อันธิฌา แสงชัย – อาจารย์ แม่มด นักเคลื่อนไหว ผู้เยียวยาใจและจิตวิญญาณ

อันธิฌา แสงชัย – อาจารย์ แม่มด นักเคลื่อนไหว ผู้เยียวยาใจและจิตวิญญาณ

  • มิติทางจิตวิญญาณเป็นด้านที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์แทบทุกคนไม่ว่าจะในรูปแบบของปรัชญา ศาสนา หรือพิธีกรรมต่าง ๆ และหลายครั้งเราพึ่งพามันโดยไม่รู้ตัว 
  • การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เวทมนตร์นั้นอยู่ล้อมรอบตัวเรามาโดยตลอด และเราทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณได้
  • อาจารย์อัน – อันธิฌา แสงชัย เล่าเรื่องแม่มดที่เกี่ยวพันโยงใยกับจิตใจ จิตวิญญาณและการขับเคลื่อนแนวคิดทางการเมืองและประเด็นเรื่องเพศวิถี

เราอาจคุ้นเคยกับการแบ่งสุขภาพออกเป็นสุขภาพกายและสุขภาพจิต ทว่าตามนิยามในพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 สุขภาพ คือ ภาวะที่มีความสมบูรณ์ ทั้งทางกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ หรือปัญญาเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวม ซึ่งในระยะหลังมานี้ นอกจากการใส่ใจสุขภาพร่างกายแล้ว จะเห็นได้ว่าสังคมให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากขึ้น และมีอีกด้านที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คือมิติทางจิตวิญญาณ ทั้งการศึกษาด้านเวทมนตร์หรือปฏิบัติตามธรรมเนียมทางไสยเวทต่าง ๆ เช่น การ “มูเตลู” ขอพรหรือร่วมชุมชนแม่มดทางออนไลน์

ที่ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพ (Well-being center) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์อัน – อันธิฌา แสงชัย จากคณะวิทยาการการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์เป็นผู้ดูแล ทำหน้าที่รักษาสุขภาพใจและจิตวิญญาณของนักศึกษาและบุคลากรภายในคณะ และอีกบทบาทคือ นักพลังงานบำบัด (energy healer) ผู้ใช้หลายเทคนิค ทั้งคริสตัล พลังงาน ผสานกับเทคนิคที่เรียกว่าพลังงานบำบัดแบบเรคิ (Reiki) และพิธีกรรมต่าง ๆ 

“เวลาที่เรามองเขา เรามองเขาโดยภาพรวม เวลาเขาไม่สบายใจเรามองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่อารมณ์คืออารมณ์อย่างเดียว เครียดคือเครียดอย่างเดียว มันมีเรื่องอย่างอื่นในชีวิตด้วย พอมองเป็นองค์รวม มันมองทั้งจิตวิญญาณ จิตใจ อารมณ์ร่างกาย ความสัมพันธ์ ความเชื่อมั่น ฯลฯ โดยไม่แยกส่วน” อาจารย์กล่าวถึงแนวทางการให้คำปรึกษา

ร่วมสนทนากับ “แม่มด” ถึงนิยาม ความเป็นมาของแม่มด ศาสนา การเมืองและการขับเคลื่อนสังคมที่ฟังเหมือนเป็นคนละเรื่องแต่สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งถึงระดับจิตวิญญาณ

ว่าด้วยแม่มด

แม่มดคืออะไร

มันมีหลายบริบทมากเวลาที่เราพูดถึงแม่มด เพราะคำว่าแม่มดมันเป็นภาษาไทย ซึ่งเราก็จะเข้าใจว่าภาษาอังกฤษก็คือ witch แต่ถ้าเราสืบย้อนไปทั้งสองคำ มันมีพัฒนาการ มันมีที่มาที่ไปว่าระบุถึงใคร ทำหน้าที่อะไรในชุมชน ในสังคม

จุดที่สองคำนี้เชื่อมโยงกันอยู่ระหว่าง witch กับ แม่มด ก็คือมันเป็นคนที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ มันเป็นคนที่มีบทบาทในเรื่องการทำงานเยียวยา การทำงานบำบัด การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การสื่อสารกับบรรพบุรุษกับดวงจิต ดวงวิญญาณต่าง ๆรวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ magic ไสยเวท พิธีกรรมต่าง ๆ อันนี้เป็นจุดรวมที่ทั้งคำว่า witch และคำว่าแม่มดมีร่วมกัน

แต่ว่ามันก็มีที่มาที่ไปที่ลึกไปกว่านั้น ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงอย่างเช่นในบางวัฒนธรรม อย่างบ้านเรามันก็มาจากมด นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่ามันมีการเรียกมดลูกของผู้หญิง มดลูกเป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับที่จักรวาลทำให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นมา แล้วเราเป็นมนุษย์ เราก็จะจำลองสิ่งเหล่านั้นมาในหน้าที่ที่มดลูกสามารถทำงานได้ จึงเรียกคนที่ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ สร้างสรรค์ความเป็นจริงขึ้นมาตามเจตจำนงของตัวเองหรือของกลุ่มของชุมชนว่าเป็นมด แล้วมดส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ ก็เลยเป็น “แม่มด” แต่จริง ๆ แล้วเรื่องไสยเวทมันก็ไม่ได้จำกัดว่าเป็นของคนเพศใดเพศหนึ่งด้วยซ้ำ เป็นของคนทุกเพศ ร่างกายที่ไม่มีมดลูกไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะที่จริงเราไม่ได้มีแค่ร่างกายเนื้อแต่เรามีกายละเอียดซึ่งการทำงานของกายละเอียดของพวกเรา มันก็มีจุดที่เรียกว่าเป็นศูนย์พลังงานที่ทำหน้าที่เดียวกันกับมดลูกอยู่ในกายละเอียดของพวกเรา ดังนั้น เราเข้าใจเรื่องนี้ได้กว้างขึ้นมากกว่ามิติทางเพศ 

อาจารย์เป็นแม่มดแบบไหน

แม่มดมีหลากหลายมาก มีแม่มดที่มีกลุ่มมีก้อน มีชุมชนของเขา มีประเพณีในการเรียนรู้เรื่องไสยเวทแบบเป็นเรื่องเป็นราว มีคำอธิบายเกี่ยวกับโลกและจักรวาลในเชิงอภิปรัชญาที่สืบทอดสืบสานและมีความเชื่อร่วมกัน

ถ้าเราพูดแบบกว้าง ๆ มันก็จะมีแม่มดที่อยู่ในศาสนา และนับถือเทพชัดเจน มีวิธีปฏิบัติพิธีกรรม มีการมองฤดูกาลหรือช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ในชีวิต มีการเรียนรู้เรื่องนี้อย่างเป็นระบบ มีคัมภีร์ มีตำรา และมีครูบาอาจารย์ มันก็มีแม่มดท้องถิ่นหรือพื้นถิ่นที่ก็จะเป็น tradition เหมือนกัน หลากหลายมาก

มีแม่มดอีกประเภทหนึ่งที่ไม่สังกัดกับจารีตอะไรเลย พอใจจะเรียนรู้จารีตที่ตัวเองสนใจทั้งหมด แล้วสร้างขนบของตัวเองขึ้นมา สร้างวิธีการของตัวเองขึ้นมา แล้วหยิบยืมปรับใช้ เทคนิควิธีการ แม้กระทั่งการเชื่อถือเทพเจ้าที่อาจจะข้ามวัฒนธรรม พี่เป็นลักษณะแบบนี้ รับได้ทุก tradition สามารถจะเข้าไปสัมพันธ์ เข้าไปเรียนรู้ร่วมกัน สามารถเชื่อถือ ศรัทธา เคารพในเทพ เทพี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนใน tradition ต่าง ๆ เขาเชื่อถือ สร้างแนวทางของตัวเองหรือผสมผสานความเชื่อต่าง ๆ หรือเทคนิค วิธีการทางไสยเวทแบบต่าง ๆ มาเป็นของตัวเอง

แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นแม่มดแล้ว สมมติถ้าเป็นศาสนา จะเป็นพระได้ก็ต้องผ่านพิธีกรรม แล้วการเป็นแม่มดเราจะรู้จากตรงไหนว่าเราเป็นแล้ว

ในความเชื่อของพี่เอง พี่รู้สึกว่าคนที่จะบอกได้ว่าฉันเป็นแม่มด มันก็มีทั้งคนที่สนใจและทดลองเรียนรู้ฝึกฝน มันก็เหมือนกับเราอยากนับถือศาสนาอะไร แล้วเราเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบไหน เราอยากมีวิถีปฏิบัติในชีวิต ในมิติทางจิตวิญญาณของเราแบบไหน เราก็เริ่มศึกษา เริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน เริ่มเข้าไปอยู่ในชุมชนแลกเปลี่ยนกัน

มีคนที่ไม่รู้จักของพวกนี้เลย แต่รู้ว่าชอบแบบนี้ ชอบอย่างนี้ โดยที่อาจจะตอบลงรายละเอียดไม่ได้ ยังไม่เคยลงเรียนอะไรเลย หรือยังไม่เคยเรียนรู้อะไร แต่รู้สึกว่าศาสนากระแสหลักที่มีอยู่ทั้งหมดมันไม่ตอบโจทย์ แล้วเขาแสวงหาบางอย่างลึก ๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วอยู่ดี ๆ วันหนึ่งก็อาจจะรู้สึกตระหนักขึ้นมาว่า ฉันเรียกตัวเองว่าเป็นแม่มดได้นี่นา

มีคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เรียกตัวเองว่าแม่มดที่หลากหลายมาก หลายคนก็เชื่อว่าเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว การเป็นแม่มดเรามันไม่ได้เริ่มต้นที่ชาตินี้ เราแค่นึกได้ว่าฉันเป็นสิ่งนี้ เราแค่กลับไปสู่รากชีวิตของตัวเองที่เราคุ้นเคยดีอยู่แล้ว และความรู้บางอย่างเราก็รู้อยู่แล้ว เราก็แค่รื้อฟื้นมันขึ้นมาหรือนึกออก มันก็จะมีคนที่เป็นแบบนี้ด้วย 

รู้ได้อย่างไรว่าฉันว่าฉันเป็นแล้ว มันคือช่วงเวลาไหนของชีวิต

สำหรับพี่เองมันเริ่มจากการที่เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ สนใจเรื่องศาสนามาก มีความสุขมากเวลาได้ท่องบทสวด รู้สึกว่ามันเพราะดี

เรื่องมิติทางจิตวิญญาณกับเรื่องไสยเวทมันเป็นของมนุษย์ มนุษย์มีศักยภาพ เหมือนเราว่ายน้ำได้ ทุกคนมีศักยภาพที่จะกระโดดลงไปในน้ำแล้วว่ายน้ำได้ ถ้าทักษะทางร่างกายดีหน่อยอาจไม่ต้องเรียนว่ายน้ำเลยนะ ลงไปแล้วว่ายได้เลย แต่หลายคนก็ต้องเรียน พี่คิดว่าเรื่องทางจิตวิญญาณ เรื่องไสยเวทเป็นทักษะเหมือนกันเป๊ะเลย บางคนอาจทำพิธีกรรมในบ้านโดยไม่รู้ตัวว่านี่เขาเรียกว่าพิธีกรรม 

ของแบบนี้มันเป็นเวทมนตร์ และที่จริงมนุษย์เราอยู่ในโลกที่เป็นโลกแห่งเวทมนตร์ เช่น เราใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ ในธรรมชาตินี้ การที่ธรรมชาติมันดำเนินไป มันมีความเป็นเวทมนตร์ในตัวของเขาเองอยู่แล้ว การที่เราเติบโตขึ้นมา เราเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เราเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เราอยู่ท่ามกลางโลกแห่งเวทมนตร์ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าจำได้หรือจำไม่ได้ สนใจหรือไม่สนใจ แล้วอยากจะใช้มันให้มันมีประโยชน์กับชีวิตเราหรือกลัวมัน พี่มองมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ขนาดนี้แหละ

เราทุกคนมีศักยภาพทางจิตวิญญาณในการที่จะร่วมสร้างเวทมนตร์ในธรรมชาติ แต่เราร่วมสร้างเพราะเราอยากให้ชีวิตเราที่มันมีลักษณะเฉพาะเจาะจงเกิดอะไรบางอย่างขึ้น อันนี้มันก็คือการใช้พลังงานธรรมชาติกับตัวเรา มันก็เป็นความต้องการเฉพาะบุคคลด้วย สำหรับบางคนก็ขาดมิติที่จะสนใจเรื่องนี้ ต่างกันแค่นี้

อยากให้เกิดอะไรขึ้นถึงมาเป็นแม่มด

พี่อยากทำงานบำบัด อยากทำงานเป็นนักเยียวยา (healer) ในการเยียวยาตัวเอง เยียวยาผู้คน เพราะทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่คนหนึ่ง สุขภาพดีแล้วสุขภาพดีอยู่คนเดียว เวลาที่ใครสุขภาพดีหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันสุขภาพดี มันส่งพลังงานเชื่อมโยงไปสู่สิ่งอื่น ๆ หมดเลย พี่รู้สึกว่าโลกยุคนี้และหลังจากนี้ มันต้องการนักเยียวยาเป็นจำนวนมาก

เราก็รู้สึกว่ามันเป็นพันธกิจ เป็นสิ่งที่เราอยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำสิ่งนี้ พาผู้คนไปเชื่อมโยงกับโลกทางจิตวิญญาณด้วยวิธีการของเขา พาผู้คนไปค้นพบศักยภาพทางจิตวิญญาณ ศักยภาพในเรื่องของเวทมนตร์ของตัวเอง พาผู้คนไปมีความมั่นใจในการจะเชื่อมโยงกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ด้วยพิธีกรรมในแบบของตัวเอง

อีกอย่างคือ คำว่าแม่มดมันดูเป็นอะไรที่คนจัดการกับมันไม่ค่อยถูกเวลาที่เจอ พี่ไม่ได้ยึดกับคำ ๆ นี้ แต่มันมีความเป็นการเมืองอยู่ในการกระทำ ว่าเรา come out ว่าเราเป็นแม่มด เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบวิธีการที่ศาสนากระแสหลักต่าง ๆ ที่เขาเป็นสถาบัน เขาสถาปนาความถูกความผิดขึ้นมาครอบผู้คน ในมิติที่มันใช้ได้ ที่มันดูแลโอบอุ้มผู้คน มันดี แต่ในขณะเดียวกันมันมีมิติที่มันไปกดขี่ ไปทำให้คนทั่ว ๆ ไปไม่มีพลังข้างในเต็มไปด้วยความกลัวหรือสูญเสียพลังที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง พี่ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม มันควรจะมีการขับเคลื่อนทางจิตวิญญาณ การพูดว่าตัวเองเป็นแม่มดมันกำลังทำหน้าที่นี้อยู่

เหมือนว่าถ้าเป็นศาสนากระแสหลัก กลายเป็นคนเอาตัวเองไปยึดกับสิ่งที่เป็นของศาสนา ไม่ได้มารู้จักตัวเองจริง ๆ

