ทำอย่างไรให้ลูกอ่านหนังสือ ในยุคที่มือถือครองเมือง

ทำอย่างไรให้ลูกอ่านหนังสือ ในยุคที่มือถือครองเมือง

หากย้อนไปประมาณ 20 ปีที่แล้ว หนังสือ ถือเป็นเพื่อนข้างกายในการช่วยฆ่าเวลา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มักพกหนังสือติดกระเป๋าไว้อ่านเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง ขณะที่พ่อแม่ก็อาจพกนิทานเล่มเล็กๆ ไว้เล่าให้ลูกฟังระหว่างเดินทาง เพราะการอ่านเป็นสิ่งที่ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา มีหนังสือสักเล่ม ก็เพลิดเพลินได้นานเป็นชั่วโมง 

เมื่อตัดภาพมายุคปัจจุบัน เราแทบไม่เห็นคนอ่านหนังสือในที่สาธารณะอีกต่อไปแล้ว ในมือของคนส่วนใหญ่ ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ทโฟนสุดล้ำ ซึ่งเป็นได้ทุกอย่างตั้งแต่ เครื่องมือสื่อสาร วิทยุ โทรทัศน์ กล้อง หรือกระทั่งเป็นหนังสือให้เราอ่านเรื่องราวต่างๆ กระนั้นการอ่านจากหน้าจอ ย่อมแตกต่างจากการอ่านผ่านหน้ากระดาษ ทั้งลักษณะการกวาดตา ไปจนถึงสมาธิที่ใช้ในการอ่านก็ไม่เท่ากัน

การอ่านผ่านหน้าจอใช้ความเร็วในการประมวลผลต่างจากการอ่านจากหน้ากระดาษ ซึ่งมักสร้างความเข้าใจเพียงผิวเผิน และมักกระตุ้นให้สมองทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เพราะสิ่งเร้าบนหน้าจอนั้นมีมากกว่า ลองจินตนาการว่า เมื่อเราอ่านหนังสือผ่านหน้าจอ โดยที่รู้ว่ามีแอปพลิเคชันเกมสุดเร้าใจ หรือสังคมออนไลน์ที่เรียกร้องให้เราเข้าไปเสพ อยู่เบื้องหลัง เราจะมีสมาธิอ่านได้นานแค่ไหนกัน ยิ่งหากเป็นเด็กๆ พวกเขาอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะยับยั้งชั่งใจ ไม่กดเปลี่ยนไปเข้าแอปฯ เพื่อความบันเทิงที่ตื่นเต้นมากกว่าไปเสียก่อนที่จะอ่านเรื่องใดๆ จบ 

ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การดึงเด็กๆ ให้กลับมาสนุกกับการอ่านหนังสือจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้มือถือจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิต แต่หนังสือก็ยังคงเป็นสื่อคลาสสิกที่เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ครอบครัวไว้ อย่างที่สิ่งอื่นใดก็ทดแทนไม่ได้เช่นกัน 

หนังสือยังสำคัญไหม เมื่อทุกอย่างทำได้ผ่านสมาร์ทโฟน

ตั้งแต่ติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงทำธุรกรรมทางการเงิน ไหนจะสื่อเพื่อความบันเทิงอีกสารพัด สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวรับจบ ทำได้ครบทุกอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ โดยเฉพาะหนังสือที่ดูออกจะโบราณในสายตาคนรุ่นใหม่จะยังสำคัญอยู่ไหมนะ?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน ทำให้บทบาทของหนังสือถูกมองข้าม จากที่เคยใช้การอ่านหนังสือเพื่อฆ่าเวลา มาในยุคนี้ สมาร์ทโฟนไม่เพียงช่วยฆ่าเวลา แต่ยังอาจกินเวลาในชีวิตของเราไปด้วย หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ไถฟีด TikTok เพลินๆ ผ่านไป 3 ชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว จริงอยู่ว่าสมาร์ทโฟน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตได้หลายอย่าง แต่ก็มีบางอย่างที่สมาร์ทโฟนทำไม่ได้เช่นกัน

