ความรักที่ดีควรทำให้รู้สึกปลอดภัย กล้าหาญ และเป็นตัวของตัวเอง กับซีรีส์เพศศึกษาที่เรียล สนุก เรียกรอยยิ้มและน้ำตากับ Sex Education 4
ความรักที่ดีควรทำให้รู้สึกปลอดภัย กล้าหาญ และเป็นตัวของตัวเอง กับซีรีส์เพศศึกษาที่เรียล สนุก เรียกรอยยิ้มและน้ำตากับ Sex Education 4
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์
ท่ามกลางมหาสมุทรของหนังและซีรีส์ที่มีให้เลือกดูไม่หวาดไม่ไหว ฉันพบว่าในวันที่หัวใจห่อเหี่ยว โหยหาการชุบชูใจ หนึ่งในเรื่องที่เป็นเซฟโซนของฉันคือ Sex Education
ใครที่ไม่เคยดู ได้ยินชื่อแล้วคงคิดว่า แน่ะ ฉันเป็นคนทะลึ่งนะเนี่ยชอบดูอะไรแบบนี้ แต่สำหรับคนที่เคยดูและหลงรักเรื่องนี้ไม่แพ้กัน น่าจะรู้ว่าถึงจะชูคำว่าเซ็กซ์ตัวโตๆ มาตั้งแต่ชื่อเรื่อง แต่จริงๆ ซีรีส์จากเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้เล่าเรื่องของวัยรุ่นเมืองมัวร์เดล หลักๆ โฟกัสอยู่ที่โอทิส มิลเบิร์น (รับบทโดย Asa Butterfield) ลูกชายของ จีน มิลเบิร์น (รับบทโดย Gillian Anderson) นักบำบัดทางเพศชื่อดังที่เห็นว่าเด็กๆ ในโรงเรียนนั้นมีปัญหาเรื่องเพศกันเยอะ แต่วิชาเพศศึกษาไม่ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้เลย เขาจึงก่อตั้งคลินิกปรึกษาเรื่องเพศแบบลับๆ กับเมฟ ไวลีย์ (รับบทโดย Emma Mackay) เด็กสาวหัวรั้นแต่เรียนเก่งเป็นเลิศที่จับพลัดจับผลูเข้ามาร่วมขบวนการ
Sex Education ประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่ซีซั่นแรก เป็นโชว์เด่นของเน็ตฟลิกซ์ที่แฟนๆ ทั่วโลกรอสตรีม อาจเพราะนอกจากเล่าเรื่องปัญหาเรื่องเซ็กซ์ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่ได้อย่างสนุกขบขันและได้ความรู้ ซีรีส์เรื่องนี้ยังจิกกัดการศึกษาได้อย่างแสบๆ คันๆ มากกว่านั้นยังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ ครอบครัว มิตรภาพ สุขภาพจิต และการเติบโตของวัยรุ่นได้อย่างงดงาม
ถึงจะรู้ว่าเปิดดูเมื่อไหร่ ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้ฉันขำเป็นบ้า แล้วอยู่ๆ ก็น้ำตาเล็ดได้เสมอ แต่ Sex Education ก็เป็นซีรีส์ที่เป็นดั่งเซฟโซนของฉัน นั่นจึงไม่ง่ายเลยเมื่อฉันรู้ว่าซีซั่น 4 จะเป็นซีซั่นสุดท้ายที่ฉันจะเอนจอยไปกับเรื่องราวของเด็กๆ เมืองมัวร์เดล
แต่ก็เหมือนทุกเรื่องในชีวิตนั่นแหละ ทุกสิ่งที่มีจุดจบของมัน เมื่อ Sex Education ซีซั่นสุดท้ายพร้อมให้สตรีม ฉันจึงไม่ลังเลที่จะกดดูรวดเดียว 9 ตอนจบ ก่อนจะพบตัวเองว่าตัวเองอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา-ขำเป็นบ้า น้ำตาเล็ด
เพศศึกษาหลักสูตรเร่งรัก
ขึ้นชื่อว่า Sex Education แน่นอนว่าต้องมีประเด็น ‘เรื่องเพศพูดได้’
