างไทยกับอเมริกามาขวางกั้น และแม้จะเคยคิดว่า long-distance relationship นั้นไม่มีทางเวิร์ก แต่ความรักครั้งนี้ก็ทำนให้น้ำแข็งรู้ว่า บางความรักก็เป็นความรักที่คุ้มที่จะรอ
“เมื่อเธอเรียกหารัก รักก็อาจจะจากไป แต่ถ้าเธอหันหลังให้ รักก็อาจจะเดินตาม และเมื่อพบ รักก็พร้อมที่จะจากพราก และถึงจาก รักก็อาจจะกลับคืนหวน”
– ชูมาน, พิบูลย์ศักดิ์ ละครผล
“อีนี่จะเป็นคนที่ตายโดยลำพัง เป็นคนโสดตลอดชีวิต” น้ำแข็ง – ณัฐฐฐิติ คำมูล ไม่เคยมีแฟนในช่วงมัธยม ยังไม่มีแม้แต่ในช่วงมหาวิทยาลัย เพื่อนของเธอทำนายว่าเธอต้องเป็นโสดตลอดชีวิต และเธอก็เชื่อจริง ๆ ว่าชีวิตของเธอจะลงเอยแบบนั้น ตายอย่างโดดเดี่ยว หรืออย่างดีที่สุดก็อาจจะต้องสร้างบ้านอยู่ร่วมกับเพื่อนสาวโสดคนอื่น ๆ
แต่นั่นก็ก่อนที่น้ำแข็งจะพบว่าความเหงาเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยือนเมื่อเริ่มชีวิตวัยทำงาน “เหงาจนได้ยินเสียงตัวเอง” เธอบอกอย่างนั้น และนั่นทำให้เธอลองสมัครแอปพลิเคชันหาคู่ยอดนิยมอย่าง Tinder ดูสักตั้งด้วยหวังจะได้ใครสักคนมาช่วยคลายเหงา น้ำแข็งไม่ได้คาดหวังความสัมพันธ์จริงจัง ไม่ได้คาดหวังความรักอันยั่งยืน แต่สิ่งมหัศจรรย์ของความรักก็คือ มันคาดเดาไม่ได้ มันดื้อดึง มันเจ้าเล่ห์แสนกล และบางครั้งมันก็ดลบันดาลให้สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้กลายเป็นความจริง
เหมือนตอนที่มันทำให้น้ำแข็งได้รู้จักกับ ‘แดน’ หนุ่มชาวอเมริกันที่ลองมาใช้ชีวิตในเมืองไทยบน Tinder เธอกลายเป็นเพื่อนคนแรกของเขาที่นี่ ก่อนจะพัฒนามาเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าแค่ ‘คนคุย’ และกลายเป็นคนรักกันในที่สุด
แต่ก็อย่างที่บอก ความรักนั้นคาดเดาไม่ได้ เมื่อเรียกหารัก รักก็อาจจะจากไป เมื่อหันหลังให้ รักก็อาจจะเดินตาม และเมื่อพบ รักก็พร้อมที่จะจากพราก… ไม่ต่างอะไรกับตอนที่น้ำแข็งต้องไปส่งแดนกลับอเมริกาทั้งน้ำตาหลังจากมาอยู่ไทยได้ 2 ปี ด้วยคิดว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน ทว่าน้ำแข็งดูจะเป็นคนคาดการณ์เรื่องความรักไม่เก่งนัก เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้สัมผัสความรักแบบคู่รัก ความรักก็มาทักทาย พอคิดว่าวันที่ไปส่งแดนกลับอเมริกาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอหน้าเขา เธอก็ทายผิดอีกเช่นกัน ก็อย่างที่บอก รักคาดเดาไม่ได้ เมื่อพบก็อาจมีพราก แต่ถึงจาก รักก็อาจจะกลับคืนหวน
ความสัมพันธ์ทางไกลที่มีระยะทางเกือบหมื่นไมล์คั่นกลางระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาไม่ได้ทำให้พวกเขารักกันน้อยลง แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้ที่จะวางใจในกันและกัน และเรียนรู้ด้วยว่าบางความสัมพันธ์ก็ช่างคุ้มค่าแก่การรอคอย