มันทำผ่านผู้มีอำนาจและมักจะไม่รู้ตัว บางทีผู้มีอำนาจเขาทำตัวเหมือนเขาเป็นพระเจ้าแต่เขาไม่ใช่ และเขาลืมไปว่าจริง ๆ เขาแค่กำลังดูแลผู้คน ไม่ใช่คนที่ครอบงำ คนที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณมีความแตกต่างหลากหลายกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พี่มีปัญหากับวิธีการที่เขาอยู่ในสถานะนั้นแล้วเขาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร ถ้าเขาอยู่ในสถานะแล้วเขากดขี่คน หรือใช้สถานะนั้นเพื่อประโยชน์บางอย่างของตัวเอง รักษาพื้นที่นั้นสงวนไว้กับคนของกลุ่มตัวเอง พี่ว่ามันไม่ยุติธรรม

ทุกคนเกิดมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนมีศักยภาพที่จะเชื่อมโยงกับโลกที่มันศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ และพวกเราทุกคนมีความเป็นพระเจ้าในตัวเอง ถ้ามันมีช่องทางที่คนสามารถมีทางเลือกได้ เราแค่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วบอกว่ามันมีทางนี้ด้วยนะ ใครอยากหาวิธีการเจอประตูของตัวเองก็ลองดูได้ เราสามารถเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนกันได้ 

แม่มดมีคาถาไหม

ที่จริงทุกอย่างเป็นคาถาได้หมดเลยนะ ข้อความธรรมดากับคาถาบางครั้งมันไม่แตกต่างกันเลย ความต่างมันอยู่แค่ว่าข้อความธรรมดาเป็นแค่การบอกข้อมูลหรือสื่อสารบางอย่าง แต่เราไม่ได้ใส่เจตนา ไม่ได้ใส่ความตั้งใจลงไปในนั้น เราไม่ได้ออกคำสั่งให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น และเราไม่ได้เชื่อมันอย่างแท้จริง

การเชื่ออย่างเดียวก็ไม่พอ มันต้องมีการลงมือทำอะไรบางอย่าง คาถาคือการเปล่งออกมาเพื่อยืนยัน เวลาเราเปล่งเสียงออกมาตัวเราเองได้ยินคนแรก เสียงมันเป็นคลื่นสั่นสะเทือน อวัยวะต่าง ๆ มันสร้างพลังงานด้วย มันจะย้อนกลับไปที่การได้ยินของเรา และมันทำงานกับข้างในตัวเรา

แม้เราจะนั่งพูดอยู่คนเดียวริมแม่น้ำ สรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าสายน้ำ ธาตุต่าง ๆ ในธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็แล้วแต่ บรรพบุรุษหรือพลังอำนาจใดที่เขาดูแลปกป้องเราอยู่เขาได้ยิน ถ้ามันสำคัญจริง ๆ มันจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง มันจะเริ่มเกิดมวลพลังงานบางอย่างขึ้น มันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่ามันแค่จุดเริ่มต้น แต่เวลาเราจะสร้างความจริงบางอย่างมันมีกระบวนการที่มากกว่าการพูดออกมา อันนั้นมันเป็นแค่หมุดหมายอันหนึ่งเท่านั้น

ถ้าเรามองว่าไสยเวททำงานแบบนี้ เวทมนตร์ทำงานแบบนั้น มันจะมีเรื่องพิธีกรรม การรักษาเจตจำนงหรือเจตนาของเราไว้ให้คงที่และยาวนานจนกว่ามันจะสำเร็จ ซึ่งมันจะมีเรื่องพิธีกรรมเชื่อมโยงสัมพันธ์กับพลังอำนาจต่าง ๆ ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือ เพราะเราจำเป็นต้องใช้พลังที่มากกว่าตัวเรา มนุษย์เราทำตลอดเวลา เราทำกระบวนการเหล่านี้กับตัวเองตลอดเวลา “อยากให้เป็นอย่างนั้นจังเลย” แต่เราไม่ได้ใส่เจตจำนงมันก็เลยจะไม่ใช่คาถาออกมา

แล้วอย่างนี้คาถาต่างกับคำสาปแช่งอย่างไร

มันทำงานเหมือนกัน เพียงแต่พลังงานที่ใช้ต่างกัน แต่อย่าลืมว่าคนแรกที่ได้ยินคือตัวเราเหมือนกัน

มีคนถามคำถามที่ดีมากและพี่ชอบมากคือ เขาโกรธคนที่ทำไม่ดีกับเขา คนที่รังแกเขา เขารู้สึกโกรธและอยากแก้แค้น เขาอยากสาปแช่ง เขามาถามพี่ว่าทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี แล้วมันผิดเหรอ เพราะเวลาไปคุยกับบางคนที่สายธรรมะ เขาก็จะบอกว่าเราต้องระงับความโกรธ ให้อภัย ค่อย ๆ คลี่คลาย เขาก็บอกว่าเอาอย่างไรดีหรือจะแช่งไปเลย

พี่ก็บอกว่าเราต้องโกรธนะ เวลาเราโดนใครรังแกแล้วเราโกรธ เรากำลังรับฟังความเจ็บปวดของตัวเอง ถ้าเราโดนใครรังแกแล้วเรายอมให้เขาทำโดยที่เราอนุญาตให้เขารังแกคนคนนี้ เราไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง อันดับแรกเลย การเยียวยาจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรารับฟังเสียงของตัวเองและยอมรับว่าเราโกรธ โกรธแล้วอย่างไรต่อ อยากแช่งไหม เราจะทำอะไรกับเขา

การยอมรับว่าเราโกรธ แล้วดูแลความโกรธของตัวเองได้ รับฟังเสียงความโกรธของตัวเองได้ พี่พบว่าความอยากแก้แค้นมันลดลงไปกว่าครึ่ง เพื่อกลายเป็นว่าเราได้รับการรับฟังและความเห็นอกเห็นใจแล้วจากใครคนหนึ่งก็คือตัวเราเอง

ดังนั้น ความรู้สึกที่อยากจะส่งพลังลบกลับคืนไปมันน้อยลงมาก แต่เรามีหน้าที่ต้องดูแลและปกป้องตัวเองด้วย วิธีการก็คือถ้าเราสามารถสื่อสารกลับไปได้ว่าเราไม่ชอบและเราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันไม่ใช่การไปทำร้ายเขา แต่มันเป็นการสร้างเกราะ สร้างอาณาเขตว่าเราไม่อนุญาตให้เขาละเมิด อันนี้คืออีกมิติหนึ่งที่เราจะดูแลตัวเองได้

แล้วเราจะทำอย่างไรกับการแก้แค้น

ลองดูแลความโกรธ ลองยอมรับและรับฟังความโกรธอย่างละเอียดเลยว่าเขาทำเราอย่างนั้น ทำให้เราเจ็บปวดแบบนี้ ทันทีที่เราเอามือโอบรับทุกความรู้สึกของเราได้ การเยียวยามันเกิดขึ้นมหาศาลเลยค่ะ ความสมดุลของพลังงานข้างในมันจะกลับมามั่นคงอีกครั้ง แล้วเราจะมีสิ่งที่เรียกว่าสติ

