“ลูกคุณไม่น่ารักสำหรับทุกคน” กับสังคมแห่งวาทกรรมที่ทุกคนพร้อมคิดตาม ๆ กันโดยไม่ถามต่อ

“ลูกคุณไม่น่ารักสำหรับทุกคน” กับสังคมแห่งวาทกรรมที่ทุกคนพร้อมคิดตาม ๆ กันโดยไม่ถามต่อ

“ลูกคุณไม่น่ารักสำหรับทุกคน” กลายเป็นวลีที่เราได้ยินบ่อยขึ้นในยุคนี้ พอ ๆ กับวาทกรรมอื่น ๆ ที่ดูเข้าใจโลก เช่น “พ่อแม่ยุคนี้ตามใจลูกเกินไป”, “เด็กแบบนี้โตไปจะลำบาก” หรือ “ไม่ใช่หน้าที่ใครต้องทนกับลูกคุณ” ประโยคเหล่านี้มักฟังดูมีเหตุผล มีความนิ่ง เข้าใจชีวิต ไม่ดราม่าเกินไป และไม่เรียกร้องอะไรจากใคร ฟังดูเหมือนเป็นเสียงของคนที่ไม่ได้อยากตำหนิเด็กหรือพ่อแม่ แต่แค่ต้องการบอกว่า โลกนี้มันไม่ได้ใจดีกับทุกคนเสมอไป และไม่ควรมีใครคาดหวังให้มันเป็นแบบนั้น

เพราะแบบนั้นเอง มันจึงฟังดูดี ฟังดูมีวุฒิภาวะ และในบางจังหวะของชีวิต มันก็อาจช่วยเยียวยาได้จริง ๆ โดยเฉพาะในวันที่พ่อแม่รู้สึกหมดแรง และแค่ต้องการยอมรับว่า ลูกตัวเองอาจไม่ได้ถูกใจทุกคน และนั่นก็ไม่เป็นไร หรือในมุมของคนที่อยู่รอบข้างเด็ก ประโยคนี้ก็อาจเป็นขอบเขตบางอย่างที่ใช้ปกป้องพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับใคร

แต่คำพูดที่ฟังดู “เข้าใจ” ที่สุดในโลก บางครั้งก็อาจทำให้เรา “หยุดเข้าใจ” อะไรใหม่ ๆ ไปเลย เพราะเมื่อเรารู้สึกว่าเราเข้าใจพอแล้ว เราก็อาจไม่เปิดใจฟังบริบทอื่นอีก ไม่ได้ตั้งคำถามต่อว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น หรือมีอะไรที่เรายังไม่เห็น มันกลายเป็นคำอธิบายที่สั้นและพอเหมาะ จนเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องคิดต่อ

บทความนี้จึงชวนมองวาทกรรมแบบนี้อย่างไม่รีบตัดสิน ทั้งในฐานะเครื่องมือที่ช่วยจัดการความรู้สึกในสังคมที่ซับซ้อน และในฐานะทางลัดที่อาจทำให้เราหลุดจากการฟังกันโดยไม่ตั้งใจ เราจะลองสำรวจว่าเหตุใดวาทกรรมบางคำจึงฟังดูมีน้ำหนักมาก ทั้งในระดับอารมณ์ สมอง และวัฒนธรรม และจะชวนกันตั้งคำถามว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล ความเร็ว และความคาดหวัง การฟังโดยเฉพาะการฟังเสียงที่ยังไม่ดังพอ เช่น เสียงของเด็ก หรือเสียงของพ่อแม่ที่กำลังเหนื่อยอยู่ยังมีพื้นที่เหลืออยู่แค่ไหนในใจของเราทุกคน

ทำไมวาทกรรมจึงมีพลังกับเราขนาดนั้น?