โดยเฉพาะการสร้างสายสัมพันธ์กับครอบครัว เพราะการใช้สมาร์ทโฟนมักเป็นกิจกรรมส่วนตัว เมื่อแต่ละคนจดจ่ออยู่กับหน้าจอของตัวเอง เลือกดูสิ่งที่สนใจเฉพาะตัว เช่น พ่อแม่อาจกำลังติดตามข่าวสารหรือตอบข้อความจากที่ทำงาน ในขณะที่ลูกๆ กำลังเล่นเกมหรือดูคลิปวิดีโอต่างๆ ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมโยงหรือสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน แม้สมาชิกในครอบครัวกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องเดียวกัน แต่กลับไม่มีบทสนทนาหรือการเชื่อมโยงทางอารมณ์เกิดขึ้น ต่างจากการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การอ่านหนังสือ ที่ต้องพูดคุย สื่อสาร และแบ่งปันความคิดหรือความรู้สึก ซึ่งช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวได้มากกว่า

หนังสือจึงยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นสื่อกลางในการสร้างพื้นฐานความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะ บ้านที่มีเด็กเล็กๆ การอ่านหนังสือร่วมกันคือรากฐานที่ก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ นำไปสู่ความรัก ความเข้าใจ การรับฟังซึ่งกันและกัน ไม่เพียงเท่านั้น การใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้กับเด็กๆ ซึ่งความมั่นคงทางอารมณ์นี้มีความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาบุคลิกภาพและความมั่นใจในตัวเองของเด็ก เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความเข้าใจจากครอบครัว จะรู้สึกปลอดภัย กล้าแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเอง นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอารมณ์ยังช่วยให้เด็กๆ รับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ดี เช่น การเข้าสังคม การแก้ปัญหา หรือการเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยทั้งหมดนี้ล้วนเริ่มต้นจากช่วงเวลาง่ายๆ ด้วยการใช้หนังสือเป็นสื่อกลาง นั่งล้อมวงอ่านหนังสือด้วยกันในครอบครัว 


วางมือถือ ชวนลูกจับหนังสือตั้งแต่เด็ก

ทุกวันนี้การอ่านหนังสือดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมแสนพิเศษ ที่หากเราเห็นใครสักคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็อดจะชื่นชมหรือประหลาดใจไม่ได้ การศึกษาจาก The National Literacy Trust สหราชอาณาจักร พบว่าในปี 2019 มีจำนวนเด็กที่อ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลิน 53% ซึ่งลดลงจากปี 2016  ที่มีเด็กอ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลิน 59% และจำนวนนี้ยังลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเด็กส่วนใหญ่นิยมอ่านหนังสือจากหน้าจอออนไลน์มากกว่า 

คำถามที่น่าสนใจคือ  ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าจากหน้าจอดิจิทัล พ่อแม่จะปลูกฝังให้เด็กๆ รักการอ่านหนังสือได้อย่างไร ซึ่งจะว่าไปแล้วคำตอบของคำถามนี้ ไม่ยาก เพียงแต่ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ การเตรียมตัวล่วงหน้า คือ พ่อแม่ผู้ปกครองควรตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ และเลือกหนังสือที่เหมาะสมตามวัย เช่น หนังสือผ้าสำหรับเด็กเล็ก หนังสือภาพบอร์ดบุ๊ค สำหรับวัยขวบปีแรก และค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบหนังสือให้สอดคล้องกับวัย พร้อมกับใช้หนังสือเป็นสื่อกลางสำหรับช่วงเวลาร่วมกันของครอบครัว แทนการหยิบยื่นหน้าจอดิจิทัลให้ลูก เพราะยิ่งแนะนำให้เด็กๆ รู้จักหนังสือเร็วเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มโอกาสการสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็กๆ ได้เร็วและง่ายขึ้น

