คุยกับ ป๊อปปี้-ภาณุ จิระคุณ คุณพ่อลูกหนึ่ง และผู้สร้าง ‘LittleLot’ พื้นที่การเรียนรู้ ที่พาเด็กๆ มาปลดปล่อยจินตนาการ และพาผู้ใหญ่กลับมาเล่นสนุกเหมือนตอนเด็กๆ อีกครั้ง

คุยกับ ป๊อปปี้-ภาณุ จิระคุณ คุณพ่อลูกหนึ่ง และผู้สร้าง ‘LittleLot’ พื้นที่การเรียนรู้ ที่พาเด็กๆ มาปลดปล่อยจินตนาการ และพาผู้ใหญ่กลับมาเล่นสนุกเหมือนตอนเด็กๆ อีกครั้ง

ในวัย 33 ปี ของชายหนุ่มที่ชื่อว่า ป๊อปปี้-ภาณุ จิระคุณ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขและสนุกกับการทำความรู้จักและเรียนรู้คนต่างเจนเนอเรชัน ผ่านบทบาทต่างๆ ที่กำลังทำอยู่

บทบาท ‘คุณพ่อ’ ที่การเลี้ยงลูก ได้สร้างเซอร์ไพรส์ให้เขาเห็นมุมมองใหม่ๆ จากลูกแทบทุกวัน และทำให้เรียนรู้ว่าการเป็นพ่อที่มีเวลาและรู้จักสร้างปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวเป็นเรื่องที่สำคัญมากแค่ไหน

บทบาทนักพัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก ‘LittleLot’ ที่เขาร่วมพัฒนากับ แตงกวา-นัชชา จิระคุณ ผู้เป็นภรรยา มาแล้ว 8 ปี ด้วยการเป็นพื้นที่การเล่นซึ่งชวนเด็กๆ มาปลดปล่อยจินตนาการในหัว ด้วยการเปิดเวิร์กช็อปให้เด็กๆ คราฟต์เกมที่อยากเล่นขึ้นมาเองบนกระดาษ แล้วนำสิ่งที่พวกเขาออกแบบมาทำให้เกิดขึ้นจริงผ่านการใช้เทคโนโลยี เพราะนี่คือการสร้างของเล่น ที่ไม่ได้ให้แค่เล่น แต่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้การใช้ความคิด แอบบอกว่า มีน้องบางคนคิดเกมเจ๋งๆ อย่าง เกมเกี่ยวกับควาร์กที่อยู่ในอะตอม ซึ่งกำลังกระโดดหลบอิเล็กตรอนในเกมอยู่! หรือบางคน ก็สร้างเกมให้ตัวเองเป็นมังกรที่สู้กับอัศวิน แทนที่จะเป็นอัศวินที่สู้กับมังกรตามภาพจำสมัยก่อน ซึ่งเป็นมุมมองในหัวที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

รวมถึงบทบาท ‘หัวหน้าทีม’ ที่ป๊อปปี้และครอบครัว LittleLot ซึ่งประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเจนเนอเรชัน ตั้งใจจะออกแบบประสบการณ์ หรือ Experience Design ที่มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อคนทุกรุ่น เพราะถ้าเด็กเกิดประกายไฟและแพสชันบางอย่างขึ้นมา ผู้ใหญ่ก็ต้องได้ไอเดียเจ๋งๆ กลับไป และเหมือนได้กลับมาสนุกกับชีวิตมากขึ้นเหมือนตอนเด็กๆ ด้วยการชวน Baby Boommer, Gen X, Gen Y, Gen Z หรือ Gen Alpha มา ‘สนุกด้วยกัน’ โดยไร้ซึ่งกำแพงทางอายุผ่านประสบการณ์การออกแบบ