คำตอบคือ เพราะมันทำหน้าที่เป็น ทางลัดของอารมณ์ มันไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ไม่ได้เปิดพื้นที่ใหม่ในความคิด แต่มันให้ความรู้สึกที่เบาสบาย รู้สึกดีขึ้นได้ทันทีโดยไม่ต้องลงมือเปลี่ยนอะไร หรือพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อะไรในชีวิตจริงเลยสักอย่าง

Jonathan Haidt นักจิตวิทยาสังคกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ตัดสินใจด้วยอารมณ์ก่อน แล้วจึงค่อยหาเหตุผลมารองรับทีหลัง” และในช่วงหลัง Daniel Kahneman ขยับการทำความเข้าใจนี้ให้ลึกไปอีกขั้น ด้วยการอธิบายว่า สมองของเราทำงานผ่านสองระบบที่ต่างกัน ระบบที่หนึ่ง (System 1)  ที่ทำงานเร็ว ใช้สัญชาตญาณ ตัดสินฉับไว และ ระบบที่สอง (System 2) ที่ทำงานช้า ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เหตุผล ใช้พลังงาน และต้องอาศัยความตั้งใจจะคิดจริง ๆ

ลองนึกถึงเวลาคุณเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังกรีดร้องในร้านอาหารโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เสียงร้องนั้นไม่ผ่านการกรอง ไม่ได้อธิบายตัวเอง มันกระทบเราโดยตรงทันที และสิ่งที่ทำงานก่อนเสมอก็คือ System 1 มันส่งสัญญาณหงุดหงิด ตัดสินเร็ว 

แต่ถ้าเมื่อเราหยุดเพียงครู่เดียว เพื่อให้ System 2 ได้ทำงาน เราจะได้เวลาแค่พอสำหรับตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้าเสียงร้องนี้” “เด็กคนนี้ต้องการอะไร” หรือแม้แต่ “เราเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่” แค่เพียงการหยุดฟัง หยุดตีความอัตโนมัติ หยุดรีบจัดหมวดหมู่ใครสักคน เราอาจจะมองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ System 1 ไม่เคยหยิบมาให้เห็น

บางทีเราอาจไม่ต้องเข้าไปช่วย ไม่ต้องแสดงความเห็น หรือไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่การ “ไม่ตัดสินเร็ว” ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่ซ้ำเติมใครในจังหวะที่เขากำลังเปราะบางที่สุด

วาทกรรมทำหน้าที่แบบเดียวกันกับ System 1 มันไม่ช่วยให้เราคิดอะไรใหม่ แต่มันช่วย “จัดระเบียบความรู้สึก” ที่เรามีอยู่แล้วให้เข้ากับกรอบความเชื่อเดิมของเรา และให้กลายเป็นข้อสรุปที่ “ฟังดูพอรับได้” พอจะถือไว้ในมือได้โดยไม่รู้สึกผิด เพราะมันเบา มันง่าย และที่สำคัญคือ มันไม่เปิดพื้นที่ให้ System 2 เข้ามาทำงานเลย ไม่ต้องถามว่าเด็กคนนี้เจออะไรมาก่อน หรือแม่เขาเหนื่อยแค่ไหนก่อนจะเดินเข้ามาในร้านอาหารนี้ มันช่วยให้เราตัดสินใจได้โดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเพิ่มเติม หรือเราจะทำยังไงให้พื้นที่ใช้ร่วมกันได้ โดยที่เราก็ไม่ถูกรบกวน และพ่อแม่ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด

และนั่นแหละคือปัญหา เพราะการเข้าใจที่หยุดอยู่แค่ “ความรู้สึกว่าเข้าใจ” กำลังทำให้เราหยุดฟัง หยุดคิด และหยุดมองให้ลึกกว่าที่เสียงรบกวนกำลังบอกเรา.