ทีนี้สติมันคือสิ่งที่ทำให้เรามองสถานการณ์ได้ชัดขึ้น มองเห็นกระบวนการว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นกับเรา หรือทำไมเราโดนทำแบบนั้น เราอนุญาตให้เขาทำเองหรือเปล่า หรือเราควรจะปกป้องตัวเองให้ดีกว่านี้ หรือเราควรออกห่างจากสิ่งที่ท็อกสิกแบบนั้นกระบวนการมันอาจกลายเป็นว่า อ๋อ เขาเจ็บปวดนี่หว่า แล้วเขาไม่รู้ตัว หรือ อ๋อ มันเป็นคนเลว ความชั่วมีอยู่จริง

ทันทีที่คุณมีสติ คำตอบของแต่ละคนมันจะไม่เหมือนกัน และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคุณคือคนที่รู้ดีที่สุด คำตอบนั้นจะดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง พี่เลยเสนอว่าคนที่อยากแก้แค้น ทำงานกับความเจ็บปวด ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มันท่วมท้นขึ้นมา อาจเป็นความเสียใจเพราะมันเป็นคนที่เรารักมาก มันเป็นความคาดหวังแล้วเราผิดหวัง ไปทำงานดับสิ่งเหล่านี้ก่อน

ถ้ามันเลวร้ายจริง ๆ ส่งมันกลับคืนไป เล่นของใส่เรา เราส่งของกลับไป

ส่งอย่างไร

ถ้าเราจะทำงานเรื่องพวกนี้ได้ดี หนึ่งคือเราต้องรู้จักขอบเขตของตัวเราเอง เรื่องไหนที่เราอนุญาตให้คนก้าวล่วงเขามาได้มากน้อยแค่ไหน เราจะรู้ว่านี่คืออาณาเขตของเรา และเราจะเห็นอย่างชัดเจนว่านี่ก้าวล่วงมาเยอะนะ เราก็จะประเมินมันถูก ในทุกมิติของชีวิต

อันดับที่สอง เราจะเห็นแล้วว่าอะไรมันเกินเข้ามา และก้อนนั้นเราจะจับมันได้มั่น จับมันได้ถูกว่าแค่นี้ ไม่มากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ เพื่อที่เราจะเอาทั้งก้อนนั้นส่งคืนกลับไปหาแหล่งที่มา เพราะความร้ายทั้งหมดที่เขาทำกับเรากลับไปสู่ตัวเขา เราไม่ได้ให้ไปมากกว่า เราไม่ได้มีเจตนาร้ายปนไป เราไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นในพื้นที่พลังงานของเราด้วยซ้ำ

แต่ถ้าคุณใจดี เป็นคนที่เข้าใจ เขาเจตนาไม่ดีกับเราแต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็ส่งมันคืนกลับไปให้จักรวาล จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยปัญญาญาณที่เขาจะจัดการพลังงานทั้งหมดให้สมดุลได้ ส่งอะไรแบบนั้นกลับไปให้ธรรมชาติดูแล ให้จักรวาลดูแล อันนี้คือคุณก็เมตตาคนที่ส่งมา คนที่ทำร้ายเรา

แสดงว่ามันต้องอาศัยการคุยกับตัวเองและต้องทำงานกับตัวเอง อย่างนี้มันต่างกันอย่างไรกับการไปพบนักจิตวิทยา

เวลาเราไปหานักจิตวิทยา ไปหาจิตแพทย์ เราต้องการปรึกษาคนที่บอกว่าเราเป็นอะไรและจะแก้มันอย่างไรโดยมาก หรือแม้กระทั่งการหาหมอดู การไปหาพระ เราต้องการไกด์ คนที่มาช่วยเราคลี่คลายบางเรื่อง บางทีเราอาจไม่อยากได้คำแนะนำ แต่เราอยากได้คนรับฟัง อยากได้ประจักษ์พยาน อยากได้คนรับรู้ เราก็อาจจะดีขึ้นแล้ว

สองก็คือรับฟังยังไม่พอ เราอยากให้เขาไกด์ให้ด้วย ให้บอกว่าควรทำอย่างไร อีกนานแค่ไหน อันนั้นคือเราต้องการความช่วยเหลือ อำนาจข้างนอกเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้ แต่ถ้าเราเป็นคนทำพิธีกรรมของตัวเราเอง เรานำอำนาจกลับมาที่ตัวเรา แล้วเชื่อว่าเราเป็นคนแปรเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มันเรียกร้องความเข้าใจในตัวเอง มันเรียกร้องความรักความเมตตาในตัวเอง มันเรียกร้องพลังอำนาจความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ๆ 

ส่วนใหญ่คนที่เป็นแม่มด คนที่ทำพิธีกรรมอยู่ในชีวิตประจำวันเท่าที่พี่รู้จัก จะมองว่าชีวิตตัวเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่จะต้องบูชาดูแล ทะนุถนอม เวลากินอาหาร เราไม่ใช่แค่กินอาหาร แต่เราให้การบำรุงเลี้ยง บูชาชีวิตของเรา ความศักดิ์สิทธิ์มันกลับมาอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ได้แปลว่าเราไม่นับถือสิ่งต่าง ๆ แต่มันตรงข้ามมาก ๆ เราเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ อย่างแนบชิดกว่าเดิมอีก แต่ไม่ใช่การเชื่อมโยงในลักษณะที่เราอยู่ภายใต้การดลบันดาลโดยไม่มีส่วนกำหนดหรือเกี่ยวข้อง เราเป็นผู้หนึ่งที่กำหนดชีวิตเราเอง

พี่จะใช้คำว่าเราเป็น master ในชีวิตของเราเอง เรากำหนดชะตาของเราเอง แต่การกำหนดนั้นเราทำงานร่วมกันกับพลังงาน กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีอยู่ในธรรมชาติ และการดำรงอยู่ของเรามีความหมายกับเขา สิ่งที่เราทำเกื้อกูลสรรพชีวิต มีความหมายกับทุกสิ่งแล้วทุกสิ่งเหล่านั้นก็มีความหมายกับเรา เราไม่ได้อยู่ภายใต้การดลบันดาล เรามีเจตจำนงของเราอยู่ มันเป็นเหตุผลที่คนใช้ไสยเวท คนที่เป็นนักบำบัด นักบำบัดหรือผู้นำทางจิตวิญญาณในชนเผ่าต่าง ๆ ที่นับถือธรรมชาติหรือเทพโบราณอะไรแล้วแต่ถูกมองว่าอันตรายสำหรับศาสนากระแสหลักหรือศาสนาใหม่ ๆ ที่เขามีคำตอบชัด ๆ แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นสถาบันทางศาสนาที่ชี้ผิดชี้ถูก มีกฎเกณฑ์เงื่อนไขต่าง ๆ ที่ชัดเจน แบบไหนตกนรก แบบไหนขึ้นสวรรค์ เขามีคำอธิบายมาหมดแล้ว ดังนั้น วิธีคิดแบบแม่มดไปไม่ได้กับของแบบนั้นและอันตรายด้วย มันเหมือนไปให้ทางเลือกผู้คนว่าไม่ คุณเป็น master ของตัวเองได้และคุณก็สามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กับพระเจ้า กับสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง คุณก็ไม่จำเป็นต้องบริจาคให้กับสถาบันทางศาสนาใด ๆ

เหมือนเขากำลังรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง

ใช่ เมื่อก่อนมันไม่มีการรวมอำนาจ ถ้าเป็นศาสนาโบราณจะเป็นของใครของมัน บ้านใครบ้านมัน ตัวใครตัวมัน คุณก็มีวิธีการเชื่อมโยงสัมพันธ์ อาจจะมีความคล้ายหรือความต่าง แต่ไม่มีใครไปตัดสินว่าผีของเธอผิด ผีของฉันถูก มันเป็นการเมืองเรื่องจิตวิญญาณ มันจึงเกิดสภาวะที่เรียกว่าการครอบงำจิตวิญญาณ ศาสนาไม่ได้เป็นอิสรภาพอีกต่อไป มันกลายเป็นกรอบในบางแง่ และหลายครั้งมันกลายเป็นข้อจำกัด