คนขี้เหงาคนหนึ่ง…
“ต้องเล่าก่อนว่า เป็นคนที่ไม่เคยมีแฟนเลย ตอนเรียนมัธยม มหา’ลัยก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับใครเลย อาจเป็นเพราะว่า สังคมที่เราอยู่ คำว่า ‘คนสวย’ เธอต้องฟิตนะ ต้องผอม ต้องหุ่นดี ต้องขาว แต่เราไม่เคยฟิตในกล่องนี้เลยค่ะ เราเป็นเด็กอ้วนดำ เพื่อนเรียกพี่ช้าง ดังนั้นเราไม่เคยถูกมองว่าเราเป็นคนสวย”
น้ำแข็งเริ่มเล่าเรื่องเส้นทางความรักก่อนมาเจอแดนให้เราฟัง มันเริ่มจากการเป็น ‘พี่ช้าง’ ในสายตาคนอื่น ๆ ที่ทำให้เธอและเพื่อนเชื่อว่า เธอจะเป็นคนที่ต้องโสดตลอดชีวิตและตายโดยลำพัง “เอาวะมึง ไม่มีผัวไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร” น้ำแข็งบอกตัวเอง “เราสวยในแบบของเรา และรวยก็พอแล้ว”
แต่พอเริ่มทำงาน เธอก็พบว่าบางครั้งความเหงาก็เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการเยียวยา ชีวิตที่ต้องตื่นแต่เช้า ตั้งใจทำงาน เหนื่อยมาทั้งวัน แต่พอกลับมาถึงห้องก็ไม่มีใครให้คุย ไม่มีใครให้กอด และต้องคุยกับหมอนอยู่ทุกวันทำให้เธอ “เหงาจนได้ยินเสียงตัวเอง”
“หลังเลิกงานเรากลับมาถึงห้องแล้วไม่มีใครเลย ก็เลยสมัคร Tinder เป็นตัวช่วยยามเหงาของคนแบบเรา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Tinder ดัง อยากได้ผู้ชายหล่อก็ต้องเล่น Tinder เลยเอาวะ ลองสักตั้งนึง ก็เลือกรูปที่สวยที่สุดในนั้น ขำตัวเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายคนมันคงตัดสินเราที่หน้าตา ก็เลยเอารูปสวยไปก่อน”
รูปสวย ๆ ตั้ง bio แบบยั่วยวนว่า “Say hi to me and I’ll tell you everything” คือเคล็ดลับที่น้ำแข็งเลือกใช้ในการเล่น Tinder และมันได้ผล คนมากมายทักมา say hi เธอ
การได้ทำความรู้จักกันผ่านแอปพลิเคชันแทนการเจอตัวจริงตั้งแต่แรกเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทำให้น้ำแข็งรู้สึกมั่นใจในตัวเอง สวยไม่มากแต่คารมดี คือจุดขายของน้ำแข็ง มันทำให้เธอกล้าพูดคุยและออกไปพบเจอกับคนแปลกหน้ามากขึ้น บนโลก Tinder น้ำแข็ง match กับคนมากหน้าหลายตา คุยต่อกับคนอีกหลายคน และก็มีหลายคนเหมือนกันที่แวะมาถึงห้อง แต่มันก็แค่นั้น เธอไม่เคยคาดหวังความสัมพันธ์จริงจัง ยาวนาน หรือยั่งยืนจากการนัดพบกันใน Tinder เลย
“เรากะว่าจบคืนนี้แล้วจบ คนคนนี้ก็จะเข้ามาในชีวิตเราแค่คืนนี้ ตื่นเช้ามาเขาก็จะไปจากชีวิตเรา แค่นั้นเลยนะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นมองว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเป็นยังไง แต่สำหรับเราเราว่าท้ายที่สุดมันก็เป็นร่างกายเรา เราดูแลตัวเองได้ เราก็โอเคที่จะมีความสัมพันธ์แบบนี้ มันเลยเริ่มจากความไม่คาดหวัง”