นอกจากนี้ควรเริ่มจำกัดเวลาในการใช้หน้าจอดิจิทัลของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลักที่อยู่ใกล้ชิดเด็กๆ เพราะเด็กๆ เรียนรู้จากการเลียนแบบ เด็กๆ ย่อมไม่อยากดูหนังสือ หากพวกเขาเห็นว่าพ่อแม่ดูหน้าจอตลอดเวลา สำหรับเด็กที่อายุเกิน 2 ปีขึ้นไป ควรจำกัดเวลาใช้หน้าจอไม่เกิน 30 นาทีต่อวัน จัดเวลาพักผ่อนที่ปราศจากสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นหน้าจอต่างๆ รวมทั้งเสียงจากทีวี แม้ว่าเด็กๆ จะไม่ได้ดูก็ตาม 

สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการอ่านก็สำคัญ ควรมีมุมหนังสือเล็กๆ ที่เงียบสงบภายในบ้าน เพื่อให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาสำรวจหนังสือ พลิกดูรูปภาพ แม้ว่าจะยังอ่านไม่ออก จัดตารางการอ่านหนังสือร่วมกันให้เป็นกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ เพราะการสร้างเด็กที่รักการอ่านหนังสือ เริ่มต้นจากคุณพ่อคุณแม่ที่วางโทรศัพท์ และจับหนังสืออ่านไปพร้อมกับลูก 

5 วิธีชวนลูกอ่านหนังสือ ในยุคมือถือครองเมือง

หากเด็กๆ บ้านไหนยังไม่เคยสัมผัสสมาร์ทโฟน พ่อแม่ยังไม่อนุญาตให้ดูหน้าจอ การปลูกฝังให้ลูกสนใจอ่านหนังสือนั้น ย่อมทำได้ไม่ยาก ซึ่งการจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้สำเร็จนั้น พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างเหมาะสมด้วย ลองดู 5 วิธีต่อไปนี้ ที่จะช่วยทำให้เด็กๆ สนใจการอ่านหนังสือมากกว่าหยิบมือถือมาดูหน้าจอ

  1. ทำให้การอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ตั้งแต่ลูกยังเล็ก การที่เด็กจดจำว่าหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่เขาได้ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขกับพ่อแม่ ย่อมทำให้พวกเขามีทัศนคติที่ดีกับหนังสือและการอ่าน ยิ่งหากว่าเด็กๆ รู้จักหนังสือก่อนหน้าจอดิจิทัล ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เด็กๆ รักการอ่านได้ง่ายขึ้น
  2. สนับสนุนให้เด็กๆ อ่านหนังสือเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นนิทาน การ์ตูน อ่านป้ายต่างๆ อ่านฉลากซองขนม อะไรก็ได้ที่พวกเขารู้สึกสนุก ไม่ควรจำกัดการอ่านให้เป็นเรื่องของการเรียนที่เคร่งเครียดเท่านั้น
  3. พาเด็กๆ ไปห้องสมุด และปล่อยให้พวกเขาได้ใช้เวลาเลือกหนังสือที่สนใจอย่างเต็มที่
  4. จัดมุมหนึ่งในบ้านให้เอื้อต่อการอ่าน เพื่อให้เด็กๆ เข้าถึงการอ่านได้ทุกเวลา
  5. พกหนังสือ 1-2 เล่ม ติดตัวไว้เสมอ เมื่อออกไปนอกบ้าน อาจเลือกเล่มที่เด็กๆ ชอบ เพื่ออ่านร่วมกัน หรือให้เด็กๆ เปิดดูฆ่าเวลา แทนการหยิบยื่นสมาร์ทโฟนให้เด็ก 

ทำอย่างไรเมื่อลูกจับโทรศัพท์ ก่อนรู้จักหนังสือ

บางครอบครัวที่เผลอให้เด็กๆ เล่นสมาร์ทโฟนไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม การปลูกฝังให้เด็กๆ กลับมาหยิบจับหนังสือเล่มๆ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะเมื่อเด็กๆ รู้แล้วว่ามีสิ่งที่ดึงดูดทั้งภาพ แสง สี เสียงในหน้าจอ แน่นอนว่าหนังสือแบนๆ 2 มิติ ย่อมไม่เร้าใจเท่ากับเรื่องราวที่เขาเห็นในสมาร์ทโฟน แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