วาทกรรมช่วยให้เรา “อยู่ในฝั่งถูกต้อง” โดยไม่ต้องเหนื่อย

มันทำให้เรารู้สึกว่าการรำคาญคือเรื่องปกติ การตัดสินเด็กคือเรื่องเข้าใจได้ และการไม่ฟังพ่อแม่คนอื่นคือสิ่งที่โลกจริง ๆ กำลังทำกันอยู่ มันช่วยล้างความรู้สึกผิดจากการที่เคยบ่นพ่อแม่คนอื่นลอย ๆ มันให้พื้นที่ในการหายใจ และมันก็เหมือนตั๋วผ่านด่านทางอารมณ์ ที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเปิดใจ ไม่ต้องตั้งคำถามกับความไม่เข้าใจของตัวเองหรือของโลก เราไม่ต้องยอมรับว่าบางทีเราก็ด่วนตัดสิน และบางครั้งเราเองก็เคยเป็นคนที่พูดแรงไปโดยไม่ตั้งใจ แค่พูดว่า “ลูกเขาไม่น่ารักสำหรับทุกคน” แล้วปล่อยให้วาทกรรมนั้นทำหน้าที่ปรับโทนความรู้สึกให้เรา ว่าทุกอย่างที่เราทำหรือคิดไปแล้วมันก็สมเหตุสมผลดี

เพราะเมื่อสังคมพูดแบบนี้กันเยอะพอ การรำคาญเด็กก็กลายเป็นเรื่องปกติ การตัดสินพ่อแม่คนอื่นก็กลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เข้าใจกันได้ และการไม่ฟังเสียงของใครเลยก็กลายเป็นสิ่งที่โลกนี้ทำกันอยู่ทุกวัน เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แค่คล้อยตามแบบไม่เหนื่อย ก็เพียงพอจะรู้สึกว่าเราอยู่ฝั่งที่คิดถูกแล้ว

ที่น่าคิดคือ วาทกรรมไม่ได้ทำให้เรานิสัยไม่ดีขึ้น แต่มันทำให้เรา “รู้สึกดีพอ” ที่จะไม่ต้องดีขึ้นไปกว่านั้น มันช่วยให้เราล้างความรู้สึกผิดจากการเคยตะคอกลูกแรงไป เคยบ่นพ่อแม่คนอื่นในใจ หรือเคยแชร์โพสต์วิจารณ์ใครบางคนในคลิปสั้น ๆ โดยไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังเลย มันทำให้เราสบายใจที่จะไม่ตั้งคำถามกับสิ่งที่เราทำไปแล้ว เพราะมีคำอธิบายอ่อนโยนให้เรารองรับความรู้สึกนั้นอยู่เสมอ

แต่มันเป็นความสบายใจแบบรอดคนเดียว เด็กในคลิปยังไม่ได้เรียนรู้อะไร แม่คนนั้นยังไม่มีใครถามว่าผ่านอะไรมาก่อนจะก้าวเข้าร้านสะดวกซื้อ หรือลากลูกกลับบ้านผ่านถนนร้อน ๆ วันนั้น ความเข้าใจที่วาทกรรมมอบให้จึงเป็นการเข้าใจแบบปิดฝา คือเข้าใจจนจบแล้ว และไม่คิดจะเปิดฝากลับไปดูอะไรอีกเลย

คลิปสั้น ๆ ที่เล่าเรื่องไม่ครบ กำลังกลายเป็น “ความจริงร่วม” ที่เราด่วนเชื่อทันที

ในยุคที่เราดูคลิปเร็วกว่าที่หัวใจจะไล่ทันความรู้สึก คลิปสั้นกำลังกลายเป็น “ความจริงร่วม” ที่เราเชื่อโดยไม่ตั้งใจ บางทีเราก็ไม่ได้เชื่อเพราะคิดตาม แต่เพราะรู้สึกไปก่อนแล้วต่างหาก

เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นคลิปความยาว 15 วินาทีของเด็กคนหนึ่งที่ดูเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ กรีดร้อง ดิ้น ชักสีหน้า หรือปาอะไรสักอย่างใส่พ่อแม่ พร้อมกับคำบรรยายที่ว่า “เด็กแบบนี้คือฝันร้ายของสังคม” หรือ “นี่ไง…เหตุผลที่ฉันไม่อยากมีลูก” เราจะเริ่มรู้สึกคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว เพราะความรำคาญนั้นมันจับต้องได้ง่ายกว่า “การพยายามทำความเข้าใจ” มาก ความรู้สึกหงุดหงิดมาเร็วกว่า และเบากว่าการคิดหาสาเหตุจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในสถานการณ์นั้น

