

ครูคือมนุษย์ก่อนจะเป็นครู Self-Esteem, ความปลอดภัยในใจ และโครงสร้างที่ควรเปลี่ยนตาม
ครูคือมนุษย์ก่อนจะเป็นครู Self-Esteem, ความปลอดภัยในใจ และโครงสร้างที่ควรเปลี่ยนตาม
สรุปสาระจากวงเสวนา Keep ครู, Stay ครู “เป็นตัวเองในวันที่ฉันเป็นครู” ในงาน INSKRU FESTIVAL
“เราต้องทำทั้งสองทางคู่กัน หนึ่งคือทำให้ครูมั่นคงในคุณค่าที่เขาสมัครใจมาเป็นครูในวันแรก และอีกขาคือ ปรับนโยบายให้ตอบสนองฟีดแบคจากครูอย่างทันท่วงที”
ศานนท์ หวังสร้างบุญ, รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในงาน INSKRU FESTIVAL เวทีที่เปลี่ยนห้องเสวนาให้กลายเป็นพื้นที่เยียวยาใจครู คำพูดของศานนท์ หวังสร้างบุญ สะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “การพัฒนาครู” ไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะการสอน แต่คือการ “รักษาหัวใจของคนที่ดูแลเด็ก”
หัวใจของงาน INSKRU FESTIVAL ในปีนี้หมุนรอบคำว่า Self-Esteem ซึ่งถูกคลี่คลายอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านเสียงของครู นักวิชาการ และผู้ขับเคลื่อนนโยบาย 4 คน ได้แก่ ครูอาร์ม สุขพิชัย ผู้เชี่ยวชาญด้าน Social Emotional Learning, ครูเติ้ล สุริยัน ปัญญาทอง ครูผู้เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย, ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. และศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
Self-Esteem คืออะไร และทำไมครูต้องมี
ครูอาร์ม สุขพิชัย เปิดประเด็นแรกว่า Self-Esteem หรือ “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” เปรียบเสมือนรากของต้นไม้ ถ้ารากไม่แข็งแรง ต้นไม้ก็โอนเอนง่ายเมื่อเจอลมแรง เช่นเดียวกับครูที่ต้องรับมือกับปัจจัยมากมายในห้องเรียน
เขาอธิบายว่า Self-Esteem ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ (1) Self-Worth ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า แม้ไม่มีคำชม หรือแม้ในวันที่รู้สึกล้มเหลว และ (2) Self-Efficacy ความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและสามารถพัฒนาได้
เมื่อครูมีทั้งสองสิ่งนี้ เขาจะสามารถอยู่ในห้องเรียนได้อย่างมั่นคง รับฟังเด็ก เข้าใจเด็ก และไม่ตอบสนองต่อความท้าทายด้วยความหงุดหงิดหรือหมดพลัง
ครูในโลกจริง: แรงกดทับ โครงสร้าง และความไม่มั่นคง
ครูเติ้ล สุริยัน ปัญญาทอง เล่าจากประสบการณ์ตรงว่า แม้ครูอยากเปลี่ยนห้องเรียน อยากทดลอง อยากออกแบบการเรียนรู้ใหม่ แต่สิ่งที่ฉุดรั้งไว้ไม่ใช่ความรู้ หากคือความไม่มั่นคงที่เกิดจากบริบทของระบบ
“คุณครูหลายคนอยากออกแบบ แต่ต้องแบกรับความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะผิดหรือเปล่า เพราะปลายทางยังเป็นการวัดผลแบบเดิม ๆ” ครูเติ้ล สุริยัน ปัญญาทอง
เขาเล่าว่าในระบบที่วัดผลจาก “สาระพิสัย พุทธพิสัย” ครูอาจรู้สึกว่าแม้จะตั้งใจสอนแบบใหม่ สุดท้ายก็ถูกบังคับให้กลับสู่การสอนแบบท่องจำ ยิ่งถ้าครูไม่มีพื้นที่ให้ความกล้าหาญและความเป็นตัวเองก็จะถูกระบบและวิธีการประเมินทำให้ครูไม่กล้าเปลี่ยนแปลง และทำตามอำนาจแบบเดิมๆ
นอกจากนั้น ครูเติ้ลยังเชื่อว่า “สิ่งที่หล่อเลี้ยงครู” ไม่ใช่ระบบเท่านั้น แต่คือปฏิสัมพันธ์เล็ก ๆ กับนักเรียน เช่น เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยกล้าร้องเพลง กลับกล้ามากขึ้นเพราะได้เห็นว่าครูให้คุณค่ากับเสียงของเขา
เมื่อความเหนื่อยล้าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
หนึ่งในข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดในงานนี้มาจากการนำเสนอประเด็นของ คุณณัฐยา บุญภักดี ที่สะท้อนเสียงจากผลสำรวจครูของ INSKRU ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามนับพัน
“มากกว่า 70% ของครูในระบบ มีอาการ Burnout มีทั้งซึมเศร้า เครียด ร้องไห้ ดื่มหนัก ปวดหลัง ปวดหัว เป็นหวัดเรื้อรัง และไม่อยากลุกไปทำงาน” ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สสส.