แต่นั่นมันก่อนที่เธอจะได้รู้จักกับ ‘แดน’ หนุ่มอเมริกันที่อยากมาลองใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองในประเทศไทย การ match กันบน Tinder ทำให้น้ำแข็งกลายเป็นเพื่อนคนแรกของแดนในเมืองไทย
“ตอนที่ match กับแดนเป็นตอนที่เราออกจากงานประจำที่แรก แล้วเราก็มีความฝันเยอะแยะมากมายเลย เราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เรามีโปรเจ็กต์ในชีวิตเยอะมาก แล้วเรารู้สึกว่าเราคุยเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ เขาจะไม่ค่อยเก็ตเลย ซึ่งเราก็เขาใจเขานะว่ามันอาจจะไม่ใช่หัวข้อที่มันน่าสนใจสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่กับคนคนนี้ พอเราพูดถึงโปรเจ็กต์ในชีวิตของเรา เขาสนใจว่ะ แล้วเขาก็รับฟังอย่างตั้งใจจริง ๆ แล้วก็ไม่ตั้งคำถามกับโปรเจ็กต์ในชีวิตเราเลย ซึ่งมันเพ้อฝันมากนะเอาจริง ๆ แต่เขาก็โอเค แล้วเขาก็เล่าโปรเจ็กต์ในชีวิตเขาให้เราฟัง ดังนั้นมันเลยเริ่มจากตรงนี้ แล้วเราก็คุยกันเรื่องหนังสือ ว่าฉันอ่านเรื่องนี้ เธออ่านเรื่องนี้ แล้วมันรู้สึกว่าเหมือนรู้จักกันมานานเลย เมื่อก่อนถ้าคนพูดว่ารู้สึกคลิกแต่แรก รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน เราจะเบะปากแบบ “แหวะ อะไรอะ” แต่เราว่าเราได้สัมผัสความรู้สึกนั้นจากคนคนนี้ ดังนั้นเราเลยคุยต่อแล้วกัน”
ที่จริงแดนก็เป็นอีกคนที่น้ำแข็งเคยคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะยั่งยืนแค่คืนเดียวเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เมื่อลืมตาตื่นแดนก็จะหายไป
“แต่พอคุยไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ออกจากชีวิตเราไปเลย” น้ำแข็งเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “เราคิดว่าเขาไปแน่นอน สองสามอาทิตย์เดี๋ยวเขาก็ไปเหมือนทุกคนที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังไม่ไป หรือว่าเราสวยนะ” เธอแวะกลับมาชมตัวเองด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอีกรอบหนึ่ง
“เราคุยกันไปเรื่อย ๆ เหมือนเป็นเพื่อนก่อน พอคุยไปเรื่อย ๆ มันก็รู้สึกสบายใจกันทั้งสองฝ่าย มันเลยค่อย ๆ เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เราก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่สำหรับเรากับแฟนขอใช้คำว่า exclusive แบบเหนือคนคุยไปแล้วแต่ไม่ใช่แฟน ก็คุยกับคนนี้คนเดียวไม่ได้คุยกับคนอื่น แล้วก็ค่อย ๆ พัฒนามาเป็นแฟน แต่เขายังไม่พูดคำว่ารัก จนคบกันไปปีกว่าแล้วมั้ง เขาถึงยอมพูดว่า เขารักเรา ซึ่งเราเคยได้ยินเรื่องแบบนี้นะ แต่เราไม่คิดว่าเราจะเจอกับตัวเอง มันพิเศษมากเลยตอนที่เขาพูดว่าเขารักเรา”
10,000 ไมล์
เมื่อคุณเรียกหารัก รักก็อาจจะจากไป… ในวันที่ความรักสุกงอม หลังจากสองปีที่ได้คบกัน ก็ถึงวันที่แดนตัดสินใจเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา น้ำแข็งไปส่งแดนที่สนามบินและร้องไห้เหมือนโลกจะแตก เพราะเธอเชื่อเอาจริง ๆ ว่านั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