และหนึ่งในตัวอย่างประสบการณ์ที่อดีตสมาชิกวงบอยแบนด์ K-OTIC ผู้รักในเสียงดนตรีคนนี้ อยากพูดถึงเป็นพิเศษ คือการสร้าง ‘สนามเด็กเล่น’ ร่วมกับ Mappa ในงาน Relearn 2025 โดยใช้ ‘ดนตรี’ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงคนทุกเจนเนอเรชันให้เข้ามามีส่วนร่วมและสนุกไปด้วยกันในสเปซ ที่หยิบเอาเพลงฮิตและเครื่องดนตรีจากทุกยุคมา rearrange ใหม่ โดยให้คนทุกเจนฯ มาเล่น มาเต้น มาฟัง ผ่านสเตชั่นที่คนเล่นจะต้องกดปุ่มที่เปรียบเสมือนโน้ตของเครื่องดนตรีจากยุคสมัยของตัวเอง เพื่อบรรเลงเพลงของทุกๆ เจนฯ แบบที่บางเพลง คนวัยเราก็ไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน คนวัยเขาก็อาจไม่เคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อน ซึ่งไม่แน่เราอาจได้เห็นเพลงช้างสไตล์ EDM ที่ผู้สูงอายุกำลังนั่งฟังอยู่ก็ได้! หรือเห็นเพลง T-Pop ที่เล่นโดยเครื่องดนตรีทรัมเป็ตรุ่นเก่าๆ หรือเห็นเด็กรุ่นใหม่ กำลังบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ ผ่านเสียงดนตรียุคใหม่ๆ ก็เป็นไปได้หมด!

Relearn 2025 ปีนี้ จัดขึ้น ณ มิวเซียมสยาม ทุกสุดสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2568 ภายในคอนเซ็ปต์ ‘Intergeneration’ หรือการอยู่ร่วมกันระหว่างรุ่น เพราะแม้เราจะโตมาต่างกัน คิดไม่เหมือนกัน มองโลกไม่เหมือน แต่ทุกคนสามารถเชื่อมต่อกันได้หากเราพร้อมจะเรียนรู้โลกของกันและกัน 

เหมือนที่ป๊อปปี้อินและสนุกกับการสื่อสารกับเด็กๆ เพราะเขาเชื่อว่า ผู้ใหญ่มีส่วนสำคัญในการช่วยปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวเด็ก และเด็กก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ใหญ่เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ นอกกรอบความคิดเดิม ๆ ด้วยเช่นกัน 

พ่อป๊อปปี้ของลูก

จากที่เคยรู้จักป๊อปปี้ตอนเป็นศิลปิน พอตอนนี้เขามาเป็นพ่อคนแล้ว เหมือนเราได้มาทำความรู้จักเขาใหม่อีกครั้ง เขามีด้านอื่นๆ ในแบบที่เราและใครหลายๆ คนไม่เคยเห็นมาก่อน เขาในช่วงวัยนั้น และช่วงวัยนี้มีหลายสิ่งที่ต่างออกไป ซึ่งก็คงเหมือนทุกๆ คน รวมถึงเรา ที่การเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ตั้งแต่เด็กยันโต ล้วนหล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้ ซึ่งป๊อปปี้ในวัยนี้ก็ยืนยันว่า เขาสนุกกับการเป็นพ่อมาก!

“ผมสนุกครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ลูกผมกำลังจะ 2 ขวบ ความสนุกอย่างนึงคือเด็กเขาโตเร็วมาก ทุกๆ อาทิตย์ ทุกๆ 2 อาทิตย์ เหมือนเราได้เจอลูกเราที่มีอะไรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละเฟดก็จะมีอะไรที่น่าสนใจ ช่วงแรกๆ เราอาจจะต้องตื่นทุก 3 ชั่วโมงมาดูแลเขา เปลี่ยนแพมเพิส พอโตมานิดนึงเขาเริ่มคลานได้ เราก็ได้เล่นกับเขาบนพื้น โตมาอีกหน่อย ก็สามารถวิ่งเล่น มีปฏิสัมพันธ์กับเรามากขึ้น หรือตอนนี้ก็เริ่มมานั่งคุยกัน เริ่มถามอะไรได้ เริ่มต่อประโยคได้ จากก่อนหน้านี้เขาสื่อสารกับเราผ่านภาษามือ หรือพูดได้แค่เป็นคำๆ ตอนนี้เขาพูดให้เราฟังได้มากขึ้นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อย่างเขาวิ่งเล่นแล้วล้ม เขาก็เดินมาบอกเราว่า เนี่ย เขาเจ็บหัว แล้วก็ชี้ที่หัว และพาเราเดินไปดูว่าเขาล้มตรงไหน ล้มท่าไหน น่าสนใจดีที่แม้เราจะยังคุยกันไม่ได้ขนาดนั้น แต่เขาสามารถสื่อสารกับเราได้แล้วนะ ซึ่งผมว่าการได้เห็นเขาค่อยๆ เติบโตและรู้จักเรามากขึ้นแบบนี้ มันเป็นอะไรที่สนุกมาก”

