โลกของพลเมือง – พลเมืองของโลก เมื่อเรื่องของ ‘ชาติ’ ไม่อาจแยกขาดจาก ‘สำนึกพลเมืองโลก’
โลกของพลเมือง – พลเมืองของโลก เมื่อเรื่องของ ‘ชาติ’ ไม่อาจแยกขาดจาก ‘สำนึกพลเมืองโลก’
“พลเมืองโลกคือต้นเหตุของความไม่รักชาติและไม่คิดอยากตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด”
นี่คือข้อความที่ปรากฏอยู่โพสต์หนึ่งซึ่งผมไถหน้าจอฟีดเฟซบุ๊กไปพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้.
เจ้าของโพสต์ยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับพลเมืองโลกอีกด้วยว่า
สิ่งนี้เป็นวาทกรรมที่ว่างเปล่าและเสแสร้ง.
นอกจากผมจะตกใจกับข้อความนี้แล้ว,
สิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือข้อคอมเมนต์ต่างๆ ใต้โพสต์นั้นที่แสดงความเกลียดชังแบบไม่ยับยั้งและความคลั่งชาติแบบไม่ยั้งคิด.
เมื่อผมได้ติดตามอ่านและสังเกตความเป็นไปต่างๆ ในโพสต์นั้นแล้ว,
ผมพบความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนและความพร้อมที่จะตัดสินอย่างขาดความรอบคอบ.
ผมเลยตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อชวนคิดชวนคุยว่า
พลเมืองโลก (global citizen) คืออะไรกันแน่?
และมันสำคัญอย่างไรต่ออนาคตของมนุษยชาติ?
พลเมืองโลกคืออะไร?
เพื่อความชัดเจน, เราควรเริ่มต้นที่นิยามของคำคำนี้กันก่อน.
องค์การสหประชาชาติหรือ UN ได้กำหนดความหมายพลเมืองโลกไว้ว่า:
“Global citizenship is the umbrella term for social, political, environmental, and economic actions of globally minded individuals and communities on a worldwide scale.”
ตามนิยามข้างต้น, พลเมืองโลกคือผู้ที่ตระหนักว่า
ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก,
มีความรู้สึกนึกคิดกว้างไกลกว่าประเทศที่ตนอยู่อาศัย, และไม่ผูกติดอยู่กับ
“ชาติ” ที่ตนเองสังกัดอย่างหลงระเริง.
ความเป็นพลเมืองโลกคิดและตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ,
ไม่ว่าจะเป็นในเชิงสังคม, การเมือง, สิ่งแวดล้อมหรือเศรษฐกิจ,
อย่างมีสำนึกต่อส่วนรวม.
และส่วนรวมนั้นหมายถึงโลกทั้งใบที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่ง.
หลายท่านอาจคิดว่า สำนึกแห่งความเป็นพลเมืองโลกเป็นเรื่องใหม่;
แต่อันที่จริง, โซคราตีส, นักปรัชญากรีกคนสำคัญ,
เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้แล้วเมื่อราวๆ 450 ปีก่อนคริสตกาล.
เขากล่าวว่า “I am a citizen of the world”, ซึ่งหมายถึง “ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองของโลก”.
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า
เขาเชื่อในความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกของผู้คนทั้งหลายในโลกใบนี้.
และสามารถมองข้ามชายแดนและการแบ่งแยกต่างๆ
ซึ่งเป็นเพียงมายาภาพ.
เมื่อโบราณกาลได้ผันผ่านและล่วงเลยมากว่าสองพันปีสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalisation),
ซึ่งหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของโลกใบนี้,
ความเป็นพลเมืองโลกก็ยิ่งชัดเจนและจับต้องได้มากยิ่งขึ้น.
สำนึกพลเมืองโลกสำคัญอย่างไร?
หลังสงครามโลกทั้งสองครั้ง, องค์การสหประชาชาติได้ถือกำเนิดขึ้น.
เป้าหมายหลักขององค์การนี้คือการสร้างสันติภาพและความสงบสุขในระดับโลก.
สำนึกพลเมืองโลกเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่องค์การสหประชาติให้ความสำคัญ
และพยายามบ่มเพาะวิธีคิดแบบพลเมืองโลก (global mindset) ให้งอกงามในเด็กและเยาวชนทั่วโลก.
แน่นอนว่าการสร้างสันติภาพโลกเป็นเป้าหมายสูงสุดประการหนึ่งของการบ่มเพาะสำนึกพลเมืองโลกให้เกิดขึ้นในคนเรา.
แต่สำนึกพลเมืองโลกก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดนโยบายต่างๆ ภายในประเทศ.
ผมขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับการคิดแบบมีสำนึกพลเมืองโลกซึ่งจะมีส่วนในการกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม.
ตลอดระยะเวลาสี่ห้าเดือนมานี้, ผมไปอยุธยาทุกเดือนเพราะจู่ๆ ก็เกิด “อิน” กับประวัติศาสตร์, โบราณสถานและสถาปัตยกรรมต่างๆ ในสถานที่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “มรดกโลก” แห่งนี้.
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหัวร้อนและหงุดหงิดอยู่เสมอก็คือการเก็บค่าเข้าชมวัด,
วัง, และพิพิธภัณฑ์ที่แยกเป็นสองอัตรา.
คนไทยจ่ายราคาหนึ่ง;
ชาวต่างประเทศจ่ายอีกราคาหนึ่งซึ่งสูงกว่าหลายเท่าตัว.
คำถามที่สำคัญก็คือ
การเก็บค่าเข้าชมในอัตราที่แตกต่างกันเช่นนี้มีแนวคิดใดอยู่เบื้องหลัง?
คนวางนโยบายกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่ออกนโยบายการเก็บเงินเช่นนี้?
ผมมองไม่เห็นคำตอบอื่นใดที่อยู่เบื้องหลังนอกจากแนวคิดโบราณคร่ำครึซึ่งตกทอดมาถึงทุกวันนี้
ที่มีชื่อว่า “ชาตินิยม”.
พูดก็พูดเถอะ, ไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมใดๆ
ที่จะต้องเก็บเงินชาวต่างชาติดังที่เป็นอยู่.
และยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลกแล้ว,
สิ่งที่ควรทำคือการต้อนรับและปฏิบัติต่อชาวโลกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน.
มิเช่นนั้น, ก็ควรจะเรียกตัวเองว่า “เมืองมรดกไทย”
ที่สงวนให้คนไทยโดยเฉพาะ, ใครไม่ใช่คนไทยจะต้องจ่ายแพงกว่า!
สำนึกพลเมืองโลกจึงเป็นหนทางสู่การเป็นเมืองมรดกโลกที่แท้จริงอย่างสง่างาม.
เช่นเดียวกัน, หากเราถือครองสำนึกพลเมืองโลกอย่างเอาจริงเอาจัง,
การบังคับเกณฑ์ทหารในบ้านเมืองเราก็คงจะยกเลิกไปแล้ว.
ในเมื่อเรามองเห็นโลกทั้งใบเป็นชุมชนขนาดใหญ่,
ซึ่งเราทุกคนเป็นหนึ่งในนั้น, และเป็นเพื่อนบ้านกัน.
การบังคับให้คนเป็นทหารนั้นไม่ชอบธรรม เพราะผู้ที่มีสำนึกพลเมืองโลกย่อมเห็นว่า
การฆ่าฟันกันเองกับคนในชุมชนเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ.
สันติภาพ, ซึ่งก่อร่างสร้างรูปได้ด้วยสำนึกพลเมืองโลก,
เป็นทางออกต่อปัญหาและความขัดแย้งใดๆ
ระหว่างมนุษยชาติที่ดีกว่าการ เข่นฆ่ากันเองอย่างแน่นอน.
มิพักเอ่ยถึงความพร้อมช่วยเหลือและอ้าแขนต้อนรับเพื่อนร่วมโลกที่อพยพ
ด้วยความกระเสือกกระสนดิ้นเพื่อชีวิตรอดจากสถานการณ์อันยากลำบาก
หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตจากประเทศเขตคามของตน.
แนวทางการกำหนดนโยบายของประเทศจึงแตกต่างออกไปหากเราคิดผ่านกรอบสำนึกพลเมืองโลก,
เพราะวิธีคิดของเรานั้นผูกติดอยู่กับสำนึกที่เราถือครองอยู่อย่างยากจะแยกออกจากกันได้.
อันที่จริง,
สำนึกพลเมืองโลกไม่ใช่คำประดิษฐ์อันว่างเปล่าสวยหรูแต่ประการใด.
“ชาติ” เองต่างหากที่เป็นวาทกรรมโบราณนานมาซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปกครอง,
แบ่งแยกและแสวงหาประโยชน์จากผู้คนมานับไม่ถ้วน.
และที่สำคัญ,
สำนึกนี้ไม่ได้ทำให้เราไม่รักชาติดังที่โพสต์นั้นกล่าวอ้าง.
เรายังคงรักชาติได้แม้มีสำนึกพลเมืองโลก;
แต่ไม่ใช่ความรักชาติแบบมืดบอด, ไม่ใช่ความคลั่งชาติแบบหน้ามืดตามัว.
นอกจากนี้,
การมีสำนึกพลเมืองโลกยังเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินเกิดอย่างล้ำลึกและทรงคุณค่าในระยะยาว.
การคิดแบบองค์รวมผ่านสำนึกนี้
จะทำให้เกิดการมุ่งพัฒนาบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องให้ทัดเทียม
และเท่าเทียมสมกับความเป็นประชาคมโลก,
และก่อให้เกิดสำนึกหวงแหนบ้านเกิดแบบไม่หวงห้ามและต้อนรับพลเมืองโลกอื่นๆ อย่างไม่ปิดกั้น.
กล่าวโดยสรุป,
สำนึกพลเมืองโลกทำให้เราเห็นอกเห็นใจ, รับฟังและยอมรับกันมากขึ้น.
เป็นสำนึกที่ทำให้เราคิดแบบโอบอ้อมเอิบอาบโดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง,
และทำให้เรามองเห็นความเกี่ยวข้องโยงใยอันเป็นหนึ่งเดียวอย่างมิอาจแยกออกได้ของมนุษยชาติอย่างแจ่มชัด.
มันจึงเป็นสำนึกที่สำคัญที่ทำให้เรามองเห็นว่า:
ชายแดนเป็นเพียงขอบเขตตามสมมติและประเทศเป็นเพียงเขตคามตามบัญญัติ.
และเหนือสิ่งอื่นใด, สำนึกพลเมืองโลกทำให้เรารัก “มนุษยชาติ”
มากกว่ารักชาติ.
Writer
กิตติศักดิ์ โถวสมบัติ
นักเขียน/นักแปล/ล่ามอิสระ เจ้าของเพจชวนคิด, ชวนตั้งคำถามและถ่ายทอดสรรพวิทยา The Wissensdurst.
illustrator
ชินารินท์ แก้วประดับรัฐ
มีงานหลักคือฟังเพลง งานอดิเรกคือทำกราฟิกที่ไม่มีอะไรตายตัว บางครั้งพูดไม่รู้เรื่องต้องสื่อสารด้วยภาพและมีม