“วันที่ไปส่งที่สนามบินคือวันที่เรารู้สึกว่าจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอหน้าเขา ที่จะได้จับตัวเขา คือเหมือนเขาจะตายไปจากชีวิตเราแล้ว”
ความสัมพันธ์ระยะไกลไม่เคยเวิร์กในความคิดของเธอ มันไม่เคยเวิร์ก และมันก็คงจะไม่เวิร์กแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแดนก็เถอะ ระยะทางจากไทยไปอเมริกานั้นไกลกว่า 10,000 ไมล์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เลิกกัน วันหนึ่งแดนอาจเจอใครอีกคนที่ถูกใจและอยู่ใกล้กว่าเธอ และบางวันเธอก็อาจจะเจอคนที่ถูกใจและอยู่ใกล้กว่าแดน น้ำแข็งไม่รู้เลยว่าเธอจะรับมือกับความรู้สึกนั้นได้อย่างไร ไหนจะเรื่องของเวลาที่ต่างกัน แดนนอน น้ำแข็งตื่น น้ำแข็งตื่น แดนเข้านอน ทั้งคู่คงไม่สามารถคุยอะไรกันไปได้มากกว่า อรุณสวัสดิ์ และ หลับฝันดีนะ และนั่นคือความท้าทายที่สุดสำหรับน้ำแข็ง
“จนวันนึงก็บอกเลยว่า ช่างแม่งเลยแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าวันนึงมันจะต้องเลิกกัน เราทุ่มเททุกอย่างให้กับความสัมพันธ์นี้แล้ว ไม่เสียดายอะไรแล้ว”
และน้ำแข็งก็คาดการณ์เรื่องความรักผิดอีกเช่นเคย เธอไม่ได้เลิกกับแดน ทั้งเธอและแดนไม่ได้เจอใครที่ถูกใจและอยู่ใกล้กว่า ทั้งคู่พยายามก้าวข้ามความท้าทายเรื่องเวลา อย่างน้อยในแต่ละวันต้องได้เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าไปเจออะไรมาบ้าง จนถึงจุดที่ทั้งน้ำแข็งและแดนต่างเรียนรู้ที่จะ ‘วางใจ’ ในความสัมพันธ์ครั้งนี้ แม้จะมีระยะทางหมื่นไมล์ขวางกั้น
“เรารู้สึกว่าทุกความสัมพันธ์มันคล้าย ๆ กัน แต่เด็กจะมีช่วงที่เขาทดสอบแม่ พอรู้ว่าแม่จะไม่ทิ้งเขาไปไหน เด็กจะชิลแล้ว ซึ่งเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราก็เป็นแบบนั้น มันจะมีช่วงที่เราทดสอบกันแบบงอแง ๆ เธอจะมีคนอื่นรึเปล่า แต่ว่าทุกอย่างทุกการกระทำของเขาและเรามันพิสูจน์แล้วว่า โอเค เราไม่ไปไหนแล้วนะจ๊ะ เราจะเป็นคนคนนี้ของเธออยู่ตรงนี้แหละ แม้ว่าตัวจะห่างกันแต่เมื่อไหร่ที่เธอมีปัญหา ฉันจะอยู่ตรงนี้นะ เธอเล่าให้ฉันฟังได้ทุกเรื่อง จนมันถึงจุดที่เรามั่นใจแล้วว่าคนคนนี้จะอยู่ตรงนี้ เราเลยชิล”
โลกเหวี่ยงให้เขาได้รู้จักกันจาก Tinder จากนั้นโลกก็เหวี่ยงให้แดนต้องกลับไปอเมริกา และโลกยังส่ง COVID-19 มาทำให้การเดินทางระหว่างประเทศต้องหยุดชะงักลงด้วย
สี่ปี คือช่วงเวลาที่น้ำแข็งและแดนไม่ได้พบหน้า สัมผัส หรือแม้แต่ยืนอยู่บนผืนดินแผ่นเดียวกัน
“มันก็เป็นสี่ปีที่หนักหนาสาหัสมาก ๆ เหมือนกันนะ คนอื่นเขาอยู่บ้าน work from home ก็ยังมีคนที่คอยสนับสนุนทางกายทางใจเลย การกอดกัน หรือการได้มีเขาอยู่ในห้อง มีร่างกายเขา มีเสียงหายใจเขาอยู่มันเป็นอะไรที่มีความหมายมาก แต่เราไม่มี”