“ลูกทำให้ผมเรียนรู้ว่า การมีปฏิสัมพันธ์เป็นเรื่องที่สำคัญ การได้ใช้เวลาด้วยกัน การได้คุยกัน การหาอะไรมาเล่นด้วยกัน ค่อนข้างที่จะสำคัญ และแม้ว่าการเลี้ยงลูกอาจทำให้เราเจออะไรซ้ำๆ ทุกวัน แต่เราสามารถทำให้มันสนุกได้ ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองว่ามันไม่ใช่งาน routine นะ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทำ ต้องทำ ต้องทำ แต่มันเป็นอะไรที่เราสนุกกับเขาได้ เช่น เวลาเขาร้องไห้ เราก็อาจจะคิดอีกมุมว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้หรอก เพียงแต่เขายังเด็กมาก เขาแค่สื่อสารกับเราไม่ได้ การที่เขาร้องไห้ออกมา มันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้น ถ้าเราคิดได้แบบนี้ มันก็อาจจะเป็นผลดีต่อทั้งเรา และทั้งเขา อย่างตอนนี้พอเขาเริ่มสื่อสารได้ ผมก็จะพยายามคุยกับเขามากขึ้น คอยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังหน่อย”

ป๊อปปี้ถือเป็นคุณพ่อ Gen Y ที่เป็นตัวแทนของผู้ชายเลี้ยงลูก ซึ่งเขาคิดว่าการที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ช่วยกันเลี้ยงลูก โดยที่ไม่ได้ผลักภาระไปให้ใครคนใดคนหนึ่งอาจมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ในบ้านแข็งแรงขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่า “ผมและภรรยาพยายามแบ่งเบาภาระกันและกัน บางทีการเปลี่ยนมือเลี้ยงลูก เปลี่ยนที่เล่นกับลูกก็เหมือนเป็นการเปลี่ยนมุมมองต่างๆ ให้ลูก มันเห็นได้ชัดว่าลูกจะเล่นกับคุณแม่แบบนึง เล่นกับผมแบบนึง เช่น แตงกวาพาไปเล่นทราย อ่านหนังสือ ส่วนผมอาจจะเล่นเป็นไดโนเสาร์วิ่งไล่กับเขา โยนลูกบอลกับเขา ซึ่งพอเขาได้เล่นกับทั้งพ่อและแม่ มันก็ทำให้เขาได้เปิดประสบการณ์ ได้คิดในหลายแง่มุมมากขึ้น และการให้ลูกได้เล่นกับทั้งพ่อ ทั้งแม่ มันก็น่าจะทำให้ลูกสนิทกับทั้งสองคนมากขึ้น เพราะมีช่วงที่เรางานเยอะ มีเวลาเล่นน้อยลง มันก็เห็นได้ชัดว่าความสนิทมันก็แตกต่างออกไป ถ้าเราให้เวลาเขา เขาก็จะ open ดูสนิทกับเรามากขึ้น การมีเวลาให้ลูกจึงสำคัญ” 

สำหรับคุณพ่อมือใหม่ สิ่งที่ป๊อปปี้อยากบอกคือ “คุณพ่อมือใหม่ครับ ถ้าคุณแม่เหนื่อยมาก เราก็ควรช่วยแบ่งเบาภาระเขา อย่าลืมว่า เรามีลูกด้วยกัน เราควรเลี้ยงลูกด้วยกัน ผมคิดว่า ถ้าเรามี parenting relationship ที่ดี มันจะส่งผลไปถึงลูกได้ บรรยากาศดีก็ส่งผลดีต่อลูก สลับกันเหนื่อยดีกว่า เพื่อให้ลูกมีสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด”