คลิปไม่จำเป็นต้องโกหก มันแค่ “เลือก” เรื่องและมุมที่จะเล่าเท่านั้น แค่ไม่พูดว่าก่อนที่กล้องจะเริ่มถ่าย เด็กคนนั้นอาจเพิ่งถูกปฏิเสธซ้ำ ๆ มาตลอดวัน หรือถูกละเลยมาหลายชั่วโมง หรือแค่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน แค่ไม่บอกว่าแม่คนนั้นอาจเพิ่งฝ่ารถติด ฝนตก รายจ่ายเกินรายรับ และอารมณ์ที่ใกล้ระเบิดมาพร้อม ๆ กันทั้งหมดในวันเดียวกับที่ต้องมาจูงลูกซื้อของในห้าง

และเราก็กำลังอยู่ในโลกแบบนี้ 

เราไม่ได้เกลียดเด็ก แต่เราแค่ไม่มีพื้นที่ในใจจะฟังเขาอีกแล้ว

เราทุกคนต่างเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเด็กบางคน เด็กที่เสียงดังเกินไป เด็กที่ไม่ฟัง เด็กที่เหมือนจะทำให้ทุกอย่างรอบตัววุ่นวายกว่าเดิมในวันที่เราก็เหนื่อยอยู่แล้ว แต่มากกว่าพฤติกรรมของเด็ก ปัญหาอาจอยู่ที่สังคมรอบตัวเราต่างหาก ที่ไม่หลงเหลือพื้นที่ปลอดภัยให้ “ความวุ่นวาย” อยู่ได้ โดยไม่ต้องถูกตัดสินอะไรเลย

เราถูกห้อมล้อมด้วยวัฒนธรรมที่เร่งให้เรารู้ รู้ให้ไว คิดให้ทัน แสดงความเห็นให้ทันเหตุการณ์ทันกระแส และทันอัลกอริธึมที่ไม่รอใคร นั่นทำให้เราอยู่กับ “ความยังไม่รู้” ได้ยากขึ้นทุกที เราไม่มีเวลาหยุดตั้งคำถาม ไม่มีแรงจะรอฟังเหตุผล เราถูกฝึกให้คิดเป็นภาพรวม ตัดสินแบบเร็ว และจัดหมวดหมู่คนอื่นให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเบา และมันเร็วพอจะไปต่อได้ทัน

แต่ในกระบวนการเร่งรีบนี้เอง เราอาจลืมไปว่า ความยังไม่รู้ของมนุษย์หนึ่งคน ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่คือจุดเริ่มต้นของการเติบโต และเด็กทุกคน ไม่ว่าจะน่ารักหรือน่ารำคาญในสายตาใคร ก็ล้วนอยู่ระหว่างการเติบโตนั้นเสมอ

Media literacy ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่รู้ทันข่าวปลอม

แต่คือรู้ว่าเรา “กำลังใช้ความรู้สึกอะไร” อยู่เบื้องหลังการตัดสินข่าว

เราไม่ได้ต้องอดทนกับทุกเสียงของเด็ก
เราไม่จำเป็นต้องยอมรับทุกพฤติกรรม
แต่เราจำเป็นต้องรู้ว่าเรายังไม่เข้าใจบางอย่างเพียงพอที่จะตัดสินบางสถานการณ์จากการดูคลิป หรืออ่านโพสต์ของใคร เพราะบ่อยครั้ง สิ่งที่เราคิดว่าเป็น “การใช้เหตุผล” แท้จริงแล้วแค่เป็นกระบวนการหาหลักฐานมายืนยันความรู้สึกที่เรามีอยู่แล้วเท่านั้น

เรารู้สึกโกรธ หงุดหงิด เหนื่อย ล้า ผิดหวัง หรือกำลังรู้สึกไร้อำนาจบางอย่างในชีวิตส่วนตัวอยู่ แล้วพอเราเห็นภาพของเด็กคนหนึ่งที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือพ่อแม่คนหนึ่งที่ดูไม่รับผิดชอบพอ เราก็เอาความรู้สึกเหล่านั้นไปพาดบนคลิปนั้นทันที โดยคิดว่าเรากำลัง “วิเคราะห์” ทั้งที่จริงๆ แล้วเราอาจจะกำลังระบายอารมณ์