เราเห็นปัญหาใต้สะดือมากมายที่เหล่านักเรียนขนมาปรึกษากับโอทิสในซีซั่นก่อน ทั้งปัญหาขนาดหรือสีของอวัยวะเพศที่แตกต่างจากแสตนดาร์ด ปัญหาเซ็กซ์ไม่เข้ากับคู่นอน ไปจนถึงรสนิยมเฉพาะตัวที่ไม่แน่ใจว่าแปลกหรือเปล่า
ในแง่หนึ่ง การมีอยู่ของคลินิกของโอทิสก็เป็นการจิกกัดหลักสูตรวิชาเพศศึกษา (หรือบ้านเราคือส่วนหนึ่งของสุขศึกษา) ในโรงเรียนได้เจ็บแสบใช่เล่น เพราะถ้าหลักสูตรที่ใช้ทำงานกับเด็กจริงๆ คลินิกของโอทิสจะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ยังไงล่ะจริงไหม
ในซีซั่นนี้ ถึงแม้เด็กๆ จะเติบโตและย้ายเข้าสู่วิทยาลัยกันแล้ว แต่โอทิสก็ยังมาเปิดคลินิกใหม่ที่วิทยาลัยใหม่ ความสนุกคือเขาพบว่า ในวิทยาลัยมีคลินิกของโอ (รับบทโดย Thaddea Graham) นักบำบัดทางเพศอีกคนอยู่แล้ว ศึกการแย่งชิงลูกค้าจึงเกิดขึ้น
นอกจากจะได้ลุ้นว่านักบำบัดทั้งสองจะงัดไม้ไหนมาสู้กัน ฉันสังเกตได้ว่าการปัญหาเรื่องเพศในซีซั่นนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากปมที่ยังค้างคาในใจ ส่งผลให้เรื่องบนเตียงไม่ปึ๋งปั๋ง ตั้งแต่ไมเคิล พ่อของอดัมที่ไปมีเซ็กซ์กับหญิงสาวคนอื่นไม่ได้เพราะยังรักภรรยาอยู่ หรือแม้แต่ตัวโอทิสเองที่กลัวการมีเซ็กซ์ เพราะจะเริ่มทีไรก็นึกถึงภาพของแม่ที่นอนร้องไห้ตอนพ่อทิ้งไปเสมอ
ปมบางอย่างที่ฝังลึกในจิตใจ แม้จะไม่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเราไม่คลี่คลายมัน บางครั้งปมเหล่านั้นอาจสร้างผลกระทบในแบบที่เราไม่เคยคาดคิด-Sex Education บอกฉันอย่างนั้น
เป็นผู้ใหญ่ก็ผิดพลาดได้ อ่อนไหวเป็น
ไม่ว่าจะดูซีรีส์เรื่องไหน ฉันแพ้กับเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวเสมอ แต่ Sex Education ซีซั่นนี้ฮุคฉันได้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างอดัม (รับบทโดย Connor Swindells) กับไมเคิล (รับบทโดย Alistair Petrie) ผู้เป็นพ่อ
ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นตัวละครผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เคร่งครัด ชอบดุ เคยเป็นคุณพ่อใจร้ายผู้บงการชีวิตลูกและภรรยา กลายเป็นคนที่ยอมรับกับตัวเองว่าเคยทำผิดพลาด ขอโทษที่เคยทำผิดพลาด และพยายามทำงานกับข้างในของตัวเองเพื่อเป็นพ่อที่ดีขึ้น และทำทุกวิถีทางเพื่อกอบกู้ให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ไม่เพียงแต่ตัวละครไมเคิลเท่านั้น แต่ตัวละครผู้ใหญ่หลายคนในเรื่องก็มีปัญหาไม่แพ้วัยรุ่น ทั้งจีน แม่ของโอทิสที่ประสบกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ไปจนถึงโทมัส (รับบทโดย Dan Levy) ครูสอนวรรณกรรมของเมฟที่หลุดปากว่าเมฟไม่มีอนาคตในเส้นทางการเขียน