พี่ป๊อปปี้ แห่ง LittleLot ของเด็กๆ

จริงๆ ป๊อปปี้ไม่ได้เพิ่งมาสนใจการเล่นกับเด็กตอนมีลูก แต่การมีอยู่ของ LittleLot เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมว่าเขาสนใจและมีแพสชันที่จะ ‘เล่นรู้’ (เล่น + เรียนรู้) ไปพร้อมๆ กับเด็กๆ มาอย่างยาวนาน 

“ผมสนใจความสนุกของการเล่นมานานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เปิดจริงๆ คือตอนที่เขาสั่งเปียโนมา แล้วทำธีสิส ออกแบบของเล่น ซึ่งพอทำแล้ว ก็เอาไปทดลองกับเด็ก ซึ่งมันทำให้เราเห็นอะไรเยอะมาก เราได้เห็นจินตนาการของเขา เห็นความสดใสที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก เราเลยรู้สึกดี ที่เราสามารถทำอะไรบางอย่างให้เด็กคนหนึ่งสนุกได้ แฮปปี้ได้ จนเกิดเป็น LittleLot ขึ้นมา”

“แต่ถึงลูกเราจะเกิดหลัง LittleLot ก็จริง แต่ประสบการณ์ที่เราทำงาน การได้เห็นเด็กมาเยอะมากๆ ได้เรียนรู้ว่าแต่ละคนมีนิสัยเป็นของตัวเอง แต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันคือ การเล่นหรือทำอะไรในสิ่งที่ชอบ ทำให้เขาเกิดรอยยิ้ม ก็ช่วยเราในการหยิบมันมาเป็นแนวคิดเวลาเราเล่นกับลูก เราก็พยายามหาอะไรสนุกๆ มาเล่นกับเขา”

“ตลอด 8 ปีที่ทำมา เราเห็นอะไรเยอะมากครับ ตอนเราเปิดขึ้นมา เราอยากทำอะไรที่มันใหม่ สนุก เราก็เลยอยากเอาเทคโนโลยีมาบวกกับงานดีไซน์ และของเล่นเด็ก ระหว่างทางเราก็จะเจอว่า อันไหนดี อันไหนไม่ดี และปรับทิศทางกันมาเรื่อยๆ เราเปิดมาด้วยของเล่น ถัดมาก็ออกแบบเวิร์คช็อป สุดท้ายมาเป็น experience design อย่าง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มพัฒนาระบบที่ให้เด็กๆ เป็นคนคิด แล้วเราเป็นตัวกลางที่เอาความคิดของเขาสร้างออกมาเป็นภาพ เด็กๆ ได้สร้างเกมของตัวเองขึ้นมา บางทีเจอเด็กอยากทำเรื่องมังกร แต่มังกรเขาอยู่ในอวกาศ แต่ในอวกาศนั้น ก็มีแม่น้ำด้วย เรื่องราวที่เขาคิดมันไปไกลกว่าที่เรานึกออกได้ หรืออันที่ไกลสุดๆ คือ เด็กคนนึงทำเกมเรื่องควาร์ก ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าควาร์กคืออะไร แต่น้องเขาเพิ่งเรียนมา แล้วเอามาทำเกม ควาร์กกระโดดหลบอิเล็กตรอน มันเจ๋งมากที่เขาเอาสิ่งที่เขาเรียนมาสร้างให้กลายเป็นอะไรที่สนุกได้”

ไม่ใช่แค่ให้อะไรกับเด็ก แต่การออกแบบประสบการณ์สนุกๆ นี้ ยังเอื้อให้ผู้ใหญ่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กด้วยเช่นกัน ป๊อปปี้เล่าว่า “เราเห็นผลเสียค่อนข้างเยอะที่ผู้ใหญ่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก เพราะว่า บางทีเด็กเข้ามาเวิร์คช็อป เขามีอะไรในหัวเยอะมาก แต่เขาไม่สามารถที่จะเรียบเรียงมันออกมาได้ ตามที่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการ บางทีมันเป็นอาจจะเป็นแค่คำถามง่ายๆ ที่จะปลดล็อกอะไรสักอย่างในหัวเขา ทำให้เขาสามารถที่จะต่อยอดไปได้เรื่อยๆ พอเราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ตรงนี้ได้ เราจะเห็นได้เลยว่า จินตนาการของเด็กๆ จะไปไกลขึ้นเรื่อยๆ”