บางครั้งแค่คิดช้าลงอีกนิด ก็เปลี่ยนทุกอย่างได้มากกว่าที่คิด

ไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลาคิดให้ลึก ไม่ใช่ทุกสถานการณ์จะมีพื้นที่ให้ใจเย็น และไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะมีแรงพอจะเข้าใจใครได้ทั้งหมด แต่สังคมที่มีความหวัง คือสังคมที่พยายามจะเว้นจังหวะให้ความเข้าใจได้มีที่ทาง ไม่ใช่แค่ในระดับของคนหนึ่งคน แต่ในระดับวัฒนธรรม ที่เราต่างค่อย ๆ เปลี่ยนวิธีฟัง วิธีพูด และวิธีมองคนอื่นอย่างไม่รีบตัดสิน

มันอาจเริ่มจากเรื่องเล็กมาก เช่น หยุดก่อนแชร์ หยุดก่อนพิมพ์ หยุดก่อนจะพูดแทนใครในวงสนทนา หรือแม้แต่ถามตัวเองก่อนว่า “เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่” และ “เราเห็นภาพนี้ทั้งหมดแล้วจริงหรือเปล่า” บางครั้งเราไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่ไม่รีบตีความ ก็อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกว่าโลกยังใจเย็นพอจะฟังเขาอยู่

ในชีวิตประจำวัน มันอาจแปลว่าเราเลือกถามมากกว่าตอบ เลือกฟังให้จบก่อนจะสรุป เลือกที่จะไม่พยายามจัดหมวดหมู่ใครทันทีที่เขาไม่เป็นอย่างที่เราคาด หรือแม้แต่ยอมรับว่า “เรายังไม่รู้มากพอจะตัดสิน” ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือการให้เกียรติคนตรงหน้า ในฐานะมนุษย์ที่ซับซ้อนไม่แพ้เราเลย

แล้วถ้าวันหนึ่ง เด็กฟังประโยคนี้จนเชื่อว่ามันคือความจริงของเขา

งานวิจัยด้านพัฒนาการเด็กจำนวนมากชี้ว่า เด็กเริ่มสร้าง “ภาพของตัวเอง” จากสิ่งที่คนรอบตัวสะท้อนกลับมาตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ปี โดยเฉพาะผ่านสายตาและถ้อยคำของผู้ใหญ่ (Harter, 2012) สิ่งที่เด็กได้ยินซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะพูดกับเขาโดยตรงหรือไม่ก็ตาม จะค่อย ๆ ถูกนำไปประกอบสร้างสิ่งที่เรียกว่า self-concept หรือความรู้สึกพื้นฐานเกี่ยวกับ “ฉันคือใคร”

ถ้าเด็กได้ยินคำพูดอย่าง “ลูกคุณไม่น่ารักสำหรับทุกคน” ซ้ำ ๆ ไม่ได้จากพ่อแม่โดยตรง แต่อาจได้ยินในบทสนทนา คลิปวิดีโอ หรือในบริบทที่เขาถูกมองว่าเป็น “ปัญหา” มากกว่าจะเป็น “คน”
ถ้าเขาเห็นว่าทุกครั้งที่ตัวเองกำลังรู้สึกหนักหนา โลกตอบกลับด้วยความรำคาญ
ถ้าเขารู้ว่าความไม่สมบูรณ์ของตัวเองทำให้คนอื่นถอนหายใจ

เขาอาจไม่แค่เรียนรู้ว่าตัวเอง “ไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน”
แต่เรียนรู้ว่า “ไม่ควรเป็นภาระของใคร” คือการไม่ควรส่งเสียง ไม่ควรต้องการ และไม่ควรรบกวนพื้นที่ของโลกนี้มากเกินไป