“ครูบอกว่าหนูเป็นนักเขียนไม่ได้ ต่อให้บอกเพราะว่าอยากให้พัฒนาฝีมือ คำพูดของครูบดขยี้กำลังใจหนูย่อยยับ (…) หนูไม่เหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ที่นี่ ไม่ได้โตมากับคำชื่นชมว่าหนูเก่งหรือคู่ควร ถ้าหนูยอมเสี่ยงแล้วมันล้มขึ้นมา หนูไม่มีฟูกคอยรองรับ และครูจะได้เจอกับนักเรียนคนอื่นที่เป็นเหมือนหนูอีก เพราะงั้น ครูควรรับรู้ไว้ว่าในฐานะครู คำพูดครูมีอำนาจมหาศาล” ประโยคนี้ของเมฟเรียกสติของผู้เป็นครูกลับมาได้ดี
การมีอยู่ของตัวละครเหล่านี้ทำให้ฉันย้อนกลับมาคิดว่า ในทุกวันที่ความเป็นผู้ใหญ่เรียกร้องให้เราทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ดี ทั้งการงาน บทบาททางสังคม และภาระที่ต้องรับผิดชอบมากมาย บางทีเราปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นครอบงำตัวตนเราไปได้ง่ายๆ บางเวลาเราก็ปล่อยให้อีโก้และคำว่าผู้ใหญ่บดบังทุกอย่าง จนทำร้ายคนรอบตัวหลายคน และบ่อยครั้งเป็นคนที่เรารัก
บางครั้งเราอาจต้องถอยกลับมามองว่าเราทำพลาดอะไรไปหรือเปล่า และถ้าหากทำพลาดจริง เราก็แค่ต้องยอมรับสิ่งที่ทำให้ได้และเอ่ยปากขอโทษเท่านั้น
เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ พวกเราต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน และมนุษย์กับความผิดพลาดเป็นของคู่กันเสมอ
ถึงจะเศร้า แต่การบอกลาอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
สมกับเป็นซีซั่นสุดท้าย เพราะในขณะที่เราเหล่าคนดูจะได้บอกลาพวกเขา ตัวละครในเรื่องก็เข้าสู่เฟสของการบอกลาเช่นกัน
ไม่มีใครชอบการบอกลาหรอก เพราะมันทั้งเศร้าและใจหาย โดยเฉพาะการบอกลาคนที่เรารัก แต่ Sex Education ทำให้ฉันได้เห็นอีกแง่หนึ่งของการบอกลาเช่นกัน
อย่างเมฟที่อยู่ๆ ก็ต้องสูญเสียแม่ไปเพราะฤทธิ์ยาเสพติด ถึงแม่จะเลี้ยงดูเธอมาได้ไม่ค่อยดีแต่หญิงสาวก็พยายามจัดงานศพของแม่ให้ดีที่สุด เพราะในช่วงเวลาอันยากลำบากก็ยังมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับแม่อยู่ และเธอคิดว่าทุกคนควรได้รับการให้เกียรติเสมอเมื่อจากไป แม้ตอนมีชีวิตเขาจะเป็นคนยังไงก็ตาม
ที่น่าสนใจ คือเมฟบอกจีนว่าพอแม่ไปสบายแล้ว เธอรู้สึก ‘โล่งใจ’ และเธอสงสัยว่ามันคือเรื่องที่ผิดหรือเปล่า
“ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะรู้สึกโล่งใจเมื่อพ่อแม่จากไป โดยเฉพาะเมื่อในวัยเด็กเจอเรื่องสะเทือนใจ” นี่คือคำตอบของจีนที่ไขความสงสัยนั้น