ปี 2025 นี้ LittleLot จึงตั้งใจออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้เด็กและคนทุกเจนฯ ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันและรู้สึกสนุกมากขึ้น โดยมีการใช้พื้นที่ แสง สี เสียง เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ เช่นเดียวกับงาน Relearn 2025 ที่ทำกับ Mappa ออกแบบสนามเด็กเล่นให้คนทุกวัยได้เล่นสนุกไปด้วยกัน

ดนตรีนั้นคือชีวิต ที่เชื่อมคนทุกเจนฯ ไว้ด้วยกัน

การร่วมงานกับ Mappa ในธีม Intergeneration ครั้งนี้ ป๊อปปี้และทีม LittleLot เลือกออกแบบสนามเด็กเล่นโดยใช้เรื่องราวของดนตรีผสมกับเทคโนโลยี เพราะดนตรีเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เชื่อมคนต่างเจนฯ ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

เพลงในแต่ละเจนฯ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่บางครั้งเราก็ยังสามารถร้องเพลงของเจนฯ เก่าๆ ได้ เราเห็นคนเอาเพลงเก่าๆ มารีมิกซ์แบบใหม่ หรือเพลงใหม่ๆ มารีมิกซ์ให้เป็นทำนองแบบเก่า ผมเลยคิดว่า มันคงเจ๋งดี ถ้าเรามา rearrange หลายๆ เพลงของทุกเจนฯ เพื่อให้เขาได้เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งที่เห็นคล้ายๆ กันนั่นคือ ความชอบในเสียงดนตรี เพราะดนตรีคือภาษาสากล!

สนามเด็กเล่นของ LittleLot ในงานนี้ ถูกออกแบบเป็นเหมือนสเตชั่นคล้ายๆ เล่นเกม arcade ปุ่มกดสมัยก่อน แต่ความเท่อยู่ตรงที่ ผู้คนที่เข้ามาเล่นในสนามเด็กเล่นนี้จะได้มีส่วนร่วมกัน พูดง่ายๆ ว่านี่คือการเล่นเกมเป็นทีม! โดยแบ่งหน้าที่ออกเป็น คนเล่น คนเต้น คนฟัง 

คนเล่น ในที่นี้หมายถึง Music Creator ที่ทำหน้าที่สร้างเพลงขึ้นมา โดยประจำการที่สเตชั่นของเจนฯ ตัวเอง เพื่อกดปุ่มไฟให้ทันเมื่อมันเด้งขึ้นมา คล้ายๆ กับการกดโน้ตเพลง แต่เป็นในรูปแบบที่ง่ายกว่า ซึ่ง LittleLot ก็ได้จำลองเสียงที่ออกมาจากปุ่มกด เป็นเสียงเครื่องดนตรีที่โดดเด่นในแต่ละยุค ทำให้เกิดเพลงใหม่คูลๆ ที่ทุกคนรีมิกซ์มันขึ้นมาด้วยกัน

“คนที่ได้อยู่สเตชั่นบูมเมอร์ อาจจะได้ซาวนด์กีต้าร์ยุคบูมเมอร์มาเล่น คนที่ได้อยู่สเตชั่นเจนฯ ซี อาจจะได้ซาวนด์กลองในยุคของเจนฯ ซีมาเล่น สมมติได้เล่น เพลงช้าง กลองของเพลงช้างในเจนฯ ซี มันอาจเป็นกลองแบบ EDM มันๆ ส่วนของบูมเมอร์อาจเป็นกลองน้อยชิ้น มีทรัมเป็ตในเพลง หรืออาจจะมีซาวนด์อื่นๆ จากเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่เราเลือกกันมา มีตั้งแต่เปียโน เบส ไซโลโฟน อูคูเลเล่ และอีกมากมาย” 

“ไม่แน่เราอาจเห็นคุณปู่มาเล่นกับเด็กเล็กๆ หรือคุณปู่เล่นเพลงช้างแนว EDM อยู่ก็ได้ครับ!”