มาเรีย รุสโซ (Maria Russo) อดีตบรรณาธิการหนังสือเด็กจาก นิวยอร์ก ไทมส์ แนะนำว่า หากพ่อแม่ต้องการให้เด็กๆ อ่านหนังสือ สิ่งที่ควรทำคือ ช่วยเด็กๆ ให้ค้นพบหนังสือที่พวกเขาสนใจ ไม่ใช่แค่บอกลอยๆ ว่าให้อ่านหนังสือ หรือยึดอุปกรณ์ดิจิทัลจากเด็กๆ เพื่อหวังให้เขาอ่านหนังสือมากขึ้น 

หากต้องการให้ลูกเปลี่ยน พ่อแม่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย พ่อแม่ที่ติดโทรศัพท์ แต่ปากก็พร่ำบอกให้เด็กๆ อ่านหนังสือ ลูกย่อมไม่ทำตาม ในทางกลับกัน พ่อแม่ควรวางสมาร์ทโฟน และใช้เวลากับลูกเพิ่มขึ้น ชวนเด็กๆ ไปร้านหนังสือ ค้นหาเรื่องที่พวกเขาสนใจ เช่น หากเด็กๆ ชื่นชอบสัตว์ ลองแนะนำหนังสือเกี่ยวกับสัตว์หลากหลายชนิด หรือหนังสือเกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ หนังสืออะไรก็ได้ที่ทำให้เด็กๆ รู้สึกโหยหาและกระหายใคร่รู้เรื่องราวในหน้าหนังสือ วิธีนี้ต่างหากที่จะดึงดูดใจเด็กๆ ให้ออกห่างจากสมาร์ทโฟนได้ 

นอกจากนี้ การจำกัดเวลาใช้หน้าจอให้เหมาะสมตามวัย และปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้เอื้อต่อการอ่าน วางหนังสือที่คิดว่าเด็กๆ จะสนใจไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน ให้เข้าถึงได้ง่าย ก็จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านได้ การหาเวลาไปห้องสมุด หรือร้านหนังสือบ่อยๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เด็กๆ ได้ค้นพบหนังสือที่ตนเองสนใจ นำไปสู่ก้าวแรกของการรักการอ่านได้ในที่สุด 

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่กังวลว่าบุตรหลาน อาจใช้เวลากับหน้าจอสมาร์ทโฟน มากกว่าหนังสือ ลองชวนพวกเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน อาจไม่จำเป็นต้องเป็นการอ่านหนังสือ แต่ชวนให้เด็กๆ ได้ใช้ชีวิตห่างจากหน้าจอบ้าง ไม่ว่าจะเดินเล่น ขี่จักรยาน ไปตลาดนัด เล่นกีฬา ฯลฯ และเมื่อพวกเขาพร้อม หนังสือก็น่าจะยังเป็นสื่อที่ยอดเยี่ยมสำหรับสร้างความบันเทิงและให้ความรู้แก่เด็กๆ ได้ เพราะ แม้ในยุคที่มือถือครองเมือง หนังสือก็ยังคงมีคุณค่า ยิ่งถ้าพ่อแม่ได้ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เลือกเองในเวลาที่เหมาะสม ความรักในการอ่านอาจไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่รอเวลาที่จะกลับมาสร้างแรงบันดาลใจอีกครั้งเท่านั้นเอง 

Ref:

https://www.nationalgeographic.com/family/article/screen-time-is-up-refocus-on-reading-coronavirus
https://www.theguardian.com/books/2020/mar/01/how-to-raise-a-little-bookworm-in-the-age-of-smartphones-and-tablets
https://natlib.govt.nz/blog/posts/reading-on-screen-vs-reading-in-print-whats-the-difference-for-learning 

Writer
Avatar photo
สุภาวดี ไชยชลอ

ชอบเดินทาง ชอบดูซีรีส์เกาหลี สนใจทฤษฏีจิตวิเคราะห์ และชอบตอบคำถามลูกสาวช่างสงสัยวัยประถม

illustrator
Avatar photo
KHAE (แข)

นักวาดทาสหมา ลายเส้นนิสัยดี หลงไหลไก่ทอดเกาหลี และการฟัง true crime

Related Posts

Related Posts