และถึงจะเศร้า บางครั้งการบอกลาอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย โอทิสกับเมฟเองที่สุดท้ายก็ต้องแยกจากกันไปไขว่คว้าความฝัน มีชีวิตของตัวเอง แต่พวกเขาก็จะจดจำกันและกันไว้ มีกันและกันอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของหัวใจเสมอ นั่นเพราะตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาทำให้อีกฝ่ายได้เปิดใจ และเปลี่ยนชีวิตกันไปตลอดกาล
เจ็บปวดน่ะใช่ แต่อยู่กับมันได้แหละเนอะ
เช่นเดียวกับซีซั่นก่อนๆ การดู Sex Education ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนปลอบประโลมใจ เหมือนได้นั่งแช่น้ำแล้วคุยเรื่องดีพๆ กับเพื่อนที่ไว้ใจได้สักคน
เหมือนกับหลายคน ตัวละครใน Sex Education หลายตัวมีบาดแผลทางจิตใจและต้องการกระบวนการเยียวยาทั้งสิ้น ทั้งโอทิสตัวหลักของเรื่องที่ฝังใจกับการที่พ่อทิ้งแม่ไปตอนเขาเด็กๆ ทำให้เขาไม่อยากผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร
“นายกลัวใจแตกสลายเหมือนแม่ นายควรเลิกกลัวได้แล้ว เพราะจะรักใครได้ก็ต้องกล้าเสี่ยง เลิกขวางความสุขตัวเองซะที” คำแนะนำของเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งบอกโอทิส แต่ก็คล้ายจะบอกคนดูที่ไม่กล้ารักใครด้วยเช่นกัน
หรือวิฟว์ (รับบทโดย Chinenye Ezeudu) ที่มีแผลใจจากการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก เธอก็ออกมาได้ด้วยคำแนะนำของเพื่อนว่า
“ความรักควรทำให้รู้สึกปลอดภัย รู้สึกกล้าหาญขึ้น เพราะเธอเป็นตัวเองได้เมื่ออยู่กับเขา มันไม่ควรสับสนและไม่ควรน่ากลัว”
เหยื่อจากการล่วงละเมิดทางเพศอย่างโจแอนนา (รับบทโดย Lisa McGrillis) น้องสาวของจีนที่เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยคลี่คลายมันจนชีวิตในปัจจุบันเหลวแหลก เธอได้รับคำแนะนำจากจีนผู้เป็นพี่สาวให้ทำเสต็ปแรกของการเยียวยา นั่นคือการ ‘พูดออกมา’ ให้คนที่ไว้ใจฟัง หรือเอมี่ส์ กิ๊บส์ (รับบทโดย Aimee Lou Woods) เพื่อนสนิทของเมฟที่เคยถูกล่วงละเมิดบนรถเมล์ ก็เข้าสู่กระบวนการ Healing Process ของตัวเองด้วยการถ่ายภาพตัวเองที่ป้ายรถเมล์ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ พร้อมเผากางเกงยีนส์ตัวที่เคยใส่ในวันที่โดนล่วงละเมิดให้แหลกราญ
ตัวละครเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่า บาดแผลทางจิตใจอาจจะติดอยู่กับเราไปตลอด บางทีเราอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้หรอก แต่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้
รับชม Sex Education ได้ทาง Netflix
Writer
พัฒนา ค้าขาย
นักเขียนจากเชียงใหม่ผู้รักทะเลและฤดูหนาวพอๆ กับหนังสุขซึ้ง สนใจประเด็นเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ และเรื่องป๊อปทุกแขนง
illustrator
สิริกร พรอนงค์
ดีไซน์เนอร์, นักวาด และอาร์ตไดมือใหม่ที่ชอบไปทะเล