นั่นทำให้วินาทีแรกที่เจอหน้าแดนที่สนามบินหลังจากสี่ปีที่ผ่านมา จากที่เคยคิดว่าจะร้องไห้ น้ำแข็งก็ไม่ร้องไห้ หลังจากการกอดทักทาย น้ำแข็งต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงหนึ่งเพื่อที่จะเชื่อได้ว่า แดนกลับมาแล้ว เธอได้สัมผัสแดนแล้ว และแฟนของเธอได้เขยิบออกมาจากจอโทรศัพท์มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วจริง ๆ
สุดท้ายก็ไม่ต้องแก่ตายโดยลำพัง
“เราคุยกันเยอะมาก เราสื่อสารกันเยอะมาก เราไม่ชอบแบบนี้ เราก็จะบอกเขาทันที เรารู้สึกยังไงอยู่ตอนนี้ เราจะบอกเขาทันที แล้วแดนเป็นคนที่น่ารักมาก สมมติวันนี้เราบอกเราเครียดจังเลย ฉันเหนื่อยมากเลยวันนี้ แฟนจะถามว่า เธออยากได้คำปลอบใจ อยากได้คำแนะนำ อยากได้คนฟัง หรืออยากได้คนให้คำปรึกษา” น้ำแข็งเล่าเคล็ดลับการประคับประคองความสัมพันธ์ในระหว่างที่ต้องไกลกันให้เราฟัง
และเธอยังเชื่อว่า การรักตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งพื้นฐานอันสำคัญที่จะทำให้ความรักยังไปต่อได้ไม่ว่าจะในความสัมพันธ์รูปแบบใดก็ตาม
“อันที่สองที่เราคิดว่ามันสำคัญและจำเป็นมาก ๆ กับความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะ long-distance relationship หรือความสัมพันธ์ไหน ๆ ก็ตาม คือการดูแลตัวเอง คือการรักตัวเอง มันเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ ถ้าเราไม่รักตัวเอง เราจะเรียกร้องความรักจากคนอื่นเยอะมาก การรักคนอื่นก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นเราก็ใช้ช่วงเวลานี้เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ถามว่าตอนนี้รักตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ก็ไม่นะ เราก็ยังจะแบบ เออ กูไม่สวย ๆ เราก็โตมากับความเชื่อนี้มาสามสิบปีเนอะ มันก็จะยังมีความคิดนั้นอยู่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเรายังมีคนคนนี้ที่บอกเราว่า ไม่ เธอสวย เธอสวยในแบบของเธอและฉันก็รักเธอในแบบที่เธอเป็น ซึ่งมันดีต่อใจมาก ๆ”
“แข่งเรือแข่งพายมันก็แข่งได้นะ แต่แข่งบุญวาสนาอะ มันก็นะ นิดนึง” เมื่อเล่ามาสักพัก น้ำแข็งก็เข้าสู่โหมดคนอวดแฟน สำหรับเธอ แดนอาจไม่ใช่คนที่หล่อมากมายอะไร แต่เขาคือคนที่น่ารัก นิสัยดี ชอบทำงานศิลปะ และเขียนจดหมายส่งให้น้ำแข็งเสมอแม้ทุกวันนี้จะมีเทคโนโลยีที่ทำให้การสื่อสารระยะไกลทำได้ง่ายกว่าการต้องเขียน ส่ง และรอรับจดหมายก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคนที่พร้อมจะสนับสนุนคนที่เขารักในทุก ๆ เรื่อง แม้แต่เรื่องที่น้ำแข็งเคยไม่มั่นใจอย่างเรื่องหน้าตา ก็เป็นแดนนี่เองที่ทำให้น้ำแข็งเริ่มรู้สึกว่า อย่างน้อยเธอก็สวยสำหรับใครคนหนึ่งจริง ๆ