ที่น่าตกใจคือ สาเหตุหลักของ Burnout ไม่ได้มาจากเด็กหรือการสอน แต่คือ
- งานเอกสารจำนวนมาก
- ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
- ระบบที่ไม่มีพื้นที่ให้ครูรู้สึกเป็นมนุษย์
คุณผึ้ง ณัฐยาเน้นว่า “ก่อนจะเป็นครู เราคือมนุษย์” และความเป็นมนุษย์นี้มักถูกกลบเมื่อระบบบีบให้ครูต้องเล่นบทบาทแบบที่ไม่ได้สอดคล้องกับตัวตน เช่น ต้องคุมห้องเรียน ต้องนิ่ง ต้องไม่แสดงออก
การดูแลครูในฐานะมนุษย์ จึงอาจเป็นหนึ่งในจุดเริ่มของระบบบ่มเพาะมนุษย์อย่างระบบการศึกษาก็เป็นได้
ระบบที่ฟังเฉยๆ หรือระบบที่รับฟังแล้วเปลี่ยนตาม
ศานนท์ หวังสร้างบุญ แบ่งปันว่า การฟื้นใจครูต้องทำสองทางคู่กัน ทางแรกคือภายใน: ดึงคุณค่าของครูกลับมา ส่วนทางที่สองคือภายนอก: ปรับระบบให้ยืดหยุ่น เช่น การลดภาระเอกสาร การเติมครูให้เร็วขึ้น และการกระจายอำนาจให้โรงเรียนสามารถออกแบบการประเมินได้เอง ซึ่งในส่วนที่สองเป็นส่วนของการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย
เขายกตัวอย่างการขับเคลื่อน SLC (School as a Learning Community) ว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้ครูรู้สึกว่า “ไม่โดดเดี่ยว” โดยให้ครูเปิดห้องเรียนให้เพื่อนครูเข้ามาดู ร่วมสะท้อน และออกแบบแผนการเรียนรู้ใหม่ร่วมกัน
“ไม่ใช่การประเมิน แต่คือการร่วมกันเรียนรู้ว่าห้องเรียนแบบไหนส่งผลกับเด็กจริง ๆ” ศานนท์ หวังสร้างบุญ
พื้นที่ภายในใจ: เริ่มได้ที่ตัวเอง
แต่หากรอแล้วรออีก โครงสร้างก็ยังไม่เปลี่ยนสักที ครูอาร์มเสนอว่า “Self-Esteem เริ่มได้ที่พื้นที่ในใจตัวเอง”ด้วยเทคนิคง่าย ๆ เช่น ถามตัวเองว่า “วันนี้ฉันทำอะไรได้ดีบ้าง?” ตั้ง checklist สัปดาห์ละ 5 ข้อ เช่น “ไม่เปรียบเทียบตัวเอง” หรือ “ช่วยเพื่อน 1 ครั้ง””เมื่อครูรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ใจจะนิ่งขึ้น และเข้าใจเด็กได้มากขึ้น” — ครูอาร์ม
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
การปฏิรูปการศึกษาอาจเริ่มจากตำราได้ยาก แต่เริ่มจากหัวใจของครูได้ง่ายกว่า และที่สำคัญกว่านั้น ต้องเริ่มจาก ระบบที่ฟัง และปรับตาม ไม่ใช่แค่ระบบที่สั่งหรือฟังเฉยๆ แล้วไม่เปลี่ยนแปลงอะไร พร้อมกับครู และระบบนิเวศรอบตัวครู ที่ช่วยประคับประคองจิตใจของครูในฐานมนุษย์คนหนึ่ง
และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการศึกษาที่เข้าใจว่า ความรู้ไม่เคยเติบโตในพื้นที่ที่ครูหมดไฟ
แต่เติบโตได้ดีในห้องเรียนที่ครูรู้สึกว่า ตัวเองมีความหมาย