ในจิตวิทยาเด็ก สิ่งนี้เรียกว่า learned unworthiness หรือภาวะที่เด็กเริ่มรู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สำคัญพอให้ใครฟัง และหากเกิดซ้ำ ๆ โดยไม่มีการทวนกลับ (reframing) จากผู้ใหญ่ เด็กจะค่อย ๆ หยุดนิยามตัวเองผ่านความสามารถและศักยภาพ และหันไปนิยามตัวเองผ่าน “ผลกระทบที่ตนมีต่ออารมณ์ของผู้ใหญ่” แทน

หรือบางที เด็กอาจไม่เลือกจะเศร้า แต่เลือกจะไม่พยายามอีกต่อไป

ถ้าความน่ารักคือสิ่งที่เขาต้องพยายามทำเพื่อให้ถูกรับฟัง
แต่พยายามเท่าไรก็ไม่มีใครฟัง
เขาอาจจะเลิกพยายามไปเลย

เด็กบางคนไม่ตอบสนองต่อวาทกรรมด้วยความเสียใจ แต่ด้วยการถอนตัว พวกเขาเรียนรู้ว่าการถูกมองว่า “วุ่นวาย” หรือ “น่ารำคาญ” คือสิ่งที่ไม่มีทางลบได้ออกจากตัวตนของเขา ก็ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกพูดซ้ำบ่อยกว่าเสียงของเขาเอง

ในระยะสั้น พฤติกรรมนี้อาจถูกตีความว่า “เด็กด้าน” “เด็กไม่แคร์ใคร” หรือ “เด็กเอาแต่ใจ”
แต่ในระยะยาว มันคือการปกป้องตัวเองจากความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องพยายามซ้ำ ๆ แล้วไม่ถูกรับรู้สักที และถ้าเราไม่มองเห็นว่าเบื้องหลังของความไม่แคร์ คือประสบการณ์ของความพยายามที่ถูกมองข้าม เราก็อาจจะไปบวกอีก 1 คอมเมนต์ใต้คลิป โดยที่ไม่รู้เลยว่า เด็กคนนั้นเคยพยายามแล้วแค่ไม่ได้ถูกฟังเท่านั้นเอง

“ใช่” ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน 

เพราะไม่มีใครน่ารักสำหรับทุกคนอยู่แล้ว แต่เด็กก็ควรจะมีพื้นที่ในโลกนี้ ที่เขาสามารถไม่น่ารักได้บ้าง โดยไม่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ไปทันทีที่เขาไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

การยอมรับว่าเด็กคนนึงอาจน่ารำคาญสำหรับเรา ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าหลังจากนั้น เราหยุดฟังเขาไปเลย หยุดพยายามเข้าใจไปเลย หยุดเปิดพื้นที่ให้กับความวุ่นวายของเขาไปเลย นั่นต่างหากที่น่าเป็นห่วง เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเลิกเห็นเขาเป็นมนุษย์ที่กำลังเติบโต และมองเขาเป็นแค่ “พฤติกรรม” หรือ “ปัญหา” ที่ต้องจัดการ

ถ้าคุณเคยพูดว่า “ลูกฉันไม่น่ารักสำหรับทุกคนหรอก” มันก็ไม่ได้มีอะไรผิด แต่บางทีประโยคนั้นก็ควรถูกตามด้วยคำถามที่จริงใจกับตัวเองว่า “แล้วฉันยังฟังเขาอยู่ไหม?” เพราะการเข้าใจโลก ไม่ควรหมายถึงว่าเราไม่ต้องเข้าใจใครอีกต่อไปแล้ว และการเข้าใจลูก ไม่ควรจบลงแค่ตรงที่เรายอมแพ้ต่อความซับซ้อนของเขา

ในวันที่เด็กไม่เป็นดั่งใจ เราอาจไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่าการอยู่ตรงนั้น ฟังเขาให้จบโดยไม่รีบตัดสิน และซื่อสัตย์พอจะยอมรับว่า เราเองก็ยังไม่เข้าใจดีนัก แต่นั่นแหละ คือพื้นที่ที่ความเข้าใจจะเริ่มเติบโตอย่างแท้จริง ทั้งในตัวเขา และในตัวเราเอง

Writer
Avatar photo
Admin Mappa

illustrator
Avatar photo
Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts

Related Posts