ส่วนคนเต้น ก็จะได้เต้นไปพร้อมๆ กับสเปซตรงกลาง ที่จะฉายภาพกลีบดอกไม้ออกมาตรงพื้นให้ทุกคนเข้าไปเก็บ ทำให้คนที่มองเข้ามาได้เห็นซีนที่มีทั้งแสง สี เสียง เหมือนเป็น performance อย่างหนึ่งเลยทีเดียว

“เสียงกับไฟ มันคือภาษาสากลของแต่ละเจนฯ เราฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เราอาจไม่เคยเล่นเครื่องดนตรี แต่เราต้องเคยได้ยินเสียงมัน ส่วนไฟที่เราเปิด แล้วกด ก็เป็นภาษาสากล ปุ่มกดเป็นสิ่งที่ทุกคนเล่นมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยุควิดีโอเกม เกมอาเคดที่ใช้ปุ่ม โตมามีจอยสติ๊ก ขยับมาเป็นปุ่มกดในมือถือ”

“ผมเหมือนได้ปลดล็อกนะตอนที่ทำสิ่งนี้ ช่วงที่ผมหาเพลง อย่างเพลง เจนฯ เอ็กซ์ ในปี 1970-1980 ผมยังไม่เกิด แต่ผมไปเสิร์ชมามีวงนี้ ที่พี่เลี้ยงสมัยเด็กๆ ผมชอบ ผมก็โทรไปหาเขา ว่าเคยได้ยินพูดถึงเพลงนี้นะ วงนี้นะ โปรเจ็กต์นี้เลยพาเราไปคุยกับคนเจนฯ นั้นๆ จริงๆ เพลงของบูมเมอร์เอง น่าตกใจที่ว่า เพลงเขาไม่ได้เก่าขนาดนั้นนะ พอมาฟังตอนนี้ เพลงที่ผมชอบมากๆ คือเพลง สายชล เพราะเป็นเพลงที่คุณแม่เล่นเปียโนให้ฟังตอนเด็กๆ”

“พอเป็นยุค 90s เราก็จะคุ้นเคยกันละ เช่น เพลง เกรงใจ หรือเพลงของคุณอนัน อันวา ที่ตอนเด็กๆ ร้องอยู่หน้าบ้าน (หัวเราะ) หรือพอยุค 2000s ก็เป็นยุคที่เราเริ่มร้องเพลงจริงจังขึ้นแล้ว เอาเพลงของคนอื่นมาร้องบ้าง เช่น รักคนมีเจ้าของ ผ้าเช็ดหน้า หรือ เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ขยับมาหน่อยก็เป็นเพลง T-Pop ต่างๆ อย่าง K-OTIC (หัวเราะ) หรือจะเป็นเพลง มีอีกไหม ของ 321 หรืออย่างน้องในทีมที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาก็มทำให้ผมรู้จักวงญี่ปุ่นอย่าง &Team ซึ่งพอเราเคยอยู่ในวงการ เราเห็นเลยว่า สมัยนี้เขาไปไกลกว่าเรามาก คอนเซ็ปต์ชัดมาก ผมชอบนะ”

“หรืออย่างลูกผมเอง ผมเปิดเพลง Lover Boy ของ Phum Viphurit ให้ฟัง เขาก็ชอบเลยครับ หรืออย่างเพลงเด็กเขาก็จะชอบ Row, Row, Row Your Boat และ Five Little Ducks เราก็จะพยายามหาเพลงหลายๆ แนวให้เขาฟัง”

เรามีโอกาสได้เดินไปทักทายน้องๆ เด็กรุ่นใหม่ในทีมของพี่ป๊อปปี้ ที่เป็นกำลังสำคัญในการทำสนามเด็กเล่นครั้งนี้ คนหนึ่งบอกเราว่า เสียงเพลงทำให้คนต่างเจนฯ เชื่อมโยงกันได้ เพราะที่ผ่านมา เธอก็ได้ฟังเพลงเก่าๆ ที่ผู้สูงอายุฟังกัน เมื่อรายการเพลงยุคนี้ก็เอาเพลงเก่าๆ มาร้องอยู่หลายครั้ง หรืออีกคนหนึ่งก็บอกเราว่า เธออยู่บ้านกับพ่อที่เล่นกีต้าร์ พ่อมักจะเปิดเพลงร็อก เพื่อชีวิตให้ฟัง ส่วนเธอจะชอบเพลง K-Pop ซึ่งการที่เธอได้ฟังเพลงยุคของพ่อก็ทำให้เธอโตมาแล้วรู้สึกเชื่อมโยงกับเพลงสมัยก่อนได้มาก