“แดนเป็นคนที่ supportive มาก ๆ แดนชมเราอยู่ตลอดเวลาว่าเราสวย ไม่ว่าตอนนั้นเราจะหน้าตาแย่แค่ไหนเราก็สวยสำหรับเขา เขาบอกว่าความสวยของเราสำหรับเขามันไม่ใช่ข้างนอก แต่มันคือความสวยข้างในที่เขาตกหลุมรักแต่แรก พอฟังแบบนี้ก็รู้สึกสวยจริง ๆ นะ มันเปลี่ยนไปจริง ๆ ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าเรามั่นใจขึ้น เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเคยเจอมา แม้ว่าจะตัดไปไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็รู้สึกว่า เฮ่ย มันไม่ได้สำคัญนี่หว่า คนอื่นเขาจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ ท้ายที่สุดเรามีคนคนนี้ที่เขารักเราแบบที่เราเป็นจริง ๆ ก็พอแล้ว”
ปัจจุบัน ความรักของน้ำแข็งกับแดนกำลังจะเดินทางถึงปีที่ 7 แล้ว จากเดิมที่คิดว่าความสัมพันธ์ระยะไกลคงจะไม่เวิร์ก แต่ตอนนี้มันเวิร์กเสียยิ่งกว่าเวิร์ก เพราะทั้งคู่ได้เลื่อนสถานะจากแฟนเป็นคู่หมั้น และวางแผนที่จะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้
“มันเป็นการขอแต่งงานที่อะไรวะนิดนึง แต่มันก็น่ารักดี เขาให้คนมาส่งดอกไม้ตอนแปดโมงเช้าวันหยุด เราก็ลงไปรับดอกไม้ขึ้นมา พอขึ้นมาปุ๊บเขาก็คุกเข่า ซึ่งวินาทีที่เขาคุกเข่า จากคนที่ไม่เคยคิดว่าจะมีความรัก ไม่เคยคิดว่าเราจะมีแฟนจะมีสามี ทุกอย่างมันกลับรู้สึกว่าจริงมาก แบบไอ้เหี้ย คนอย่างกูก็มีคนรักว่ะ คนอย่างกูก็ประสบความสำเร็จในความรักได้นี่หว่า เขาก็คุกเข่าขอแต่งงานแล้วบอกว่า แต่งงานกันเนอะ ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นู่น”
ฟังดูราวกับว่าเรากำลังเล่าถึงฉากฉากหนึ่งในหนังโรแมนติกคอเมดีสักเรื่อง แต่นี่คือชีวิตจริงของน้ำแข็งที่เธอเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เธอหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังตอนที่แดนขอแต่งงาน แต่เมื่อตอบตกลง น้ำตาแห่งความปลื้มใจก็ไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อวันนี้น้ำแข็งได้ค้นพบแล้วว่า สุดท้ายเธอก็ไม่ต้องตายโดยลำพัง
“สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จาก long-distance relationship ครั้งนี้คือเราได้รู้ว่า เราแม่งรอเก่งมาก รอเก่งมากจริง ๆ แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะรออะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามัน worth it แล้วเราก็รู้ว่าความสัมพันธ์นี้มันคุ้มค่าจริง ๆ ที่จะรอ”
Writer
ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา
อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า
Photographer
ฉัตรมงคล รักราช
ช่างภาพ และนักหัดเขียน
illustrator
อุษา แม้นศิริ
มนุษย์กราฟิกผู้ชื่นชอบงานภาพประกอบ สีฟ้า ดนตรี และมีนกน้อยสองตัวเป็นของตัวเอง