เราจะรู้สึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร

เรารู้สึกถึงตัวเองไหมล่ะ ทำไมเราถึงดำรงอยู่ ทำไมเราถึงเป็นคนนี้ ทำไมเราพูดสิ่งนี้ ทำไมเราถึงรักคนนั้น ใครรักคนนั้น คือ คำตอบเดียวกัน ถ้าเราเจอแบบนั้น มันคือคำตอบเดียวกัน เพราะสิ่งอื่น ๆ ก็มีอยู่เหมือนไม่มีอยู่ เราใช้ชีวิตกับคน ๆ นี้ในร่างกายคน ๆ นี้และเราคิดนั่นคิดนี่ตลอดเวลา แล้วใครคิด

ทันทีที่เราตระหนักถึงว่าอาณาเขตนี้คือตัวฉัน นี่คือดวงจิต นี่คือเจตจำนงในชีวิตของฉัน นี่คือพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในชีวิตของฉัน นี่คือความรู้สึก นี่คือความโกรธของฉัน นี่คือความรักของฉัน แล้วฉันอันนี้มันเป็นอันเดียวกันกับสรรพสิ่ง

คุณลองสัมผัสในสิ่งที่มันพ้นไปจากความคิด พ้นไปจากบางสิ่งมันเป็นความจริงแล้วมันปรากฏต่อเรา แล้วเราสามารถรับรู้มันได้ด้วยร่างกาย บางอย่างมันรับรู้ได้ด้วยร่างกาย บางอย่างมันรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก บางอย่างมันรับรู้ได้ด้วยพลังงาน บางอย่างมันรับรู้ได้ด้วยกันหยั่งรู้อย่างลึกลับ ลี้ลับ เราไม่รู้ว่าทำไมเรารู้ อธิบายไม่ได้ว่าความรู้นี้มาจากไหน เช่น ญาณหยั่งรู้ทั้งหลาย เราไม่รู้ว่าทำไมเรารู้ แต่เรารู้

ของแบบนี้เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าคุณสนใจเรื่องพวกนี้และสงสัยกับมันจริงจัง เราแค่สำรวจตรวจตราอย่างตั้งใจว่ามันมาจากไหน การสำรวจเหล่านั้นจะนำทางให้เราได้เจอของบางอย่างที่มันเปี่ยมด้วยเวทมนตร์รอบตัวเราและในตัวเราเอง การเรียนรู้เริ่มต้นจากตัวเรา มันเลยสวนทางกับการไปเข้าโรงเรียนบางอย่างแล้วเขามีวิธีการให้เราเรียบร้อย

แสดงว่าแกนของมันคือเรื่องเจตจำนง

ส่วนใหญ่เวทมนตร์คือเรื่องของเจตจำนง แม้กระทั่งจักรวาลที่ดำเนินไป พระอาทิตย์ ฤดูกาล ต้นไม้เติบโต มันไม่ได้บังเอิญ มันมีเจตจำนงที่ใหญ่มาก ๆ ของสิ่งเหล่านี้อยู่ในโลกธรรมชาติ มันมีจิตสำนึกที่ใหญ่โตมาก ๆ ที่กำลังทำงานอยู่และเขามีเจตจำนงแบบนี้ ทุกสิ่งจึงดำเนินไปแบบนี้ ส่วนตัวเราเอง เราเป็นจิตดวงหนึ่ง เรามีจิตสำนึกและมีเจตจำนงของเราด้วยเหมือนกัน แล้วเจตจำนงมันจะมีพลังมาก ถ้ามันเป็นเจตจำนงที่ตรงกับพันธกิจในชีวิตของเรา ความหมายในการดำรงอยู่ของเรา และความสัมพันธ์ที่พอเหมาะ พอดีของเรากับสิ่งต่าง ๆ ถ้าเราค้นเจอว่า เราเกิดมาทำไม และเราเป็นใครในองค์ประกอบที่ใหญ่โตโอฬาร กับจิตสำนึกที่ใหญ่เกินกว่าเรา ที่เขาทำงานในเจตจำนงของเขาตลอดเวลา คุณจะทำงานร่วมกันกับจิตสำนึกที่ใหญ่กว่าคุณได้ตลอด

หลายคนที่บอกว่า ไม่เป็นไรชีวิต ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็ตาย ถ้าคุณพูดแบบนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณคือคุณจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เจตจำนงของคนอื่น พอพี่พูดแบบนี้ทุกคนบอกไม่ได้ เราต้องมีเจตจำนงของตัวเอง เราต้องขึ้นมาดูแล้วว่าชีวิตของเราคืออะไรทันที เราจะใช้ชีวิตอยู่ในเรื่องราวของคนอื่นและไหลไปตามสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้

ก่อนที่จะมาเป็นแม่มด ที่บอกว่าเวลาเราไม่ได้ใช้ชีวิตตามเจตจำนงหรือพันธกิจของตัวเอง มันจะรู้สึกอึดอัดแล้วอาจารย์รู้สึกไหม แล้วหลังจากเป็นแม่มดแล้วรู้สึกต่างกันอย่างไร

ผจญภัยมาโดยตลอดค่ะ มันมีจุดที่ทำให้เรียนรู้ พี่เองก็รู้สึกว่าพี่เกิดมาเพื่อจะเรียนรู้ด้วยวิธีการอะไรแบบนี้ เรื่องเพศวิถีก็ด้วย เราก็เป็น LGBT แต่โดนเลี้ยงมาในขนบจารีตแบบระบบสองเพศ ระบบปิตาธิปไตย ซึ่งเราก็เชื่อและใช้ชีวิตตามเจตจำนงของคนอื่นมาโดยตลอด และเราก็มองตัวเองแบบหนึ่ง เข้าใจตัวเองแบบหนึ่ง

ทันทีที่เราเห็นว่าตัวเราเองเป็นใครแล้วออกมาจากเจตจำนงของคนอื่นมามีของตัวเองว่าฉันอยากเป็นคนนี้ อยากใช้ชีวิตแบบนี้ เราต้องสู้กับทั้งโลกของเราที่เรารู้จัก อันนั้นคือจุดเริ่มต้นเลย อาจจะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ก็ต้องดิ้นรนเพื่อทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง ในสิ่งที่ชอบ เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องเดียวกันและจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เราค้นพบ

สิ่งเหล่านี้มันเป็นแบบฝึกหัดที่คุณจะต้องเผชิญหน้ากับมันตลอดเวลาในชีวิตและจะต้องตอบคำถามยืนยันซ้ำ ๆ ตลอดเวลาในชีวิต แต่การทำมันได้ซ้ำ ๆ มันเหมือนเราโดนทิ้งเศษขนมปังไว้แล้วเราค่อย ๆ ตามเศษขนมปังอันนั้นทีละชิ้นไปจนเจอเส้นทางแล้วมันต่อกันพาเราไปที่ใดที่หนึ่ง

พี่รู้สึกว่าชีวิตพี่ผ่านแบบนั้นมาตลอดจนถึงวันหนึ่งเราเก็บขนมปังหมดแล้ว ชีวิตหลังจากนี้เรารู้แล้วว่าเราจะเดินไปทางไหน มันเป็นจังหวะที่เราตระหนักถึงตัวตนตัวเอง พันธกิจในชีวิต และพูดมันออกมาได้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่อยากทำอะไรเพื่ออะไร

ที่สำคัญเราเรียนรู้ที่จะไม่ทำมันโดยลำพัง เรามีพันธมิตรในโลกทางจิตวิญญาณ ไม่ได้โดดเดี่ยว เรามีภูตผีวิญญาณ เรามีเพื่อนที่เป็นมนุษย์ที่มีเจตจำนงเดียวกัน ถึงจุดหนึ่งเราก็รู้สึกว่าเรามาถึงตรงนี้แล้ว ทุกอย่างที่ทำในชีวิตตั้งแต่นี้มันก็เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย แล้วมองย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่เด็กว่าทำไมเราถึงต้องอยู่ในครอบครัวนี้ ทำไมต้องเกิดที่นี่ในชุมชนนี้ เป็นเพศนี้ เรียนสิ่งนี้ หรือเจอปัญหาแบบนี้ ทุกอย่างมันหล่อหลอมมันมาทั้งหมด มีเหตุผล โยงกันได้หมด เป็นแบบฝึกหัดให้ฝึกทำจนวันหนึ่งเราพบว่าเราต้องทำมันทั้งหมดนี้ต่อไป

พอเป็นแม่มด เคยรู้สึกว่าโดดเดี่ยวบ้างไหม

ถ้าเราทำงานทางจิตวิญญาณกับตัวเองเยอะ ๆ เราจะพบว่าคำว่าโดดเดี่ยวมันทั้งจริงและไม่จริง

มันจริงในแง่ที่ว่าคำตอบทุกอย่างในจักรวาลนี้ มีเราเพียงลำพังเท่านั้นที่จะกำหนดได้ว่าจะเป็นอย่างไร นี่โดดเดี่ยวนะเพราะสุดท้ายเราต้องเป็นคนเขียนมัน ตอบมันพูดมันออกมาและต้องรับผลนั้นด้วย มันมีพันธะกับมันด้วยถ้าเราตอบอะไร

ในแง่ที่ไม่จริงคือเราไม่เคยอยู่ลำพัง ลำพังในลักษณะที่เราเดินไปในเส้นทางใด ๆ โดยลำพัง หรือเราต้องทำเองคนเดียว ไม่ใช่เรื่องการให้ความหมายหรือตัดสินใจนะคะ แต่ลำพังในลักษณะที่เวลาเรามีชีวิต เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา มันมีสิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลา ดูแลเราตลอดเวลา มีสิ่งที่ทั้งดีและร้ายเหมือนคนที่เดินเข้าหาเรามีทั้งคนที่เฉย ๆ ดี และไม่ดีกับเรา ดังนั้นธรรมชาติรอบข้างไม่ใช่แค่ต้นไม้ก้อนหิน เขามีชีวิต เขามีพลังงาน เขามีความทรงจำ เขามีจิตสำนึก ในตัวเราเองก็ไม่ได้มีแค่ตัวเราล้วน ๆ เรามีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตัวเรามากมายและกำหนดการใช้ชีวิตของเราอยู่ด้วย

เห็นอาจารย์มีหิน คริสตัล มันมีบทบาทต่อการเป็นแม่มดอย่างไร

หิน คริสตัล มันเป็นเครื่องมือ แม่มดหลายประเภทก็ใช้เครื่องมือไม่เหมือนกัน บางคนใช้เสียง ใช้ดนตรี ร่างกายตัวเองในการเคลื่อนไหว บางคนใช้ไพ่ สมุนไพร บางคนใช้การพยากรณ์ ดวงดาว มันมีหลากหลายมาก

สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่เครื่องไม้เครื่องมือที่เขาใช้แล้วมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันที่มันทำงานกับตัวเขา เหมือนรู้ภาษานั้นก็เอามาใช้ได้ เหมือนบางคนเก่งดนตรีมาก ๆ รู้ว่าดนตรีแบบนี้ใช้แล้วทำให้คนเข้าสู่ภวังค์ ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาได้ เขาจะรู้ของพวกนี้อยู่ ซึ่งมันก็เป็นความซับซ้อนว่ารู้ได้อย่างไร

ทุกอย่างมีศักยภาพในการรักษาอยู่ คนที่เป็นแม่มดก็แค่เป็นคนที่เชื่อมั่นแล้วใช้สิ่งเหล่านั้น แล้วแต่ใช้อะไร อย่างพี่ใช้คริสตัล โดยตัวของหินเหล่านี้เอง เขามีโมเลกุลบางอย่างที่มีลักษณะเฉพาะแล้วส่งคลื่นออกมาได้ตามแร่ธาตุหรือลักษณะการเรียงตัวกันของโมเลกุลหรือรูปทรงของเขาตามธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้มันสัมพันธ์และมนุษย์รับรู้ได้ แต่รับรู้ในลักษณะที่ละเอียดมาก ๆ เราอาจไม่ได้รับรู้แบบอธิบายได้ง่าย ๆ เช่น เอาเขามาสวมใส่ ไว้ในห้องนอน พกไปพกมา มันส่งผลกับตัวเราไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

อีกอย่างหนึ่งคือเมื่อมองเห็นกลไกการทำงานเหล่านี้แล้ว หลายคนจะบอกว่าคริสตัลก็มีบรรจุปัญญาญาณบางอย่างไว้ และมันเป็นปัญญาญาณในธรรมชาติ อันนี้ก็สนุกมากเพราะชิปต่าง ๆ ของโทรศัพท์มือถือ มันก็ใช้คริสตัลทำเป็นชิป มันเป็นของที่ทำมาจากห้องแล็บแต่มีแร่ควอตซ์ที่มาจากธรรมชาติที่บรรจุพลังงานและปัญญาญาณของธรรมชาติเอาไว้ในตัวเขามหาศาล นับไม่รู้กี่หมื่นกี่ล้านปี ดังนั้น คนที่ทำงานกับคริสตัลคือคนที่ทำงานกับสิ่งนั้นและสามารถดึงมันออกมาใช้

อาจารย์ใช้มันทำงานอย่างไร

อันดับแรกกับตัวเองก่อนเลย ถ้าใช้กับตัวเองไม่ได้ผลก็อย่าใช้กับคนอื่น

หินที่พี่ชอบมากคือทัวร์มาลีนสีดำ (black tourmaline) ซึ่งมันไม่ได้สวยอะไร มันเป็นหิน guardian stone คือหินสำหรับปกปักรักษาชนิดหนึ่ง เราเป็นคนที่มีความไวในเชิงพลังงาน เช่น เราจะรับรู้ความรู้สึกของผู้คนหรือพลังงานในธรรมชาติรอบ ๆ ตัวได้เร็วและง่าย บางทีไปอยู่ในชุมชนที่คนเยอะ ๆ หรือตลาดเราก็จะรับรู้และซึมซับมาได้เยอะ ถ้าเราเห็นเขาเป็นหิน เขาก็เป็นหิน มันจึงต้องมีวิธีการทำงาน แค่พกไว้เฉย ๆ ก็พกไว้ได้แต่ว่าใครให้เราพกล่ะ อาจมีคนที่รักเราบอกให้เราใส่ไว้หน่อย นั่นก็คือ เจตจำนงที่เขาจะปกป้องเรา แล้วเขาทำงานกับหินนั้น หินจะรับรู้ว่าต้องปกป้องคนนี้นะ แต่ถ้าไม่รู้อะไรแล้วมาใส่ การเชื่อมโยงตรงนั้นอาจไม่ได้สมบูรณ์ มันอาจติด ๆ ดับ ๆ เพราะเราไม่ได้รับรู้และมีความตั้งใจจะใช้เขา 

magical object ไม่จำเป็นต้องเป็นของหรูหราใหญ่โตหรือราคาแพงล้ำค่า ค่ามันอยู่ที่วิธีการที่เราเชื่อมโยงกับสิ่งนั้น

แม่มดกับสังคม

แม่มดมีหน้าที่อะไรในสังคม

พี่พบว่าแม่มดมีความหลากหลายกันมากเลยนะ แม่มดแต่ละคนกำหนดพันธกิจในชีวิตตัวเองไม่เหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันคือเราทำงานเชื่อมโยงกับพลังงาน จิตวิญญาณอื่น ๆ ในวิธีการที่เรียกว่าไสยเวท และแต่ละคนก็จะมีธรรมเนียมเฉพาะตัว แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นของที่เชื่อมโยงกันได้ แต่ทำไปเพื่ออะไรแต่ละคนไม่เหมือนกัน พี่พบว่าแม่มดบางคนเป็นครู บางคนเป็นนักเขียน บางคนเป็นเหมือนหมอ คนที่ดูแลรักษา บางคนเป็นผู้ปกป้องพื้นที่ผู้คนสถานที่ และแม่มีบางคนเป็นนักเคลื่อนไหว ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น แม่มดบางคนเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน บางคนก็อยู่สันโดษและเงียบกว่านั้น ทำงานเงียบ ๆ ในความสัมพันธ์กับธรรมชาติในพื้นที่ของตัวเองโดยแค่เกื้อกูลให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนตัวเองเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ หรือน้ำมันหล่อลื่นเพื่อให้เครื่องจักรใหญ่ ๆ เคลื่อนไปโดยที่สิ่งที่เคลื่อนไปอาจไม่ต้องรับรู้ก็ได้ว่ามันมีการทำงานอันนี้อยู่ บางคนก็แค่รักษาสมดุลของธรรมชาติแล้วเป็นแม่บ้าน มันมีหลายหน้าที่มาก

เรียกว่าเป็นอาชีพได้ไหม

มีคนทำอาชีพแม่มดค่ะทุกวันนี้ เขาอาจจะใช้สถานะหรือบทบาทความเป็นแม่มดเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง งานที่ทำในฐานะแม่มดนี้แหละ ไม่ใช่งานที่ทำในฐานะครู หรือฐานะใด ๆ อื่น ๆ แต่ว่าทำเพราะฉันเป็นแม่มดนี่แหละ แล้วได้ค่าตอบแทน รายได้ อันนั้นคือการเป็นแม่มดก็เป็นอาชีพได้ ซึ่งน่าสนใจว่าเดี๋ยวนี้มีคนรุ่นใหม่ ๆ ที่สนใจเรื่องนี้และรู้สึกว่าถ้าเราสนใจอะไรที่เกี่ยวข้องทางจิตวิญญาณมาก ๆ

ตอนนี้กระแสแม่มดใน Tiktok มีเยอะมาก ในมุมมองของอาจารย์คิดว่าทำไมคนสมัยนี้หันมาสนใจเรื่องนี้

น่าจะเพราะเขาตั้งคำถามกับศาสนากระแสหลักหมดแล้ว มันสะท้อนว่า สถาบันนี้มันไม่ function กับคนบางกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่อีกต่อไปแล้ว มันไปพูดให้เขาเชื่อไม่ได้ เขาไม่เชื่อแล้ว มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตเขาแล้ว แต่ว่ามนุษย์เรายังมีมิติทางจิตวิญญาณอยู่ มันเลยเป็นธรรมดาที่จะเสาะแสวงหาคำตอบหรือวิธีการที่มันเหมาะกับตัวเอง

แล้วมันอาจเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจมาก ๆ ของหนัง ละคร ซีรีส์หรือนิยาย ตั้งแต่ Harry Potter มันดังขึ้นมา มันดูเป็น hero คนที่โตมากับซีรีส์หรือหนังอันนี้มันอินและทำให้ของที่เคยอยู่ในความนิยมของคนกลุ่มเล็ก ๆ มันกลายเป็นกระแสนิยมขึ้นมา ใครพูดถึงก็ไม่ได้น่าแปลกเพราะทุกคนก็พูดถึงพ่อมดแม่มดในโลกเวทมนตร์

ดังนั้น ถ้าเราจะสนใจเรื่องนี้ก็ดูพูดได้ไม่น่าแปลก และเริ่มมีคนที่พูดเรื่องนี้มากขึ้นอย่างเป็นระบบ มีคนเขียนหนังสือออกมา มีคนทำช่องบนยูทูบเกี่ยวกับเวทมนตร์ สอนทำนั่นนี่ แล้วเป็นกระแสขึ้นมา แม้กระทั่งสอนเป็นคอร์สเวทมนตร์ ที่ต้องลงทะเบียนเรียนเป็นเรื่องเป็นราวก็มีเหมือนกัน จากเป็นของกระแสรองขึ้นมาเป็นของที่คนสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ มันแสดงให้เห็นว่าแม้ศาสนาในกระแสหลักอาจจะไม่สามารถเป็นที่พึ่งในใจของเขาได้แล้วแต่ว่าคนเราก็ยังต้องการบางสิ่งบางอย่างที่เราจะสามารถคลี่คลาย เรามีมิติทางจิตวิญญาณ เราเป็น spiritual being ดังนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายเราต้องหาคำตอบเรื่องเหล่านี้

กระบวนการดูแลจิตใจและจิตวิญญาณของแม่มดมันต่างจากศาสนาหรือวิธีการอื่น ๆ อื่นอย่างไร

มันมีทั้งเหมือนและต่าง ความเหมือนคือเรื่องการทำพิธีกรรม เชื่อมโยงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงกับพลังของตนเองภายใน มันไม่ได้ต่าง ในมิติที่คล้ายคลึงหยิบยืม มันไม่ได้ต่าง ระเบียบอยู่ในชีวิต การมีวินัยอะไรบางอย่างในการดูแลตัวเอง คนที่อยู่ในศาสนาต่าง ๆ ก็ทำ

สิ่งที่แม่มดต่างคือความคิดเบื้องหลัง การอธิบายที่อาจมีลักษณะเฉพาะตัวมากกว่า ไม่ได้ทำไปเพราะได้รางวัลหรือกลัวโดนลงโทษ แต่ถ้าจะทำเพราะกลัวผลที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นเลยต้องทำสิ่งนี้อันนั้นก็ทำได้ แต่ว่ามองสิ่งนั้นไม่ใช่จารีตทางศาสนาแต่เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเวลามันสูญเสียสมดุลมันส่งผลถึงเรา เราเลยต้องดูแล คำอธิบายมันเป็นอย่างนี้

หลัก ๆ คือมันเป็นการดูแลตัวเอง

เป็นแม่มดก็เหมือนเป็นนักบวช พอเป็นนักบวชก็มีสิ่งที่เราต้องทำเป็นการดูแลตัวเองในระดับที่ละเอียดอ่อนขึ้นไปอีก ระดับจิตวิญญาณ เจตจำนง เจตนา

ด้วยความที่อาจารย์เป็นนักเคลื่อนไหวด้วย การเป็นแม่มดถือเป็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งของอาจารย์ด้วยหรือเปล่า

เป็นด้วยค่ะ เราไม่ได้เป็นของแปลกนะ ในโลกตะวันตกมีคนที่เป็นนักเคลื่อนไหวและเป็นแม่มดด้วยจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ขบวนการเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์ซึ่งเป็น spiritual feminist คือสตรีนิยมทางจิตวิญญาณ หมายถึงว่าการหยิบยกเหตุผลในการต่อสู้โดยเชื่อมโยงลึกไปจนถึงระดับจิตวิญญาณว่าทำไมฉันต้องทำสิ่งนี้ มันไม่ใช่แค่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือมันไม่เป็นธรรมฉันจึงต้องมาต่อสู้ แต่มันมีเหตุผลลึกกว่านั้น

เหตุผลของอาจารย์คืออะไร

อยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จริง ๆ พี่นิยามตัวเองว่าเป็นนักบำบัด ด้วยการบำบัดตั้งแต่ตัวเรา บำบัดสภาวะที่สูญเสียสมดุล โดยเริ่มจากตัวเราให้กลับมาสมดุล เริ่มจากคนใกล้ ๆ ทำสิ่งนั้นให้แผ่ออกไปเรื่อย ๆ กลับไปสู่สมดุล

เพราะพี่เชื่อว่าสังคมที่สุขภาพดีคือสังคมที่สมดุล ไม่ได้แปลว่าต้องทำลายอะไรหรือต้องสร้างสิ่งใหม่ใด ๆ ขึ้นมา แต่ทำสิ่งที่มันมีอยู่ อะไรที่คุกคามอันอื่นก็คุกคามน้อยลง อะไรที่ถูกกดก็น้อยลงและอยู่ด้วยกันโดยมีความกลมกลืนและสมดุลมากขึ้น

หลัก ๆ ที่ไม่สมดุลในโลกนี้อาจารย์มองว่าคืออะไร

อำนาจ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมีอำนาจเท่ากัน ความเท่าเทียมมันมีลักษณะว่าเราควรได้สิ่งที่มันทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยพื้นฐานเหมือน ๆ กัน แต่แน่นอนเมื่ออยู่ในโครงสร้างสังคมอำนาจของคนมันไม่เท่ากัน บางคนมีอำนาจมากกว่าในเรื่องหนึ่ง แต่สถานการณ์ปัจจุบัน อำนาจที่มากกว่ามันไม่ได้ใช้ในลักษณะการดูแลโอบอุ้มปกป้องคนอื่น แต่มันควบคุมครอบงำและกดขี่ ซึ่งทำให้สูญเสียสมดุล

ทำไมถึงให้แม่มดไปก่อตั้งศูนย์สร้างเสริมสุขภาพ (Well-being Center) ที่รังสิต

เป็นเรื่องที่โดนแซวมาเหมือนกัน เขามองว่าการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนสังคมและทำให้คนสามารถมีศักดิ์ศรีมีคุณค่าในตัวเอง แล้วพอเป็นอย่างนั้นเขาเลยมองมิติการดูแลคน การดูแลนักศึกษา บุคลากร ของตัวเองที่มากไปกว่าทั่ว ๆ ไป

เขามองมนุษย์เป็นมนุษย์ มองนักศึกษาเป็นมนุษย์ มองบุคลากรเป็นมนุษย์ มันเลยทำให้ที่คณะนี้เขาสนใจดูแลเรื่องสุขภาพ และมีวิธีคิดที่ค่อนข้างเปิดกว้างต่อวิธีการทางเลือกต่าง ๆ เพราะคนเราไม่ได้หายด้วยวิธีการเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนกินยาเม็ดเดียวกันแล้วจะหายหมดเลย คนเรามันร้อยแปดพันเก้า เครื่องมือแต่ละอย่างอาจจะเหมาะแต่ละคนไม่เหมือนกัน แตกต่างวิธีการไป ซึ่งที่ศูนย์ฯ อยากให้บริการที่มีความหลากหลายเป็นทางเลือกและเป็นองค์รวม เวลาที่เรามองเขา เรามองเขาโดยภาพรวม เวลาเขาไม่สบายใจเรามองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่อารมณ์คืออารมณ์อย่างเดียว เครียดคือเครียดอย่างเดียว มันมีเรื่องอย่างอื่นในชีวิตด้วย พอมองเป็นองค์รวม มันมองทั้งจิตวิญญาณ จิตใจ อารมณ์ร่างกาย ความสัมพันธ์ ความเชื่อมั่น ฯลฯ โดยไม่แยกส่วน

ตัวตนความเป็นแม่มดตรงนี้มันเกิดขึ้นควบคู่กับส่วนที่เป็นอาจารย์ได้อย่างไร เท่าที่ฟังอาจารย์เล่าก็คือคณะก็ไม่ได้ด้อยค่าจุดนี้

ใช่ค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารัก มันทำให้นักศึกษาเองมีทางเลือก พี่สอนวิชาชื่อ เล่นและสร้างสรรค์ คือใช้กระบวนการเล่นและสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้บางอย่าง ส่วนที่พี่ไปดูแลและช่วยสอนคือการใช้ศิลปะและพิธีกรรม 

พิธีกรรมในวงแม่มดเดี๋ยวจะเอาไปทำในชั้นเรียนด้วย ให้นักศึกษาได้เห็นว่าการทำพิธีกรรมมันทำให้คนได้เรียนรู้บางอย่าง เป็นการเรียนรู้ที่ลึกมาก เป็นการเรียนรู้ทางร่างกาย พลังงาน ความรู้สึกมันไปด้วยกันในกระบวนการเดียวกันเลย เราเอาดอกไม้มาเรียงเป็นกลุ่ม ทำให้มีคาถามีบทสวดเหมือนพิธีเมื่อตอนเช้าได้ มันให้การเรียนรู้บางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษและเราเอาไปใช้ในกระบวนการด้วย เพราะนักศึกษาที่เรียนคณะนี้จะจบออกไปเป็นครู ทำให้เขาเห็นเครื่องมือหลากหลายมากขึ้นที่จะใช้ได้

ใน witch circle จะมีอะไรบ้าง

ตั้งใจที่จะให้คนได้กลับมาสัมผัสกับพลังข้างในของตัวเอง คิดว่าที่นี่มีหลายคนที่พาไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้เยอะอยู่ รอบนี้ก็เลยตั้งใจมาทำ witch circle ที่พาคนกลับมาสัมผัสพลังที่อยู่ข้างใน แล้วพลังที่อยากให้สัมผัสนั้นเป็นพลังแบบเดียวกันกับที่เราใช้ในการร่ายมนตร์ คือพลังที่อยู่แถวท้อง อยู่ตรงฐานของศูนย์พลังงาน

จะพาเขาไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ของตัวเองและเป็นประจักษ์พยานของเพื่อน ๆ ซึ่งประสบการณ์มันจะปลายเปิดมาก ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละคนทำแล้วจะได้เรียนรู้อะไร แต่จะกำหนดวิธีการอย่างหนึ่งให้ลองทำ

อาจารย์ได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้

เรียนรู้ว่าชีวิตมันมีความหมาย มันมีคุณค่า แล้วเราเกิดมาเพื่อทำบางสิ่ง เราเกิดมาเพื่อจะเจอใครบางคน เพื่อจะทำหน้าที่ของเรา และก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ชีวิตสุดท้าย แล้วยังเป็นสิ่งที่เราจะดำเนินต่อไปได้อีกยาวนาน มันก็ไม่โดดเดี่ยว ไม่เคยเอาใจหนีห่างเพราะเรามีพันธมิตรมากมาย

Writer
Avatar photo
ศิริกมล ตาน้อย

อยากเกิดใหม่เป็นแมงกะพรุน

Photographer
Avatar photo
ฉัตรมงคล รักราช

ช่างภาพ และนักหัดเขียน

illustrator
Avatar photo
พรภวิษย์ เพ็งเอียด

ชอบกินเนื้อต้มและตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ปีละสามเล่ม

Related Posts

Related Posts