ในสนามเด็กเล่น จะมีเพลงอะไรที่ถูกบรรเลงบ้าง คงต้องลองไปเล่นกันเองดูนะ! ซึ่งความคาดหวังของป๊อปปี้ที่อยากให้เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมครั้งนี้คือ “อยากเห็นคุณปู่ กับเด็กรุ่นเล็ก ใช้พื้นที่เดียวกันได้ และสนุกในสิ่งที่เราสร้างให้เขาเล่นด้วยกันได้ มันน่าจะเป็นความทรงจำทีดี และมันอาจจะไปปลดล็อก ไปจุดประกายแรงบันดาลใจในส่วนอื่นของชีวิตพวกเขาได้”

พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนทุกเจนฯเล่นสนุกด้วยกันได้

จริงๆ ผมอยากให้คนทุกเจนฯ ได้กลับไปเป็นเด็กอีกรอบนะ เพราะบางทีพอเราโตขึ้น เราก็อาจลืมความสนุกหลายๆ อย่างที่เราเคยมีตอนเด็กๆ ไป ตอนเด็กๆ เราอาจมีเวลาว่างเยอะ แต่พอโตขึ้นมา แวดล้อมเราอาจไม่ได้มีอะไรน่าสนุกขนาดนั้นจนเราลืมไปว่า สิ่งที่เราเคยสนุกคืออะไร อย่างพอเราทำงานกับเด็ก สั่งของเล่นให้กับหลาน เช่น โยโย่ เราก็นึกว่า เอ้ย เราเคยสนุกกับโยโย่เหมือนกันนะ งั้นสั่งโยโย่มาเล่นบ้างดีกว่า

“ผมคิดว่าความสนุกก็สำคัญกับชีวิตผู้ใหญ่ ความสนุกมันสามารถสร้างบางอย่าง และส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ได้ ถ้าเราสนุกกับงาน งานเราก็อาจจะออกมาดีขึ้น ถ้าเราไปสนุกกับอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงาน มันก็จุดประกายไอเดีย ที่เราสามารถนำมาใช้ในงาน ชีวิตครอบครัว หรืออื่นๆ เหมือนกับว่าเราเล่นสนุกครั้งนึง มันเอฟเฟกต์ได้หลายแง่มุมมากๆ”

“พื้นที่ที่มีคนหลายเจนฯ มาอยู่รวมกัน มันดีตรงที่เราจะได้ไอเดียใหม่ๆ พอมีหลายเจนฯ แต่ละเจนฯ ก็มองกันคนละแบบ พอได้คุยกัน เราก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่เรียนรู้จากเด็ก เด็กเรียนรู้จากผู้ใหญ่ ต่อยอดไอเดียเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ อะไรที่ผู้ใหญ่เคยทำผิดพลาด เราก็รู้เทคนิคบางอย่างที่เขาใช้แก้ปัญหา ส่วนการทำงานกับเด็กๆ เราก็จะได้ความเฟรช ไม่มีกรอบ และทำให้เราเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นไปได้”

ป๊อปปี้เล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม และถึงแม้ว่าสังคมเราจะยังมีช่องว่างระหว่างวัยอยู่บ้าง แต่ LittleLot ก็เชื่อว่า ช่องว่างนั้นจะค่อยๆ แคบลง ถ้าทุกเจนฯ เปิดใจและเข้าหากัน ซึ่งการได้เล่นอะไรสนุกๆ ร่วมกัน มันจะช่วยให้กำแพงทางอายุของเรานั้นค่อยๆ ละลายหายไปได้ พร้อมกับช่วยเปิดมุมมอง เปิดหู เปิดใจ รับฟังกันและกันมากขึ้นต่อไปในอนาคตได้ด้วยเช่นกัน

Writer
Avatar photo
พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ

Photographer
Avatar photo
ชวณิช สุริวรรณ

อย่าซีเล็ง เดี๋ยวซู้หลิ่ง

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts